สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 884 ของต่างหน้าชิ้นสุดท้าย
บทที่ 884 ของต่างหน้าชิ้นสุดท้าย
การประลองระหว่างลู่จื่อชิงและฉินโม่ถงผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว
เคร้ง! ลู่จื่อชิงปัดกระบี่จนหลุดจากมือฉินโม่ถง
ปลายกระบี่เฉียดผ่านหลังมือของเขา
“อ๊ะ!” ลู่จื่อชิงร้อนใจขึ้นมาแล้ว “ข้าทำให้เจ้าบาดเจ็บแล้ว”
ฉินโม่ถงไม่อาจส่งเสียงใด ๆ ได้ จึงทำได้เพียงขมวดคิ้วแม้ว่าจะเจ็บเพียงใดก็ตาม
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่จื่อชิง เขาก็ส่ายศีรษะอย่างเข้าใจ บอกว่าตนไม่เป็นไร
ทว่าเมื่อเห็นเลือดบนหลังมือไหลอาบเพียงนั้น เจ้าตัวจะไม่เป็นไรได้อย่างไร?
ลู่จื่อชิงรู้สึกผิดอย่างยิ่งจึงตะโกนออกไปข้างนอก “รีบเชิญท่านหมอมาเร็วเข้า!”
ซ่งหานจือเดินเข้ามา พลางเอ่ยกับสาวใช้ “ไม่จำเป็น ข้าจะทำแผลให้เขาเอง”
“ปากแผลยาวเพียงนี้ เจ้าทำเป็นหรือ?”
“ยามข้าบาดเจ็บล้วนทำด้วยตนเอง” ซ่งหานจือกล่าว “บาดแผลอย่างอื่นข้าทำไม่ได้ แต่บาดแผลจากกระบี่ไม่เป็นปัญหา”
ในห้องภายใต้แสงเทียน ซ่งหานจือทำแผลให้กับฉินโม่ถงอย่างระมัดระวัง
หลังจากทำแผลเสร็จแล้วจึงเอ่ยขึ้น “เสร็จแล้ว มือซ้ายของเจ้าได้รับบาดเจ็บ กินข้าวไม่เป็นปัญหา ทว่าระยะนี้อย่าเพิ่งฝึกกระบี่ แผลจะได้ไม่เปิด พรุ่งนี้ข้าจะเปลี่ยนผ้าให้เจ้า ไม่กี่วันแผลก็จะสมาน”
“หานจือ ยังมีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้บ้าง?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “สมองดี วรยุทธ์เยี่ยม แม้กระทั่งทำแผลยังทำได้ไม่มีบกพร่อง”
“ข้าดีเพียงนี้ก็ไม่เคยเห็นเจ้าดีต่อข้า” ซ่งหานจือกล่าวงึมงำ
“เจ้ากล่าวอะไร?” ลู่จื่อชิงถาม
“ข้าหิว” ซ่งหานจือวางกล่องยาลง “กระบี่ก็ฝึกแล้ว กินข้าวได้แล้วกระมัง?”
วันนี้ลู่จื่อชิงกลับมาช้า มู่ซืออวี่และลู่จื่ออวิ๋นจึงทานอาหารเย็นไปแล้ว ไม่ได้รอนาง นางจึงเรียกคนนำอาหารเข้ามา ข้ารับใช้วังหลวงจึงนำอาหารที่เตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ มาให้
ซ่งหานจือ “…”
“มีอะไรหรือ? ลู่จื่อชิงเห็นว่าเขายังไม่ยอมขยับ “กินสิ!”
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์” ซ่งหานจือจิ้มลงบนซี่โครงหมู “เจ้าว่าฉินโม่ถงผอมหรือไม่?”
ลู่จื่อชิงเหลียวไปมองฉินโม่ถงแวบหนึ่ง
เมื่อฉินโม่ถงได้ยินชื่อตนก็เงยหน้าขึ้นมามองนาง แย้มยิ้มจาง ๆ ราวกับสายลมที่พัดผ่าน งดงามเปล่งประกาย
“เขากำลังดีกระมัง!”
“เช่นนั้นข้าเล่า?”
“เจ้าผอมเกินไป” ลู่จื่อชิงขมวดคิ้ว
ซ่งหานจือถอนหายใจ “ช่างเถิด”
เห็นได้ชัดว่าเขามีเนื้อมีหนังกว่าฉินโม่ถง เหตุใดในสายตานางเขาจึงผอมเล่า?
บางครั้งนางมองฉินโม่ถงด้วยความตกตะลึง วันนี้เมื่อเล่าเรื่องเด็กหนุ่มที่ถูกประกาศจับผู้นั้น นางก็ชมอีกฝ่ายว่าหน้าตาดี ทว่าแต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเอ่ยปากชมเขา ไม่เคยคิดว่าเขาหน้าตาดี
“เจ้ามีปัญหาอะไร?” ลู่จื่อชิงมองเขา “หากเจ้าอยากผอมลงจริง ๆ ข้าจะสนับสนุนเจ้าดีหรือไม่ ไม่ต้องโกรธไปหรอก”
จิตใจบุรุษช่างยากที่จะหยั่งถึงจริง ๆ!
นางคิดว่าตอนนี้ซ่งหานจือผอมเกินไปแต่ก็ยังหน้าตาดีเหมือนเมื่อก่อน
ตอนที่นางเพิ่งรู้จักเขา เขาเป็นเด็กตัวกลม ถูกกลั่นแกล้งรังแกได้ง่าย จู่ ๆ ก็ผอมลงเช่นนี้ นางรู้สึกแปลกเล็กน้อยจึงทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
“กินข้าวกันเถอะ!” ซ่งหานจือคีบอาหารให้ลู่จื่อชิง
เมื่อเห็นเมฆดำทะมึนหายไปแล้ว ลู่จื่อชิงก็โล่งใจ จากนั้นก็ชวนฉินโม่ถงมาทานข้าวด้วยกัน
นี่เป็นเวลาดึกมากแล้ว หลังจากทานอาหารเย็น ลู่จื่อชิงก็จะกลับตำหนักไปพักผ่อน
ฉินโม่ถงและซ่งหานจืออยู่ที่ตำหนักแห่งหนึ่ง ขณะที่ลู่จื่อชิงและมารดาอยู่ที่ตำหนักอีกแห่งหนึ่ง
“ข้างนอกหนาว เจ้าออกมาทำอะไร?” ลู่จื่อชิงเดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าซ่งหานจือยังคงเดินตามนางอยู่
“ข้าเพิ่งทานอาหารลงไปจึงอยากเดินย่อย เดินเล่นกับเจ้าสักพัก” ซ่งหานจือเอ่ย “รีบไปเถอะ มิเช่นนั้นประตูข้างในจะปิดแล้ว”
“หานจือ เจ้าคิดถึงพ่อแม่ของเจ้าหรือไม่?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “พวกเราอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้ว ดูจากสถานการณ์ยามนี้ ท่านแม่อาจอยากใช้เวลากับพี่หญิงอีกระยะหนึ่ง พี่สาวข้าต้องว่าราชกิจในราชสำนักทุกวัน ท่านแม่มีความคิดมากมาย ช่วยพี่หญิงแบ่งเบาความกดดันได้ นอกจากนี้ นับตั้งแต่สกุลซูเกิดเรื่อง คดีสกุลซูก็ไม่คืบหน้า ท่านแม่อาจยังไม่กลับไปง่าย ๆ เช่นนี้เจ้าอาจไม่ได้พบพวกเขาเป็นเวลานาน”
“บิดาข้ามักจะกล่าวเสมอว่า อ่านตำรานับพันเล่มไม่สู้เดินทางนับพันลี้ ที่ข้าทำอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เขาหวังจะให้ข้าทำอย่างแน่นอน” ซ่งหานจือเอ่ย “ที่นี่ดีมาก ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมายหลายอย่าง”
ซ่งหานมองลู่จื่อชิงวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปในตำหนัก อีกทั้งนางยังหันหน้ากลับมาโบกมือให้เขา
วันต่อมา ลู่จื่อชิงมาหาซ่งหานจือแต่เช้าตรู่ แล้วลากเขาไปหาซูหลิน นางต้องการจะถามซูหลินให้ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้ใต้เท้าซูทิ้งของอะไรไว้ให้เขาหรือไม่
ซ่งหานจือแต่งตัวเรียบร้อยนานแล้ว
ด้วยนิสัยของลู่จื่อชิง แท้จริงแล้วนางแทบอดใจไปหาซูหลินโดยไม่คำนึงถึงอารมณ์ใด ๆ ของเขาไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน เช้านี้ย่อมไม่อาจอดใจไปถามเรื่องนี้ให้ชัดเจน
ซูหลินส่ายหน้า “ไม่มี”
“เจ้าลองคิดดูอีกทีเถิด”
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะถามกี่ครั้ง ข้าก็ยังจะตอบเช่นเดิม วัน ๆ ข้าเอาแต่ก่อเรื่อง ท่านพ่อเกลียดข้ามากจะมอบของอะไรให้ข้าได้เล่า? ยิ่งกว่านั้น ฟังจากที่คนผู้นั้นกล่าว ของที่ว่ามีค่ามาก พวกเจ้าคิดว่าพ่อข้าจะมอบของล้ำค่าอะไรให้ข้าหรือ?”
“เจ้าลองนึกอีกทีเถอะ”
“เหตุใดพวกเจ้าถึงได้เชื่อคำพูดของคนผู้หนึ่งที่อาจเป็นมือสังหารเล่า?” ซูหลินเอ่ย “คนผู้นั้นจงใจหลอกลวงพวกเจ้าหรือไม่? แท้จริงแล้วเขาอาจเป็นมือสังหาร”
“ข้ามองเข้าไปในตาเขา ดูเหมือนเขาจะใส่ใจของที่ว่านี้เป็นพิเศษ ไม่ว่าเขาจะเป็นมือสังหารหรือไม่ หากหาของสิ่งนี้ออกมาได้ย่อมเป็นกุญแจสำคัญ เพราะของสิ่งนี้ คนในครอบครัวเจ้าจึงถูกฆ่า”
“ข้าก็อยากหาเช่นกัน ข้าก็อยากเข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดครอบครัวข้าถึงได้จากไป ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยกลัวฟ้าดิน อย่างไรเสีย ยามเกิดปัญหาย่อมมีคนคอยเช็ดล้างให้ บัดนี้ข้าอยากย้อนอดีตกลับไปตบหน้าตนเองสักฉาด เพื่อให้ตนเองในอดีตหวงแหนช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัว”
“ซูหลิน ของสิ่งนั้นอาจไม่ได้เพิ่งมอบให้เจ้าไม่นานมานี้ เป็นไปได้ว่าอาจมอบให้เจ้าก่อนหน้า บิดาเจ้าได้กำชับให้ดูแลของสิ่งใดให้ดีหรือไม่” ซ่งหานจือเอ่ยเตือนซูหลิน
ซูหลินส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ
ทว่าในไม่ช้า ราวกับว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้
เขามองดูจี้หยกที่ห้อยอยู่ที่เอวตนเองแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่บิดาข้ามอบให้”
“ให้ไว้ตั้งแต่เมื่อใด?”
“วันเกิดของข้าปีนี้” ซูหลินเอ่ย “วันนั้นข้าก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โต เขาโมโหเหมือนปกติ ทว่าตอนที่ข้าถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่ในโถงบรรพบุรุษ จู่ ๆ เขาก็เดินเข้ามามอบจี้หยกชิ้นหนึ่งให้ ทั้งยังกล่าวกำชับอีกหลายอย่าง กล่าวว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่อนุญาตให้นำจี้หยกนี้ไปขายหรือจำนำเป็นอันขาด และยิ่งไม่อาจทำมันหาย เขายังกล่าวว่าหากของหายไป เขาจะตัดสัมพันธ์บิดาบุตรกับข้า ภายหน้าไม่ให้กลับไปยังสกุลซูอีก ข้าเห็นเขากล่าวร้ายแรงเช่นนั้น อีกทั้งข้าก็ชอบคุณภาพของจี้หยกนี้มากทีเดียวจึงเก็บรักษามันไว้อย่างดี”
“ถอดออกมาดูเถิด” ซ่งหานจือกล่าว
ซูหลินถอดจี้หยกออกแล้วส่งให้เขา
ซ่งหานจือถือจี้หยกขึ้นมา หันเข้าหาแสงอาทิตย์
“เจ้าระวังหน่อย…” ซูหลินกล่าว
ซ่งหานจือกดลงบนอัญมณีของจี้หยกแล้วดึงมันออกมา
“เจ้าทำอะไร?!” ซูหลินโมโห “คืนของมาให้ข้า นี่เป็นของต่างหน้าชิ้นสุดท้ายที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้ข้านะ!”