สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 881 เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
บทที่ 881 เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
“สกุลซูของเจ้าไม่ใช่สกุลชาวบ้านธรรมดาทั่วไป คนมากมายเพียงนั้นจู่ ๆ ก็ถูกสังหารทั้งหมด ก่อนหน้านี้เจ้าเคยระแคะระคายอะไรหรือไม่?” ซ่งหานจือถาม “ระยะนี้มีคนน่าสงสัยปรากฏตัวในสกุลเจ้าหรือไม่?”
“คนน่าสงสัย…” ซูหลินส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ อย่างที่พวกเจ้ารู้ ข้าไม่เคยสนใจเรื่องในครอบครัวเลย”
“เอาละ ไม่ต้องถามแล้ว” ลู่จื่อชิงกล่าว
เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่รู้ว่าซูหลินฟื้นแล้ว พวกเขาก็เรียกตัวซูหลินไปถามคำถามมากมายทันที เมื่อซูหลินกลับมา สีหน้าเขาไม่น่าดูเท่าใดนัก อีกทั้งยังดูไร้ชีวิตชีวา แตกต่างจากคนหยิ่งผยองก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“ต่อจากนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป? อย่างเช่น เจ้าคิดจะไปที่ใด?” ลู่จื่อชิงถามซูหลิน
ซูหลินตอบ “ข้ายังมีท่านตาท่านยาย ตอนนี้ดูเหมือนต้องไปหาพวกเขาแล้ว”
“เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากคนผู้นั้นที่ทำลายล้างสกุลซูรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่จะไปหาท่านตาท่านยายของเจ้าแล้วตามฆ่า บางทีพวกเขาอาจจะตามฆ่าเจ้าเพื่อตัดรากถอนโคน” ซ่งหานจือกล่าว
สีหน้าของซูหลินแปรเปลี่ยนฉับพลัน
“หานจือกล่าวไม่ผิด” ลู่จื่อชิงเอ่ย “มิเช่นนั้น เจ้าติดตามพวกเราก่อนดีหรือไม่? ถึงแม้ข้าจะอยู่กับพี่หญิงเพียงชั่วคราว แต่ข้าเป็นลูกพี่เจ้าไม่ใช่หรือ มีข้าอยู่หนึ่งวัน แน่นอนว่าข้าต้องปกป้องเจ้าได้อีกหนึ่งวัน”
“พระนางฮองเฮาจะ…”
“พี่หญิงข้าเป็นมารดาอาณาจักรพวกเจ้า เรื่องสกุลซูก็อยู่ในความรับผิดชอบของนาง ยามนี้เจ้าอยู่ในวังไปก่อน รอให้หาตัวมือสังหารพบ วิกฤตคลี่คลาย ค่อยจัดการเรื่องสกุลซูอีกครั้ง” ลู่จื่อชิงเอ่ย “จัดการตามนี้ก็แล้วกัน”
ลู่จื่ออวิ๋นเรียกศาลต้าหลี่ สำนักตรวจการ กรมอาญา กรมกองที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบมาเพื่อหารือเรื่องคดีนี้ ในยามนี้เองขุนนางที่ปรึกษาก็ถูกเรียกตัวเข้าวังแล้วเช่นกัน พวกเขาถกเรื่องนี้กัน ในพระที่นั่งอี้เจิ้งเป็นเวลาสองชั่วยาม กว่าพวกเขาจะออกจากวังก็เป็นเวลาดึกแล้ว
มู่ซืออวี่กำลังหยอกล้อเสี่ยวเฉิงอี๋ เมื่อนางเห็นลู่จื่ออวิ๋นกลับมาจากข้างนอกจึงเอ่ยขึ้น “ไม่มีเบาะแสหรือ?”
“ท่านแม่สติปัญญาล้ำเลิศจริง ๆ” ลู่จื่ออวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ แล้วยกชาขึ้นจิบ
“นี่ต้องขบคิดที่ใดกัน? ดูจากสีหน้าเจ้าก็มองออกแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “โศกนาฏกรรมฆ่าล้างสกุล นี่เป็นการท้าทายราชสำนัก ท้าทายทั้งอาณาจักรเฟิ่งหลิน”
“คนในสกุลซูกว่าร้อยคนถูกฆ่าในระยะเวลาสั้น ๆ ทั้งยังไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้ เมื่อถามเพื่อนบ้าน พวกเขาต่างก็บอกว่ายามนั้นมีคนแสดงกายกรรมผาดโผนอยู่บนท้องถนน พวกเขาล้วนไปดูกายกรรม”
“ข้าก็ยกคำถามนี้ขึ้นมาเช่นกัน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ทางศาลต้าหลี่ก็ตรวจสอบแล้ว คณะกายกรรมคณะนั้นเพิ่งมาจากที่อื่นไม่นานมานี้ การแสดงผาดโผนของพวกเขาค่อนข้างแปลกใหม่ ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลมาที่นี่เพราะชื่อเสียงของพวกเขา”
“ตาข่ายสวรรค์ห่างแต่ไม่รั่ว ในเมื่อทำแล้วย่อมต้องตรวจสอบความจริงออกมาได้เสมอ เพียงแต่สงสารเด็กคนนั้นยิ่งนัก ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“น้องหญิงพาเขาเข้าวังมาแล้ว”
“เช่นนี้ก็ดี”
ลู่จื่อชิงขอลาเรียนกับอาจารย์ซ่ง บอกว่านางต้องการตรวจหาความจริงเรื่องโศกนาฏกรรมทำลายล้างครอบครัวน้องชายตน
อาจารย์ซ่งนั่งกระดกสุราอยู่บนต้นไม้ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ รับคำอย่างไม่ยี่หระ
“นังหนู มือสังหารผู้นั้นใช้อาวุธอะไร?” อาจารย์ซ่งเอ่ยถาม
ลู่จื่อชิงพลันตระหนักขึ้นมาได้ “จริงสิ เหตุใดข้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้?”
ซูหลินวิ่งเข้ามาจากด้านนอก “ข้านึกถึงผู้ที่น่าสงสัยได้ผู้หนึ่ง”
“ผู้ใด?”
“เด็กหนุ่มผู้หนึ่งอายุไม่มากไปกว่าพวกเรานัก” ซูหลินเอ่ย “ยามนั้นเขามาหาพ่อข้า แล้วเดินออกมาจากห้องตำรา ข้าได้ยินพวกเขาทะเลาะกัน ครั้นข้ากำลังจะเข้าไป เขาก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเสียก่อน”
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเขาหน้าตาอย่างไร?” มู่ซืออวี่ถาม
“ข้าจำได้ขอรับ หน้าตาดีทีเดียว” ซูหลินเอ่ย “ข้ายังเหลือบมองเขาถึงสองสามครั้ง”
ศาลต้าหลี่ออกประกาศจับทันที เนื่องจากคดีนี้สร้างคลื่นลูกใหญ่ให้กับทั้งเมืองหลวง ราษฎรจำนวนมากต่างจับตามองเรื่องนี้
เมื่อติดประกาศจับ ทุกคนจึงแห่มามุงดู
“นี่มือสังหารหรือ? หน้าตาดูเยาว์วัยเกินไปหรือไม่?”
“พวกท่านลืมคดีฆาตกรรมต่อเนื่องเมื่อยี่สิบปีที่แล้วหรือไร? คดีนั้นตรวจสอบเป็นเวลานานหลายเดือนจึงพบทีหลังว่าจริง ๆ แล้วผู้ร้ายเป็นเด็กวัยสิบปี ปกติแสร้งทำเป็นใสซื่อบริสุทธิ์มีชีวิตชีวา ไร้พิษภัย อย่าได้ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันขาด บางคนดูเหมือนไม่มีปัญหา แต่บางทีอาจจะเป็นฆาตกรก็เป็นได้”
“หน้าตาน่ามองทีเดียว”
ขณะที่ชาวบ้านกำลังพูดคุยกัน ชายสวมหมวกม่านผู้หนึ่งก็เดินผ่านไป
คนผู้นั้นเดินเข้าไปในตรอกไร้คนสัญจรแห่งหนึ่ง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา แล้วมาหยุดอยู่หน้าประตูเก่าซอมซ่อ เขาเหลียวมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่พบเห็นผู้น่าสงสัยจึงเปิดประตูก่อนเดินเข้าไป
“นายท่าน ท่านถูกประกาศจับแล้ว”
ชายสวมหมวกม่านถอดหมวกม่านออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
เด็กหนุ่มที่กำลังให้อาหารนกในสวนได้ยินสิ่งที่ลูกน้องรายงานจึงเอ่ยขึ้น “ภาพวาดเหมือนหรือไม่?”
“เหมือนสามส่วนกระมัง! เพียงแต่นายท่าน ไฝที่หางตานั้นของท่านถูกวาดไว้แล้ว ค่อนข้างชัดเจนทีเดียว”
“เด็กสกุลซูผู้นั้นความจำไม่เลวจริง ๆ พบข้าเพียงครั้งเดียว นึกไม่ถึงว่าจะยังจดจำรูปร่างหน้าตาของข้าได้” เด็กหนุ่มผู้นั้นเอ่ย “ยามนั้นฟ้ามืดแล้ว เขายังมองเห็นไฝที่หางตาของข้า”
“ฟ้ามืด แต่ก็ยังมีตะเกียงส่องสว่าง ไม่ได้มืดมิดไร้แสงไฟนะขอรับ” ลูกน้องเอ่ย “ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? โรงพนันที่เราเตรียมการมาสองปีนี้ก็ไม่มีแล้วเพราะคุณหนูรองสกุลลู่ผู้นั้น บัดนี้ยังไปเกี่ยวพันกับคดีฆาตกรรม ท่านและคุณหนูรองลู่ผู้นี้ไม่ถูกชะตากันหรือขอรับ?”
“ไม่ใช่ฝีมือข้า ข้าไม่อาจรับโทษแทนผู้อื่นได้” เด็กหนุ่มผู้นั้นกล่าว “คุณหนูรองลู่… หนี้ที่นางติดค้างข้า ถึงเวลาต้องเก็บดอกเบี้ยแล้ว”
“นายท่านมีแผนอย่างไรหรือขอรับ? ไม่เช่นนั้นพวกเราออกไปจากที่นี่เสียก่อนดีหรือไม่?”
“สกุลซูไม่อยู่แล้ว ของของสกุลซูยังหาไม่พบ” เด็กหนุ่มผู้นั้นเอ่ย “สกุลซูยังมีนายน้อยที่รอดชีวิตอีกผู้หนึ่งไม่ใช่หรือ? บางทีของอาจอยู่กับตัวเขา ผู้ที่ฆ่าล้างสกุลเขา ไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน…”
“นายท่านคิดจะจับตาดูนายน้อยสกุลซูผู้นั้น เพื่อดูว่าเขารู้ถึงการมีอยู่ของของสิ่งนั้นหรือไม่หรือขอรับ?”
“ถึงแม้เขาจะไม่รู้เรื่องนั้น อย่างไรก็ต้องรู้เบาะแสบางอย่าง ขอเพียงเราจับตาดูเขา บางทีอาจพบลู่ทางอื่น”
หลังจากออกหมายจับได้หลายวันก็ยังไม่พบคนผู้นั้น
ลู่จื่อชิงและคนอื่น ๆ ช่วยซูหลินจัดงานศพของสกุลซู ขณะที่อยู่ต่อหน้าหลุมศพเขาก็ร้องไห้จนหมดสติไป จึงเตรียมจะพาเขากลับ
พรึ่บ!
คนชุดดำปรากฏตัวออกมาคนแล้วคนเล่า
ลู่จื่อชิงเห็นคนชุดดำจึงเอ่ยขึ้นว่า “ในที่สุดก็ปรากฏตัวเสียที! พวกข้ารอพวกเจ้ามานานแล้ว ไยพวกเจ้าถึงได้ช้าเพียงนี้เล่า?”
หากไร้เบาะแส เช่นนั้นข้าก็จะตระเตรียมเบาะแสให้
ตอนนี้เบาะแสก็ปรากฏแล้วไม่ใช่หรือ?
ในเมื่ออีกฝ่ายคิดจะทำลายสกุลซูให้สิ้นซาก ซูหลินยังมีชีวิตอยู่ มือสังหารตัวจริงย่อมไม่ปล่อยผู้รอดชีวิตรายนี้ไปอย่างแน่นอน นางจึงถอนกำลังผู้ติดตามคนอื่น ๆ และตามซูหลินมากล่าวอำลาครอบครัวเขาเป็นครั้งสุดท้ายเพียงลำพัง หากมือสังหารตัวจริงไม่ปรากฏตัวยามนี้ คราวหน้าจะหาโอกาสที่เหมาะสมกว่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
“ฆ่า!” คนชุดดำกระโดดเข้ามา
ซูหลินซึ่งเดิมทีหมดสติไปลุกขึ้นยืน กวัดแกว่งดาบในมือตนเองไปมา
“แสร้งหมดสติรึ!” ผู้นำของกลุ่มชายชุดดำเอ่ย “นับว่าเจ้าฉลาดอยู่บ้าง แต่น่าเสียดาย ความฉลาดของเจ้ารังแต่จะทำให้เจ้าถูกฆ่าเท่านั้น วันนี้คือวันตายของเจ้า!”