สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 883 ข้าไม่ใช่มือสังหาร
บทที่ 883 ข้าไม่ใช่มือสังหาร
“มือสังหารล้วนไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนฆ่า” ลู่จื่อชิงกล่าว
“แต่มือสังหารย่อมไม่จงใจปรากฏตัวต่อหน้าเจ้า” เด็กหนุ่มกล่าว
“ผู้ใดจะรู้เล่า? บางทีเจ้าอาจต้องการใช้วิธีนี้หลบหนี ท้ายที่สุดแล้วทั้งอาณาจักรล้วนประกาศจับเจ้า เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะทำลายรูปโฉมตนเองเหมือนนักฆ่าพวกนั้น ไม่ช้าก็เร็วย่อมถูกพบแน่นอน เจ้ามีรูปโฉมเช่นนี้ ย่อมไม่อาจตัดใจทำลายหน้าตาตนเองลง” ลู่จื่อชิงพินิจมองเด็กหนุ่มผู้นั้น “สายตาของซูหลินใช้ไม่ได้เลย ภาพวาดนั้นไม่เหมือนเจ้าแม้แต่น้อย ทว่านี่ไม่สำคัญ ข้าจำเจ้าได้แล้ว สามารถให้จิตรกรวาดภาพเจ้าออกมาได้”
“หากข้าเป็นมือสังหารจริง ๆ เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดหรือไม่? อย่างที่เจ้าเห็น วิชาตัวเบาของข้าดีกว่าเจ้าอยู่เล็กน้อย พละกำลังก็มากกว่าเจ้า ยามนี้ไม่มีผู้ปกป้องเจ้า ข้าฆ่าเจ้าได้ทันที”
ลู่จื่อชิงเงียบไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เปิดปากเอ่ยอีกครั้ง “บางที อาจเป็นเพราะข้าแซ่ลู่กระมัง?”
“ฮ่า ๆๆๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมา
เขาหน้าตาดี ยามหัวเราะออกมายิ่งเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม
ลู่จื่อชิงมองสบตาเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วกล่าวขึ้น “พวกเราเคยพบกันใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มหยุดหัวเราะแล้วหันกลับมามองนาง “เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
“เจ้า…” ลู่จื่อชิงชี้ไปที่เด็กหนุ่ม “อยู่นิ่ง ๆ”
เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่กับที่อย่างเชื่อฟัง
ลู่จื่อชิงยื่นมือไปปิดหน้าเขา เหลือไว้เพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังเปิดเผย
“เจ้า…” ลู่จื่อชิงผงะถอยหลังสองสามก้าว “เจ้าเป็นนายท่านโรงพนันผู้นั้น”
“สาวน้อย ฉลาดนี่!” เด็กหนุ่มเอ่ย “ตอนนี้เจ้าจำข้าได้แล้ว เช่นนั้นก็สะสางหนี้เก่าและใหม่รวมกันได้แล้วกระมัง?”
ลู่จื่อชิงหันไปมองประตู
เด็กหนุ่มผู้นั้นขวางประตูไว้แล้ว
นางแตะไปบนอาวุธลับบนข้อมือตนเองอีกครั้ง ถึงได้มั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าต้องการอะไร?”
“โรงพนันถูกยึดไปแล้ว เรื่องนี้เอาไว้คิดบัญชีภายหลัง สะสางบัญชีที่สองเสียก่อน ข้าขอกล่าวอีกครั้ง ข้าไม่ใช่มือสังหาร เหตุผลที่ข้าปรากฏตัวในสกุลซูเพราะข้าเป็นเจ้าหนี้สกุลซู” เขากล่าว “ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ข้าแซ่จี้ นามซ่งเฉิง ก่อนที่สกุลซูจะมั่งคั่งขึ้นมา หรือก็คือก่อนที่ใต้เท้าซูผู้นั้นจะกลายเป็นใต้เท้าซู เขาเป็นทาสเก่าแก่ในสกุลข้า สกุลข้าเดือดร้อน เขาจึงขโมยของของครอบครัวข้าหนีมา”
“เจ้ามาปรากฏตัวที่สกุลซูเพราะของสิ่งนั้นหรือ?”
“ไม่ผิด”
“ของสิ่งนั้นมีค่ามากหรือ?”
“แน่นอน”
“ความพินาศของสกุลซูก็เพราะของสิ่งนั้นเช่นกันใช่หรือไม่?”
จี้ซ่งเฉิงยิ้มบาง ๆ “สาวน้อย เจ้าพยายามหลอกล่อข้า!”
“ไม่จำเป็นต้องหลอกล่อก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ? พอเจ้าปรากฏตัวก็เกิดเรื่องกับสกุลซู เจ้ายังจะบอกว่าเจ้าไม่ใช่มือสังสารอีก ข้าดูแล้ว เจ้าคงหลอกลวงเก่งไม่เบา หากเจ้าไม่ใช่มือสังหารก็ตรงไปที่จวนว่าการเสีย อธิบายความสัมพันธ์ของเจ้ากับสกุลซู หาวิธีพิสูจน์ตนเองว่าไม่ใช่มือสังหาร ถ้าเจ้าถูกกล่าวหาโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมจริง ๆ ประกาศจับนั้นย่อมถูกปลดออก”
“เจ้าไม่ได้ไปที่จวนว่าการ แต่มาหาข้าแทน นั่นหมายความว่าตัวตนของเจ้าค่อนข้างพิเศษเล็กน้อย หรือบางทีเจ้าอาจไม่กล้าอธิบายตัวตนที่แท้จริงของตนเองต่อทางการ เจ้ามาหาข้าเพราะต้องการสืบหาข่าวซูหลิน อยากรู้ว่าของนั่นอยู่ที่ใด อีกอย่างข้าแซ่ลู่ไม่ใช่หรือ หากเจ้าได้รับความไว้วางใจจากข้า อยากจะปลดประกาศจับก็เป็นเรื่องง่ายดาย”
รอยยิ้มบนใบหน้าจี้ซ่งเฉิงเลือนหายไป
เขามองลู่จื่อชิง “อายุยังน้อย กล่าวด้วยท่าทีราวกับผู้ใหญ่อย่างนี้ได้อย่างไรกัน? เจ้าแซ่ลู่แล้วมีอะไรหรือ? หรือข้าคุณชายผู้นี้แค่เพียงอยากเป็นสหายกับเจ้าก็ไม่ได้?”
ลู่จื่อชิงชี้ไปบนขื่อคาน จากนั้นชี้ไปยังประตู
“แม่ของข้าบอกว่า สหายผูกมิตรในที่แจ้ง ไม่ใช่คนที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เจ้าไม่มีแม้กระทั่งความกล้าที่จะเดินผ่านเข้ามาทางประตูหน้าด้วยซ้ำ เจ้าจะเป็นสหายกับข้าได้อย่างไร?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “อันที่จริง หากเจ้าไม่ใช่มือสังหาร คิดจะให้ข้านำประกาศจับออก เช่นนั้นก็บอกข้ามาว่าพวกเจ้ากำลังหาอะไร เจ้ารู้เรื่องมือสังสารมากน้อยเพียงใด เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าผู้ที่ฆ่าล้างสกุลซูคือผู้ใด?”
“สาวน้อย เจ้าคิดมากไปแล้ว” จี้ซ่งเฉิงปีนข้ามกำแพงออกไป “หากอยากรู้เรื่องนี้ เช่นนั้นก็ถามซูหลินว่าบิดาเขาได้ให้สิ่งใดกับเขาสิ”
ซ่งหานจือเปิดประตูเดินเข้ามา “เมื่อครู่นี้เสียงอะไร?”
“มีคนซ่อนอยู่ที่นี่”
“ว่าอย่างไรนะ?! อยู่ที่ใด?!”
“หนีออกไปทางหน้าต่างแล้ว”
ซ่งหานจือรีบไล่ตามไป
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องเอ่ยถึงคน แม้กระทั่งเงายังมองไม่เห็น
“เจ้าเห็นว่าเป็นผู้ใดแล้วหรือ? เขาทำอะไรเจ้าหรือไม่?” ซ่งหานจือจับไหล่ลู่จื่อชิงเอาไว้ กวาดตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
เมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ลู่จื่อชิงยื่นมือไปบีบแก้มซ่งหานจือ “เจ้าผอมลงอีกแล้วหรือ?”
ซ่งหานจือ “…”
“ก่อนหน้านี้แก้มกลมยุ้ย บีบได้สบายมือยิ่ง ตอนนี้ไม่สบายมือแล้ว” ลู่จื่อชิงขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าชอบหุ่นผอมกะหร่องอย่างนั้นหรือ?”
ซ่งหานจือ “…”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของซ่งหานจือ ลู่จื่อชิงก็จริงจังขึ้นมา “ก็ได้ ๆ ข้าพูดแล้ว คนผู้นั้นคือผู้ที่ซูหลินบอกว่ามาหาบิดาของเขากลางดึกและเป็นที่ต้องการของคนทั้งเมือง”
“เขาทำอะไรเจ้าหรือไม่?”
“เขาเพียงแค่บอกว่าตนไม่ใช่มือสังหาร” ลู่จื่อชิงเล่าสถานการณ์เมื่อครู่นี้ให้ฟัง “สายตาเขาดูไม่เหมือนกำลังโกหก”
“เขามาหาเจ้าเพราะซูหลินกระมัง”
“เขาให้ข้าถามซูหลินดูว่าบิดาเขามอบของสิ่งใดให้”
“พวกเราลองถามดูได้”
“แต่ข้าเคยถามก่อนหน้านั้นแล้วและซูหลินก็ปฏิเสธ”
“ซูหลินกำลังตกใจที่เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้กับสกุลซู เขาอาจไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมากนัก ให้เวลาเขาสักระยะแล้วค่อยถาม ปล่อยให้เขาได้ใคร่ครวญอย่างรอบคอบเสียก่อน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความจริงของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับสกุลซู”
“ได้”
“ที่นี่ยังต้องตรวจสอบหรือไม่? ข้าลองตรวจดูที่อื่นแล้ว ทุกอย่างถูกเก็บกวาดหมด ไม่เหลือร่องรอยใด ๆ”
ลู่จื่อชิงมองไปรอบ ๆ “ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว ที่นี่ไม่มีห้องลับ”
ทั้งสองคนออกไปจากบ้านสกุลซู
ครั้นกลับมาถึงวัง ลู่จื่อชิงถามถึงซูหลิน เมื่อรู้ว่าเขาไปพักผ่อนแล้วจึงไม่รบกวน
ฉินโม่ถงเข้ามาทำท่าบอกใบ้บางอย่าง
“เจ้าอยากประลองกระบี่กับข้าหรือ?” ลู่จื่อชิงเข้าใจทันที
ฉินโม่ถงพยักหน้า
ซ่งหานจือเอ่ยว่า “ชิงเอ๋อร์เหนื่อยมาก เอาไว้วันหลัง…”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เหนื่อย” ลู่จื่อชิงเกิดสนอกสนใจขึ้นมา “โม่ถง เจ้าเพิ่งฝึกวรยุทธ์ได้ไม่กี่วัน เจ้าก็กล้ามาท้าประลองวิชากับข้าแล้ว ได้! เช่นนั้นพวกเรามาประลองกัน!”
ซ่งหานจือตามลู่จื่อชิงไป
เหตุที่ฉินโม่ถงขอประลองกระบี่กับลู่จื่อชิง นั่นเป็นเพราะเคล็ดวิชากระบี่ของเขาได้รับการสอนจากลู่จื่อชิง นางย่อมรู้พัฒนาการการฝึกฝนของเขายิ่งกว่าผู้ใด
ซ่งหานจือนั่งอยู่ตรงโต๊ะหิน มองดูคนทั้งสองประลองวิชากระบี่กัน
ถึงแม้ฉินโม่ถงจะพูดไม่ได้ ทว่าหลังจากอยู่ด้วยกันมานานเพียงนี้แล้วก็สามารถเข้าใจภาษามือของเขาได้อย่างรวดเร็ว การสื่อสารระหว่างพวกเขาจึงราบรื่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรยากาศก็สนิทสนมกลมเกลียวมากขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ซ่งหานจือมองเงาร่างของทั้งสองคน
เสี่ยวชิงเอ๋อร์มีความอดทนและอ่อนโยนต่อฉินโม่ถงเป็นพิเศษ เป็นอารมณ์ที่ดีซึ่งนางไม่เคยแสดงต่อผู้อื่น ถึงแม้จะเป็นเขา เสี่ยวชิงเอ๋อร์ก็ไม่เคยมีความอดทนเพียงนี้มาก่อน…