สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 875 ปัญหาของผู้ปลูกหม่อนไหม
บทที่ 875 ปัญหาของผู้ปลูกหม่อนไหม
ขณะที่ลู่จื่ออวิ๋นดื่มน้ำแกงไก่ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังมาจากข้างนอก จึงเอ่ยถามว่า “ผู้ใดเป่าขลุ่ย”
เสียงขลุ่ยแปร่งหูไปบ้าง ไม่เหมือนเล่นเป็นบทเพลง
“คุณหนูรองหาตัวผู้ฝึกนกมาจากข้างนอกเพคะ พวกเขากำลังค้นหาผู้ที่เลี้ยงนกพิราบในวัง” ไป๋จื่อเอ่ย
ติงเซียงที่เดินเข้ามาพร้อมกับอาภรณ์ที่มีปกคอใหม่เอ่ยขึ้น “ฮองเฮา หาตัวผู้ที่เลี้ยงนกพิราบพบแล้วเพคะ”
“เร็วเพียงนี้เลยหรือ?” ไป๋จื่อประหลาดใจ “ฟังจากเสียงขลุ่ย ควรเพิ่งเริ่มจึงจะถูก”
“ผู้ฝึกนกผู้นั้นมีความสามารถอยู่บ้าง เขาติดตามใต้เท้าเซี่ยไปรอบ ๆ วังหลวง กำหนดตำแหน่งโดยประมาณจากมูลนก จากนั้นก็เป่าขลุ่ย นกพิราบที่ซ่อนอยู่จึงตอบรับด้วยเสียงนกร้อง” ติงเซียงเอ่ย “นกเหล่านั้นถูกเลี้ยงไว้ที่ห้องใต้ดินของตำหนักเย็น ผู้ที่เลี้ยงพวกมันเป็นเหล่ามามาผู้หนึ่ง ปกตินางจะแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดจึงไม่มีผู้ใดนึกสงสัยนาง”
“เหล่ามามาในตำหนักเย็น หูหนวกตาบอด…” ไป๋จื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ “ข้าเคยเห็นคนผู้นี้ ตอนนั้นยังนึกสงสาร เห็นว่านางไม่มีเสื้อผ้าหนา ๆ ใส่ในฤดูหนาว ข้ายังมอบเงินให้นางไปหนึ่งตำลึง”
ติงเซียงเห็นสีหน้าปวดใจของไป๋จื่อก็หัวเราะออกมา
“ในเมื่อจับนางได้แล้ว คิดว่าไม่นานคงได้ความว่านางส่งสารให้ผู้ใด” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
“คุณหนูรองเก่งกาจจริง ๆ นะเพคะ!” ติงเซียงเอ่ย “ตอนที่พวกเราเพิ่งมาจากอาณาจักร คุณหนูรองยังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง บัดนี้นางนับวันยิ่งมีความรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มบาง “หากนางเป็นคนไม่เอาไหนจริง ๆ เจ้าคิดว่าท่านอาฉีจะสอนวรยุทธ์ให้นางด้วยตนเองหรือ? ทั่วหล้าล้วนคิดว่าคุณหนูรองลู่เป็นสาวน้อยแข็งกระด้างผู้หนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าสาวน้อยผู้นี้ไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น”
“นี่ใช่คนประเภทแสร้งเป็นสุกรหลอกกินพยัคฆ์หรือไม่เพคะ?” ติงเซียงเอ่ย “ในบทละครมีคนประเภทหนึ่ง ปกติแล้วดูโง่งม ความคิดเรียบง่าย ทว่าในยามคับขันกลับลุกขึ้นแทงศัตรู ผู้อื่นจัดการได้ยาก”
“แทงอะไรหรือ?” ลู่จื่อชิงเดินเข้ามาจากด้านนอก
รสนิยมการแต่งกายของลู่จื่อชิงแตกต่างจากลู่จื่ออวิ๋นอย่างสิ้นเชิง หากลู่จื่ออวิ๋นเป็นไปตามแบบอย่างผู้สูงศักดิ์ ลู่จื่อชิงกลับเป็นอย่างจอมยุทธ์หญิงผู้กล้าหาญ
“พวกนางบอกว่าเจ้าเก่งกาจยิ่ง ใต้เท้าเซี่ยกังวลเรื่องต่าง ๆ มานานเพียงนั้น เจ้าออกจากวังเพียงเที่ยวเดียวก็แก้ปัญหาได้ทันที” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เหนื่อยแล้วกระมัง? รีบมาทานของว่างสักหน่อยเถิด”
“คนผู้นั้นหลบซ่อนเป็นอย่างดี หากไม่คิดหาวิธีอื่น ย่อมหาตัวออกมาไม่ง่ายดายจริง ๆ เจ้าค่ะ เพียงแต่เหล่ามามาผู้นั้นเป็นหน่วยกล้าตาย กลืนยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว” ลู่จื่อชิงเอ่ย
“เช่นนั้นที่ทำมาทั้งหมดไม่สูญเปล่าหรือเจ้าคะ?” ไป๋จื่อเอ่ยถาม
“เหตุใดจึงจะสูญเปล่าเล่า?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “คนซ่อนอยู่ในวังก็เป็นอันตรายเช่นกัน ขอเพียงแค่หาตัวออกมาได้ เรื่องนี้นับว่าพวกเราชนะแล้ว”
ลู่จื่อชิงมาที่นี่เพื่อบอกลู่จื่ออวิ๋นเรื่อง ‘คดีนกพิราบขาว’ โดยเฉพาะ กล่าวจบแล้ว นางก็ไม่อยู่รบกวนลู่จื่ออวิ๋น เพื่อให้อีกฝ่ายได้นอนพักรักษาตัว โดยตั้งใจว่าจะไปฝึกเคล็ดวิชากระบี่กับซ่งหานจือ
หลังออกจากตำหนักมาได้ไม่นานก็เห็นนางข้าหลวงคนหนึ่งกำลังตำหนินางกำนัลเล็ก นางกำนัลเล็กผู้นั้นคุกเข่ากล่าวขออภัยอยู่
“ถึงแม้นางทำเรื่องผิดพลาดอะไร เจ้าก็ได้ลงโทษนางแล้ว ไยยังไม่ปล่อยนางไปอีก?” ลู่จื่อชิงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยปาก “เจ้าให้โอกาสนางอีกสักคราเถิด หากครั้งหน้านางทำอีก ค่อยลงโทษขั้นรุนแรง”
นางข้าหลวงผู้นั้นเห็นลู่จื่อชิงก็รีบกล่าวอธิบายโดยเร็ว “คุณหนูรองไม่ทราบอะไร เด็กคนนี้ราวกับไร้จิตวิญญาณ หมู่นี้มักจะทำเรื่องผิดพลาดบ่อยครั้ง ก่อนหน้านี้ยังดี ๆ อีกทั้งยังดูเฉลียวฉลาดใช้การได้ บ่าวยังคิดจะส่งเสริมนางให้ดี ภายหน้าบ่าวออกจากวังจะได้มีคนรับช่วงต่อ นึกไม่ถึงว่านางนับวันยิ่งโง่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บ่าวผิดหวังจึงได้เสียการควบคุมตนเอง คุณหนูรองกล่าวได้ถูกต้อง บ่าวไม่ควรจับนางไว้ไม่ปล่อย”
“เจ้ามีเรื่องให้กังวลใช่หรือไม่?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
“ครอบครัวบ่าวปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ไม่กี่วันก่อนกลับไปเยี่ยมบ้าน บังเอิญเจอผู้มารับรังไหมในหมู่บ้าน ใต้เท้าท่านนั้นกล่าวว่ารังไหมจากหมู่บ้านเราด้อยคุณภาพ ไม่ได้ราคา จึงให้ราคาที่ต่ำมาก คนในหมู่บ้านล้วนทำงานหนักมานาน อาศัยการขายรังไหมเหล่านี้เลี้ยงชีวิต บัดนี้เกรงว่าแม้กระทั่งท้องยังกินไม่อิ่ม หมู่นี้บ่าวยิ่งคิดยิ่งทุกข์ใจ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงทำผิดพลาดไปหลายอย่างเจ้าค่ะ”
“อาณาจักรเฟิ่งหลินมีผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจำนวนมากใช่หรือไม่?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
“เจ้าค่ะ”
“รังไหมของพวกเจ้าด้อยคุณภาพจริงหรือ?”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” นางกำนัลกล่าว “คนในหมู่บ้านพวกเราใส่ใจการเลี้ยงไหมเป็นพิเศษ ทุกขั้นตอนล้วนทำโดยละเอียด ไหมที่พวกเราปั่นออกมาได้นั้นขาวนุ่ม ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย”
การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นนโยบายที่ลู่จื่ออวิ๋นนำมาใช้ ช่วงแรกผู้เลี้ยงไหมหาเงินได้มากมาย มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น บัดนี้ลู่จื่ออวิ๋นต้องอยู่เดือนในวัง มีหลายเรื่องในราชสำนักที่นางต้องจัดการ ดังนั้นทางผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจึงอยู่ในความรับผิดชอบของขุนนางกรมพระคลัง บัดนี้ดูเหมือนว่ามีผู้จับจ้องตำแหน่งที่กอบโกยเงินได้จำนวนมากตำแหน่งนี้ คิดจะฉกฉวยประโยชน์จากมัน
“หากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ข้าจะให้ความยุติธรรมแก่เจ้า” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เพียงแต่ต่อไปนี้มีเรื่องอะไรให้กล่าวออกมาตามตรง อย่างได้คิดจะใช้อุบายกับข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องทุกข์ทรมาน”
นางกำนัลคุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะพลางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา “บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ”
“ที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับพระตำหนักฮองเฮามาก กล่าวได้ว่าเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปยังที่อื่นได้ เจ้าจงใจส่งเสียงดังอยู่ตรงนี้คิดจะดึงดูดความสนใจคน ขอเพียงเป็นคนสำคัญข้างกายฮองเฮา หากไม่ใช่ข้า ก็อาจเป็นไป๋จื่อหรือติงเซียง ข้ากล่าวไม่ผิดกระมัง?” ลู่จื่อชิงมองนางกำนัลตรงหน้านิ่ง ๆ นางข้าหลวงผู้นั้นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่กล้าเปิดปากเอ่ยแม้เพียงคำเดียว
“คุณหนูรองได้โปรดยกโทษให้ข้าเถอะนะเจ้าคะ”
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าแต่ไม่ชอบวิธีการ ข้าชอบเพียงคนที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น คนที่กล้าใช้อุบายกับข้าอย่าได้แม้แต่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ข้าเห็นว่าเจ้าอายุไม่มาก ทำไปเพราะเป็นห่วงครอบครัว คราวนี้ก็แล้วไปเถิด”
“ขอบคุณคุณหนูรองเจ้าค่ะ”
ลู่จื่อชิงย้อนกลับไปยังตำหนักฮองเฮา
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม นางก็ออกมาพร้อมกับป้ายในมือ
“ซ่งหานจือ พวกเราออกจากวังไปเที่ยวเล่นกันเถอะ!” ลู่จื่อชิงส่ายป้ายในมือตนไปมา
ซ่งหานจือเขียนขีดสุดท้ายแล้วเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นสิ่งของที่อยู่ในมือนาง แววตาเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นี่เจ้าคิดจะทำอะไรอีก?”
“พี่หญิงข้าบอกว่าหมู่นี้โจรในอาณาจักรเฟิ่งหลินมักจะออกก่อกวนผู้คน นางจึงมอบองครักษ์ส่วนพระองค์ให้ข้าส่วนหนึ่ง เพื่อให้ข้านำไปลาดตระเวนบริเวณโดยรอบ” ลู่จื่อชิงกล่าว
“กี่คน?”
“ห้าร้อย”
ซ่งหานจือประหลาดใจ “พระนางฮองเฮาช่างเอ็นดูเจ้าจริง ๆ”
ทหารองครักษ์ห้าร้อยนาย พระนางบอกว่าจะให้ก็ให้ ไม่กลัวว่านางจะก่อเรื่องแม้แต่น้อย
ราชาปีศาจตัวน้อยนำทหารองครักษ์ห้าร้อยนายเที่ยวเตร่ไปทั่วเมือง ดึงดูดความสนใจผู้คนจำนวนมากให้มารุมล้อม
เมื่อเห็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งอยู่ด้านหน้า แต่งกายในชุดกระฉับกระเฉงองอาจ ดูสง่าผ่าเผยห้าวหาญคิ้วตางดงาม ก็ทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความชื่นชมแม่นางน้อยที่พลังเหลือล้น หันไปมองดรุณน้อยหลายคนข้างกายแม่นางน้อย แม้นพวกเขาจะยังเยาว์ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าอนาคตจะโดดเด่นเพียงใด โดยเฉพาะผู้ที่ดูอายุน้อยที่สุด หน้าตานั่นช่างดูบอบบางน่ารักน่าชัง ราวกับเซียนน้อยในภาพวาด
“คุณชายน้อยผู้นั้นหน้าตาคล้ายคลึงฮองเฮาอยู่หลายส่วน”
“เขาคือน้องชายของฮองเฮา”
“สวรรค์ สกุลนี้เติบโตมาอย่างไรกัน?”
“ได้ยินว่าพี่ชายอัจฉริยะผู้นั้นของฮองเฮากับฮองเฮาเป็นฝาแฝด หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเชียวนะ”