สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 870 ทำข้อตกลง
บทที่ 870 ทำข้อตกลง
“ข้าไม่ได้สนใจที่มาของเจ้า” ซ่งหานจือเอ่ย “ท่านป้ามู่และชิงเอ๋อร์ช่วยเจ้าไว้ เจ้าต้องไม่ทำร้ายพวกเขาเป็นอันขาด เรื่องเท่านี้คงทำได้กระมัง?”
ฉินโม่ถงพยักหน้าเบา ๆ
“เจ้าจะเสแสร้งต่อไปก็ย่อมได้ นับตั้งแต่นี้ไปข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเขียนเอง ข้าจะไม่เปิดโปงความจริงที่ว่าเจ้ารู้วิธีเขียนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่อาจแสร้งทำเป็นน่าสงสารให้ชิงเอ๋อร์รู้สึกสงสารได้”
ฉินโม่ถงมองซ่งหานจือราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ซ่งหานจือกระแอมเบา ๆ “หลังจากเรือเทียบท่าแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
‘ให้ข้ารั้งอยู่ได้หรือไม่?’ ฉินโม่ถงเขียนสองสามตัวอักษร
“ขึ้นอยู่กับการแสดงออกของเจ้า”
ฉินโม่ถงพยักหน้า
เสียงหัวเราะของอาจารย์ซ่งดังมาจากข้างนอก
“เด็กน้อย ใช่ไม่ได้ ช้าเกินไปแล้ว”
ลู่จื่อชิงเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “รอดูเถิด ไม่นานข้าจะตามท่านให้ทัน”
ซ่งหานจือหันไปมองฉินโม่ถง “ตอนนี้เจ้าควรฝึกเขียนอยู่ในห้อง ไม่อนุญาตให้ออกไป”
ฉินโม่ถง “…”
ซ่งหานจือวิ่งออกไป แล้วเอ่ยทักทายลู่จื่อชิงด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าออกมาได้อย่างไร? โม่ถงทางนั้นต้องการเจ้า เหตุใดเจ้าไม่อยู่ช่วยเขาเขียนอักษร?” ลู่จื่อชิงลุกขึ้นมาจากพื้น
“เขาฉลาดมาก ข้าสอนเขาไปห้าคำ เขาล้วนจดจำได้หมดแล้ว เหลือเพียงแค่ฝึกฝนให้มากขึ้น” ซ่งหานจือเอ่ย “เจ้าก็รู้ว่าไม่มีผู้ใดกินคำเดียวแล้วอ้วน ไม่เช่นนั้นเขาจะตามไม่ทันเอาได้”
“ก็จริง” ลู่จื่อชิงพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าออกมาแล้ว เช่นนั้นก็ช่วยข้าจัดการตาเฒ่าผู้นี้เถิด”
อาจารย์ซ่งดื่มสุราแล้วมองซ่งหานจื่อและลู่จื่อชิงด้วยรอยยิ้ม “หากพวกเจ้าขโมยไหสุราข้าได้ เช่นนั้นข้าจะสอนกระบวนท่าใหม่ให้พวกเจ้าหนึ่งกระบวนท่า”
“ท่านกล่าวแล้วนะ”
“ข้าบอกแล้ว”
“มีระยะเวลาจำกัดหรือไม่?”
“ก่อนยามสาม*[1]”
มู่ซืออวี่ฟังบทสนทนาด้านนอกแล้วเอ่ยกับซ่างจือ “อาจารย์ซ่งมีปัญหาแล้ว”
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ คุณหนูรองของเราเรื่องอื่นนั้นไม่เก่ง แต่ความพยายามของนางไม่เป็นรองใคร โดยเฉพาะความคิดแปลก ๆ ของนาง แม้กระทั่งอาจารย์ที่ร้ายกาจที่สุดก็ไม่อาจต้านได้” ซางจือเอ่ย
“ข้ากลับคิดว่าอาจารย์ซ่งผู้นี้ลึกลับยิ่ง” เจ๋อหลานเอ่ย “คุณหนูรองของเราไม่แน่ว่าจะครองความได้เปรียบ”
บนเรือไม่หลงเหลือความสงบอีกต่อไป เกิดเสียงดังมาจากห้องข้าง ๆ ไม่รู้อึกทึกอะไร บางครั้งเป็นเสียงลู่จื่อชิงคำรามด้วยความโกรธ บางครั้งเป็นเสียงครางด้วยความเจ็บปวดของซ่งหานจือ เสียงหัวเราะของอาจารย์ซ่งยังคงดำเนินต่อไป เสียงพวกเขาดังกึกก้องไปทั่วท้องทะเล
“ฮูหยิน ไม่ไปดูหน่อยหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ต้องสนใจ” มู่ซืออวี่เอ่ย “พวกเรายังต้องล่องเรือในทะเลอีกหนึ่งเดือน พวกเขามีเรื่องสนุกทำก็ไม่เลว ไยต้องไปรบกวนความสนุกของพวกเขาด้วยเล่า?”
ผ่านไปแล้วถึงสองชั่วยาม ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ จวบจวนถึงมื้ออาหารแล้ว
อาจารย์ซ่งกำลังแทะน่องไก่อย่างเอร็ดอร่อย
ทันใดนั้น เขาก็ยกมือขึ้นกุมท้อง ส่งเสียงร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ยยยยย ข้าปวดท้อง… โอย…”
ลู่จื่อชิงงุนงงพลันดึงซ่งหานจือเข้ามา “เจ้าใส่ยาอะไรลงไป? เหตุใดถึงปวดท้องเพียงนี้?”
“เป็นแค่เพียงยาที่ทำให้คนงุนงง ไม่ใช่ยาอื่น” ซ่งหานจือก็สับสนเช่นกัน
อาจารย์ซ่งหัวเราะออกมาเต็มที่ “เด็กน้อยทั้งสอง ถูกหลอกแล้วกระมัง? ลูกไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเจ้ายังคิดจะใช้หลอกข้า ข้าจะไม่ปิดบังพวกเจ้า ร่างกายข้าร้อยพิษไม่กล้ำกราย”
ลู่จื่อชิงประหลาดใจ “ท่านยังมีร่างกายเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“แน่นอนว่ามี” อาจารย์ซ่งเอ่ย “หากเจ้าว่านอนสอนง่าย ภายหน้าข้าสามารถช่วยพวกเจ้าให้ควบคุมร่างกายตนเองได้ ร่างกายพวกเจ้าร้อยพิษย่อมไม่กล้ำกรายเช่นกัน”
“พวกเราล้มเหลวอีกแล้ว” ลู่จื่อชิงทำหน้าบูดบึ้ง “ช่างเถิดช่างเถิด พวกเรากินข้าวกันเถอะ!”
ซ่งหานจือตะโกนไปข้างนอก “ผู้ใดก็ได้ ยกอาหารเข้ามา”
บ่าวรับใช้ยกอาหารเข้ามา
อาหารรสเลิศจานแล้วจานเล่าวางถูกนำมาวางบนโต๊ะตรงหน้า
อาจารย์ซ่งเห็นเช่นนี้ก็เลิกราทันที “เหตุใดอาหารที่พวกเจ้ากินไม่เหมือนกับที่ข้ากิน”
“ข้าเป็นคุณหนูรองสกุลลู่ แน่นอนว่าของที่ข้ากินต้องดีที่สุด” ลู่จื่อชิงทำหน้าทะเล้นใส่เขา “เดิมทีข้าควรเคารพอาจารย์ แต่ใครให้ท่านรังแกข้า วันนี้ข้าไม่ให้ท่านกินแล้ว…”
“นั่นไม่ได้ ข้าอยากกิน” อาจารย์ซ่งเดินเข้ามาหา
ทันทีที่เขานั่งลง ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติทันที
แกร๊ก! แกร๊ก! เพียงแค่เขานั่งลง กลไกก็ปรากฏขึ้น แขนสองข้างและขาสองข้างถูกมัดไว้
หากเป็นเพียงเชือกธรรมดา เขาย่อมหลุดรอดออกไปได้ทันที ทว่ากลไกบนเก้าอี้นั้นเป็นโซ่เหล็ก ถึงแม้เขาจะมีพลังภายในล้ำลึกเพียงใดก็ไม่อาจสะบัดหลุดได้
ยิ่งเขาดิ้นรนมากเท่าใด โซ่นั้นก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น
“นี่ เจ้าเด็กเหม็นโฉ่ ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า เจ้ากลับใช้กับดักเช่นนี้กักตัวข้าไว้!” อาจารย์ซ่งตะโกนลั่น
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจยังไม่เข้าใจว่าแม่ข้าทำอะไรได้บ้าง” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ซ่งหานจื่อกับข้าเล่นกับท่านอยู่หลายชั่วยาม นั่นไม่ใช่ว่าเราไม่มีอะไรใช้จัดการกับท่าน หากแต่เรากำลังรอให้ท่านคลายความระมัดระวัง จากนั้นก็กินเรียบในคราวเดียว แน่นอนว่าข้าไม่ได้เก่งกลไก ทว่าครานี้ท่านแม่ข้าพาช่างมาสองสามคน เรื่องแค่นี้สำหรับพวกเขาแล้วง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย เป็นอย่างไร? วิชากลไกของท่านแม่ข้าไม่เลวกระมัง?”
“แม่สาวน้อย เจ้าชนะโดยไม่ยุติธรรม!” อาจารย์ซ่งเอ่ย “ท้ายที่สุดแล้วเจ้ายังคงพึ่งพามารดา เจ้าไม่ได้ชนะแม้แต่น้อย!”
“ประการแรก มีคำกล่าวที่ว่าการศึกไม่หน่ายเล่ห์กล เรื่องนี้เขียนไว้ในตำราสงครามที่ข้าอ่านเมื่อไม่นานมานี้ ประการที่สองท่านแม่ข้าบอกว่า มีชาติกำเนิดที่ดีก็เป็นความสามารถของข้าเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเหตุใดผู้อื่นไม่เกิดในสกุลลู่เล่า? ประการสุดท้าย ท่านอายุมากแล้ว ท่านรังแกเด็กสองคนไม่ใช่ชนะโดยไม่ยุติธรรมหรือ ข้าต้องเค้นสมอง คิดหาวิธีที่จะจัดการกับจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ นี่ยังใช้ไม่ได้อีกรึ?” ลู่จื่อชิงเอ่ยพร้อมกับดึงไหสุราออกจากเอวเขา
“ชิงเอ๋อร์ชนะแล้ว ท่านไม่อาจกลับคำได้ ไม่เช่นนั้นท่านจะไม่เป็นอาจารย์เสียเปล่าหรือ” ซ่งหานจือเอ่ย
“เอาเถอะๆ ข้าแพ้แล้ว” อาจารย์ซ่งเอ่ยด้วยความโมโห “เดิมทียังคิดว่าพวกเจ้ารู้จักแต่ลูกไม้ของเด็กน้อยเท่านั้น นึกไม่ได้ถึงว่าจะเล่นใหญ่โตถึงเพียงนี้ คราวนี้นับว่าข้าพลาดเอง”
ลู่จื่อชิงปล่อยท่านอาจารย์ซ่งออก
อาจารย์ซ่งกินดื่มพอแล้วก็สอนเพลงกระบี่ให้ลู่จื่อชิงและซ่งหานจือ
“เพลงกระบี่นี้มีความพิเศษอย่างหนึ่ง” อาจารย์ซ่งเอ่ย “นั่นคือหากฝึกฝนเพลงกระบี่ร่วมกันสองคนสามารถเพิ่มพลังในการสังหารได้หลายเท่า หากผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสองมีความเข้าใจกันอย่างดีเยี่ยม ผลลัพธ์ที่ได้ยิ่งดีกว่าที่คาดไว้”
“เช่นนั้นข้าจะฝึกกับซ่งหานจือ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ท่านสอนพวกข้าเถิด”
ฉินโม่ถงมองไปทางคนสองสามคนบนเรือ
ขณะที่พวกเขาฝึกเพลงกระบี่ เจ้าตัวก็เฝ้ามองอย่างเงียบเชียบ เคลื่อนไหวนิ้วไปมา ราวกับกำลังพยายามจดจำทุกการเคลื่อนไหว
มู่ซืออวี่บังเอิญออกมาสูดอากาศพอดีจึงเห็นเขายืนอยู่ที่หน้าต่าง
ฉินโม่ถงสังเกตเห็นมู่ซืออวี่จึงรีบค้อมคำนับแล้วกลับเข้าไปในห้อง
“เด็กคนนี้ค่อนข้างมีมารยาททีเดียวนะเจ้าคะ” ฉานอีเอ่ย “จากอากัปกิริยาของเขาแล้ว คงไม่ใช่เด็กที่มาจากครอบครัวยากจน อย่างไรก็ตาม ตอนที่เราช่วยเขาไว้ เสื้อผ้าของเขากลับเก่ามอซอ ช่างน่าแปลกจริง ๆ”
“เกรงว่าจะเป็นเด็กน่าสงสารอีกคนที่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง” มู่ซืออวี่กล่าว