สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 880 เข้าอกเข้าใจ
บทที่ 880 เข้าอกเข้าใจ
มู่ซืออวี่ไม่อนุญาตให้ลู่จื่อชิงออกนอกวัง
ครึ่งเดือนถัดมา ลู่จื่อชิงศึกษาตำรากับอาจารย์ซ่งทุกวัน หากนางทำได้ดีก็สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้
อาจารย์ซ่งมีความสามารถอยู่บ้างจริง ๆ ลู่จื่อชิงฝึกวิชาตัวเบาใช้กำลังภายในที่เขาเพิ่งสอน จึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ เรื่องนี้ทำให้นางเบิกบานใจเป็นพิเศษ ไร้เรื่องให้หงุดหงิด
หมู่นี้มู่ซืออวี่ไม่อยู่ในวัง เพราะได้ยินว่ามีการขุดพบหินแร่ที่ไหนสักแห่ง นางไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกสนใจเล็กน้อยจึงไปดู
“พี่หญิง พี่หญิงผู้แสนดี ให้ข้าได้ออกไปสูดอากาศบ้างเถิดนะเจ้าคะ!” ลู่จื่อชิงเขย่าแขนของลู่จื่ออวิ๋นไปมา “ข้าสัญญาว่าจะไม่ก่อปัญหา ซ่งหานจือก็ติดตามไปกับข้า มีเขาคอยจับตาดู ท่านยังไม่วางใจหรือเจ้าคะ?”
“แต่ไหนแต่ไรมาหานจือก็ฟังคำเจ้า ให้เขาติดตามเจ้าไปมีประโยชน์อะไร? เขายังจะห้ามปรามเจ้าได้หรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นไม่อาจทนการรบเร้าของลู่จื่อชิงได้ นางเอ่ยว่า “กลับมาก่อนฟ้ามืด ไม่เช่นนั้นท่านแม่จะโกรธเอาได้”
“ก่อนหน้านี้ ท่านแม่ไม่เคยกักขังข้า บัดนี้นับตั้งแต่มาอาณาจักรเฟิ่งหลิน นู่นก็ไม่ให้ข้าทำ นี่ก็ไม่ให้ข้าทำ นี่ไม่เหมือนนิสัยท่านแม่แม้แต่น้อย” ลู่จื่อชิงพึมพำ
“ข้าผิดต่อเจ้าแล้ว ท่านแม่ทำเช่นนี้ก็เพื่อข้า ยามนี้ข้าต้องจัดการเรื่องราวมากมายในราชสำนัก แม้ว่าผิวเผินทุกอย่างดูสงบนิ่ง ทว่าจริง ๆ แล้วหลายคนไม่พอใจกับการปกครองของข้า ท่านแม่ไม่อยากให้เจ้าออกไป เพราะนางไม่อยากให้เจ้าต้องเผชิญกับอันตรายเหล่านั้น ในอาณาจักรฮุ่ย ท่านพ่อเป็นดั่งขุนเขาไม่อาจสั่นคลอน ผู้ใดจะกล้าสร้างปัญหาให้กับสกุลลู่เรา ทว่าอยู่ที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า อาจจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาณาจักรได้”
“พี่หญิง ข้าทราบแล้ว ข้าจะระวัง” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ซ่งหานจือก็เรียนรู้วิชาตัวเบาได้ระดับหนึ่งแล้ว มิหนำซ้ำยังมีโม่ถง เขาก็ติดตามข้าไปเช่นกัน ท่านไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว มิถูกหรือ?”
ลู่จื่อชิงนำซ่งหานจือและฉินโม่ถงออกจากวังไป
“ไม่ได้ออกจากวังมานานแล้ว ข้างนอกยังสบายเช่นเคย” ลู่จื่อชิงเงยหน้ามองท้องฟ้าที่แจ่มใสแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าคิดว่าซูหลินได้รับข้อความจากข้าหรือไม่?”
“คงได้รับแล้ว” ซ่งหานจือเอ่ย “หากซูหลินไม่มา พวกเราก็ไปเที่ยวเล่นกันเองเถิด อย่างไรเสีย เราก็ต้องกลับวังก่อนฟ้ามืด ไม่เช่นนั้นหากท่านป้าลู่รู้เข้า…”
“รู้แล้ว ๆ เหตุใดเจ้าถึงได้กลัวแม่ข้าเพียงนี้? กล่าวกันด้วยเหตุผลแล้ว ท่านแม่ข้าอ่อนโยนต่อเจ้าที่สุด ไม่เคยชักสีหน้าใส่เจ้า แต่ดูท่าทางของเจ้าสิ ทำราวกับแม่ข้าเป็นเสืออย่างไรอย่างนั้น”
“นั่นไม่ใช่เพราะข้าเป็นห่วงหรือไร…” ซ่งหานจือพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็ไม่ได้กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
“เกิดเรื่องแล้ว… เกิดเรื่องแล้ว…” มีคนวิ่งผ่านมาด้วยความตื่นตระหนก “สกุลซู… สกุลซูถูกสังหารทั้งสกุลแล้ว”
“สกุลซู คงไม่ใช่สกุลซูหลินกระมัง?”
บิดาของซูหลินเป็นขุนนางขั้นสามในราชสำนัก ถึงตำแหน่งขุนนางของเขาจะธรรมดาทั่วไปก็ยังเป็นขุนนางคนสำคัญที่เข้าร่วมประชุมได้ คงไม่มีผู้ใดอาจหาญทำเรื่องอย่างการสังหารทั้งสกุลกระมัง?
ทั้งสามคนรีบไปยังสกุลซู
หน้าประตูสกุลซูไม่มีแม้กระทั่งผีสักตัว
เมื่อครู่นี้ยังพอมีคนเดินผ่านไปมา จนกระทั่งคนส่งอาหารนำอาหารเข้าไปแล้ววิ่งออกมาด้วยความตื่นตระหนก ทั้งยังร้องตะโกนลั่นว่า สกุลซูถูกสังหารยกสกุล จากนั้นก็วิ่งเตลิดเปิดเปิงออกไปราวกับถูกผีไล่ตาม ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ประตูบ้านสกุลซูอีกแล้ว
ซ่งหานจือเปิดประตูออก
สิ่งแรกที่เห็นมีเพียงศพที่เกลื่อนกลาดอยู่ทั่วพื้น
“ชิงเอ๋อร์ ไม่ต้องมอง” ซ่งหานจือหันกลับมายกมือปิดตาลู่จื่อชิง
ลู่จื่อชิงดึงมือเขาออกแล้วมองไปยังฉากตรงหน้า ใบหน้าของนางเผือดสี “ผู้ใดทำ? ไม่ว่าจะมีความเกลียดชังแบบใด คงไม่ถึงขั้นไม่ยอมปล่อยแม้กระทั่งเด็กรับใช้เฝ้าประตูไปกระมัง?”
“คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ย่อมไร้มนุษยธรรม” ซ่งหานจือกล่าว
“อึก!” ฉินโม่ถงที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
ในตอนนี้เอง เจ้าหน้าที่จากศาลต้าหลี่ที่ได้ยินข่าวก็รุดมาถึง
“คุณหนูรองลู่ เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่?” เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่เอ่ยถาม “พวกท่านมาตั้งแต่เมื่อใดหรือ?”
“เราเพิ่งมาถึง” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ท่านวางใจ พวกเราไม่ได้เข้าไป ไม่ได้ทำให้สถานที่เกิดเหตุเกิดความเสียหาย”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่เอ่ย “สถานที่แห่งนี้ดูเลวร้ายเกินไป แม้กระทั่งข้าที่คุ้นชินกับความเป็นความตายมามากยังแทบทนไม่ไหว คุณหนูรองลู่ออกไปจากที่นี่ก่อนเถิด จะได้ไม่ต้องตกใจกลัว”
“พวกเรารู้จักคุณชายสกุลซู อยากเห็นว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“จากสถานการณ์ในตอนนี้ หากคุณชายซูอยู่ที่บ้าน เกรงว่า…”
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็อยากเห็นด้วยตาตนเอง”
“ได้ ข้าจะให้คนไปค้นหาคุณชายซูประเดี๋ยวนี้” เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่มอบหมายให้ลูกน้องหลายคนค้นหาซูหลิน
“พบแล้วขอรับ!” นักการผู้หนึ่งเดินแบกซูหลินออกมา “คุณชายซูซ่อนอยู่ใต้เตียง สลบไปแล้วขอรับ”
“รีบเชิญท่านหมอมาเร็วเข้า” หลังจากเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่สั่งคนของเขาแล้วก็กล่าวกับลู่จื่อชิง “คุณหนูรองลู่ ในเมื่อคุณชายซูไม่เป็นอะไร เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องกังวลแล้ว นอกจากนี้คุณชายซูยังเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว ข้าต้องถามคำถามเขาสักสองสามข้อ มิเช่นนั้นคดีนี้จะไร้เบาะแส ข้าก็ไม่อาจตรวจสอบต่อได้ ขอคุณหนูรองลู่โปรดเข้าใจ”
“ข้าเข้าใจ พวกเราจะไม่รบกวนท่านจัดการคดีอย่างแน่นอน เพียงแต่ซูหลินเป็นสหายเรา พวกเราอยากรอเขาตื่น”
กล่าวไปแล้วพวกนางกับซูหลินนับได้ว่าหากไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกัน
ซูหลินเป็นอันธพาลแห่งเมืองหลวง ทว่านิสัยเขากลับไม่ได้ย่ำแย่ ไม่เช่นนั้นลู่จื่อชิงคงไม่อยากเป็นลูกพี่เขา
เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่พาซูหลินไปไว้ที่จวนว่าการศาลต้าหลี่
กว่าซูหลินจะตื่นขึ้นมาก็ผ่านไปสองชั่วยามแล้ว
“ที่นี่คือที่ใด?”
“ศาลต้าหลี่” ซ่งหานจือเอ่ย “เจ้ารู้สึกไม่สบายที่ใดหรือไม่? หากเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ แค่เพียงบอกพวกเรา พวกเราจะเชิญท่านหมอมาทันที”
ซูหลินลุกขึ้นนั่ง แล้วขดตัวเอามือกุมศีรษะ
เขาจำได้แล้วว่าเหตุใดตนเองจึงมาอยู่ที่ศาลต้าหลี่
ครอบครัวของเขาล้วนไม่อยู่แล้ว
ลู่จื่อชิงจะเข้าไปปลอบ ทว่าถูกซ่งหานจือรั้งเอาไว้
ซ่งหานจือสั่นศีรษะ เอ่ยกระซิบเบา ๆ “ตอนนี้ปล่อยให้เขาร้องไห้ออกมาเถอะ! เรื่องใหญ่เพียงนั้น หากเก็บเอาไว้ในใจจะอึดอัดเพียงใด!”
ในตอนแรกเสียงของซูหลินแผ่วเบายิ่ง ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ร้องไห้ดังขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ปล่อยโฮออกมา
ดวงตาของฉินโม่ถงแดงเรื่อ
เขาเดินเข้าไปกอดซูหลินเอาไว้
เขาเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียผู้เป็นที่รัก ทั้งยังเข้าใจว่ายามนี้ซูหลินสิ้นหวังและทำตัวไม่ถูกเพียงใด
ทั่วทั้งห้องก้องไปด้วยเสียงร่ำไห้ของเด็กหนุ่มทั้งสอง
ซูหลินร้องไห้อยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ควบคุมตนเองได้
“อันที่จริงข้าไม่เห็นว่าผู้ที่ฆ่าพวกเขาเป็นผู้ใด” ซูหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ยามนั้นข้าแอบดื่มสุราที่ท่านพ่อซ่อนไว้ในห้อง คิดถึงเรื่องที่ตาเฒ่าผู้นั้นชอบตีข้าบ่อย ๆ รอให้ข้าดื่มสุราที่เขาซ่อนไว้จนหมด เขาจะต้องโมโหมากเป็นแน่ นี่ก็นับว่าเอาชนะเขาได้ เพียงแต่สุรานั้นพร่องไปเพียงครึ่งเดียว ตาเฒ่านั่นก็วิ่งเข้ามาด้วยอาการตื่นตระหนก ยัดข้าเข้าไปใต้เตียง อีกทั้งยังบอกให้ข้าเงียบเสียง ตอนนั้นข้ากำลังมึนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอตาเฒ่าผู้นั้นออกไปก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้นมาจึงหวาดกลัวจนไม่กล้าปริปาก หลังจากนั้นข้าก็ไม่รู้สิ่งใดแล้ว”