สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 885 มีกุญแจ
บทที่ 885 มีกุญแจ
เกิดเสียง ‘คลิก’ ดังขึ้นหนึ่งครั้ง จากนั้นจี้หยกพลันแยกออกเป็นสองส่วน
อัญมณีนี้เป็นกลไกจริง ๆ ขอเพียงดึงอัญมณีออก จี้หยกก็สามารถเปิดออกได้
ตรงกลางว่างเปล่า มีเพียงกุญแจเล็ก ๆ ดอกหนึ่งอยู่ข้างใน
“นี่อะไร?”
“กุญแจ” ซูหลินเอ่ยอย่างโง่งม
“พวกเราล้วนรู้ว่ามันเป็นกุญแจดอกหนึ่ง แต่เหตุใดในจี้หยกจึงมีกุญแจดอกหนึ่ง? บิดาเจ้าเคยบอกหรือไม่ว่านี่เป็นกุญแจของอะไร?”
ซูหลินส่ายหน้า
“เจ้าลองนึกดูดี ๆ ก่อน” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าบิดาเจ้าไม่ได้ให้อะไร ตอนนี้ก็หาพบแล้วไม่ใช่หรือ? ของสิ่งนี้ถูกเก็บซ่อนไว้อย่างดี คงสำคัญมาก มิฉะนั้นกุญแจดอกเล็กเพียงนี้ อีกทั้งข้างบนยังสลักลวดลายเอาไว้อย่างวิจิตรจะมาซ่อนอยู่ในจี้หยกคุณภาพดีเพียงนี้ได้หรือ?”
ฉินโม่ถงจับแขนของลู่จื่อชิงเขย่า
ลู่จื่อชิงหันกลับมามองเขา “มีอะไรหรือ?”
ฉินโม่ถงส่งสิ่งที่เขาเขียนให้นางอ่าน
ลู่จื่อชิงอ่านออกมา “ข้าเคยมีกุญแจที่คล้ายกันนี้อยู่ในบ้าน เป็นลักษณะที่ใช้เมื่อสิบปีก่อน”
“แบบเมื่อสิบปีก่อน โบราณไปหน่อยแล้ว” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เพียงแต่ กุญแจเล็กถึงเพียงนี้ คงเป็นกุญแจไขกล่องอะไรสักอย่าง เจ้าลองนึกดูอีกทีเถิด”
“มิเช่นนั้น พวกเรากลับไปดูที่บ้านเก่ากันดีหรือไม่?”
“เจ้ายังมีบ้านเก่าอีกหรือ?”
“บิดาข้าเป็นคนต่างถิ่น คราแรกที่มาถึงเมืองหลวงไม่มีเงินซื้อบ้านจึงเช่าบ้านหลังเล็กอาศัย เขาอยู่ที่นั่นหลายปี ภายหลังพอมีเงินเก็บจึงซื้อที่นั่นเอาไว้ ทุกปีบิดาข้าจะไปอยู่บ้านหลังนั้นหลายวัน เพียงแต่ข้าไม่คุ้นชินกับที่นั่น อยู่ได้สักพักก็จะหนีกลับมา บิดาล้วนทุบตีข้าทุกครั้ง ทว่าต่อมาเขารู้ว่าข้าไม่ชอบจริง ๆ จึงไม่บังคับข้าอีก”
“ได้ เช่นนั้นต้องไปเยือนหน่อยแล้ว”
ซ่งหานจือแนะนำให้พาผู้คุ้มกันของสกุลลู่ไปด้วย
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของซูหลิน ลู่จื่อชิงจึงพาผู้คุ้มกันไปด้วยยี่สิบคน
บ้านเก่าที่ซูหลินกล่าวถึง จริง ๆ แล้วอยู่ในพื้นที่ชุมชนแออัด อาศัยความทรงจำของซูหลิน พวกเขาจึงไปถึงบ้านหลังนั้น
พวกเขาไม่มีกุญแจไขประตูจึงทำได้เพียงพังกลอนเข้าไป
บ้านใกล้เรือนเคียงหลายหลังได้ยินเสียงดังจึงออกมาชะเง้อชะแง้ เมื่อเห็นผู้สูงศักดิ์ที่แต่งกายหรูหรา แต่ละคนล้วนปิดปาก เข้าไปซ่อนในบ้านเล็ก ๆ ของตนเองอย่างรวดเร็ว
“มีคนเคยมาที่นี่” ซ่งหานจือกล่าว
ฉินโม่ถงเดินออกมาจากข้างใน เขาเขียนในสมุดบันทึก ยื่นสิ่งที่ตนเขียนให้คนที่เหลือดู
‘ของถูกเอาไปแล้ว’
ทุกคนรุดเข้าไปทันที
เป็นดังคาด ที่ที่เดิมทีมีกล่องเล็ก ๆ ตั้งอยู่นั้นว่างเปล่า เหลือไว้เพียงร่องรอยของกล่องเท่านั้น
“เหตุใดอีกฝ่ายจึงนำหน้าเราไปหนึ่งก้าว?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “กล่าวกันตามเหตุผล ซูหลินเพิ่งจำได้ว่ามีบ้านหลังหนึ่ง ทุกคนในสกุลซูถูกฆ่าตายแล้ว ไม่ควรมีผู้ใดรู้เรื่องที่นี่”
“ซูหลินบอกว่าใต้เท้าซูมาที่นี่ทุกปีไม่ใช่หรือ? เพื่อนบ้านข้าง ๆ จะต้องรู้จักใต้เท้าซูเป็นแน่ อยากจะรู้ก็ง่ายดาย” ซ่งหานจือเอ่ย “พวกเราไปกันก่อนเถอะ!”
ในที่สุดคดีก็มีเบาะแสบางอย่าง ทว่าตอนนี้เบาะแสนั้นกลับสูญหายไปแล้ว พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากล่องนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร แต่กลับถูกคนปล้นไปเช่นนี้
ลู่จื่อชิงเอนกายอยู่ข้างหน้าต่าง เหม่อมองฝนที่เทลงมาข้างนอก
ซ่งหานจือกำลังเล่นหมากล้อมอยู่กับฉินโม่ถง
เขาหันไปมองทางลู่จื่อชิง วางหมากสีขาวลง แล้วเอ่ยกับฉินโม่ถงว่า “รอประเดี๋ยว”
ฉินโม่ถงพยักหน้า
ซ่งหานจือหยิบรองเท้าข้าง ๆ เดินไปทางลู่จื่อชิง ก่อนจะสวมเท้านางที่มีเพียงถุงเท้าเข้ากัน
ลู่จื่อชิงหันกลับไปมองซ่งหานจือ “ท่านแม่ไม่ให้ข้าตามตรวจสอบคดีนี้ต่อ แต่เราตรวจสอบเรื่องนี้มานานเพียงนี้แล้ว ตอนนี้จะให้ข้ายอมแพ้ ถึงแม้ซูหลินจะเห็นด้วย ข้าก็ไม่อาจผ่านด่านตนเองไปได้”
“เช่นนั้นก็ตรวจสอบต่อไป”
“ท่านแม่ข้าไม่อนุญาต”
“เจ้าว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
แววตาของลู่จื่อชิงเปล่งประกายขึ้นมา นางบีบหูของซ่งหานจือ “เสี่ยวหานจือ ยังเป็นเจ้าที่ดีต่อข้าที่สุด”
ซ่งหานจือกุมหูตนเองไว้ แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา “อย่าเรียกข้าไปเรื่อย”
“เสี่ยวหานจือ ดียิ่งนักที่มีเจ้าอยู่เป็นเพื่อน มิเช่นนั้นข้าจะเบื่อเพียงใด? เสี่ยวหานจือ ภายหน้าไม่ว่าข้าไปที่ใด เจ้าต้องตามข้าไปรู้หรือไม่” ลู่จื่อชิงลูบหูของซ่งหานจือเบา ๆ
ฉินโม่ถงมองดูทั้งสองคนด้วยความอิจฉา
ซ่งหานจือหน้าแดงพลางกล่าวตอบ “ย่อมได้”
ฝนตกหนักเป็นเวลาสามวันก่อนจะหยุดลง
ลู่จื่อชิงยังคงไม่หยุดตรวจสอบ ดังนั้นนางจึงมักออกจากวัง ไปเยี่ยมกรมตรวจสอบคดีหลายแห่งเพื่อถามพวกเขาถึงความคืบหน้า
ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว คดีไม่มีความคืบหน้าใด ๆ พวกเขาไม่พบเบาะแสใหม่ ดังนั้นความกระตือรือร้นที่มีต่อการสืบสวนคดีจึงน้อยลงเรื่อย ๆ
มู่ซืออวี่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้เซี่ยเฉิงอี๋ ทา ‘ครีม’ ที่นางเตรียมเองลงบนก้นเล็ก ๆ นั่น ป้องกันไม่ให้ก้นของเด็กน้อยเป็นผื่นแดง เพราะหากเป็นเช่นนั้นคงไม่สบายตัว
“คุณหนูรองพาคุณชายซ่งกับคนอื่น ๆ ไปสนามม้าแล้วเจ้าค่ะ” ข้าหลวงที่อยู่ข้าง ๆ รายงานสถานการณ์ล่าสุดของลู่จื่อชิง
เจ๋อหลานเอ่ยขึ้นจากด้านข้าง “ดูเหมือนว่าในที่สุดคุณหนูรองก็ยอมแพ้แล้วนะเจ้าคะ”
“ยอมแพ้หรือ? ในพจนานุกรมชีวิตของเสี่ยวชิงเอ๋อร์ไม่เคยมีคำนี้” มู่ซืออวี่หยอกล้อเซี่ยเฉิงอี๋แล้วกล่าวว่า “เกรงว่าจะเป็นเพียงอุบายอีกอย่างหนึ่งในการล่องูออกจากถ้ำมากกว่า”
“เช่นนี้จะอันตรายหรือไม่เจ้าคะ?” เจ๋อหลานถาม “มิเช่นนั้นส่งคนไปคุ้มครองคุณหนูรองเพิ่มเถอะนะเจ้าคะ!”
“หากข้าเดาไม่ผิด ครั้งนี้เสี่ยวชิงเอ๋อร์คงไม่นำคนไปมาก มิเช่นนั้นจะแหวกหญ้าให้งูตื่นเอาได้ ระยะนี้นางกำลังแสดงให้ผู้อื่นรู้ว่านางยอมแพ้ จำนวนผู้คุ้มกันรอบ ๆ ตัวนางค่อย ๆ ลดลง เพื่อให้อีกฝ่ายมีโอกาสมาเคาะประตูบ้าน เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าซูหลินยังมีกุญแจอยู่ในมือ ข้าดูจากโครงสร้างของกุญแจ เกรงว่ากลไกอาจไม่ได้เปิดง่ายดาย อีกฝ่ายยังต้องใช้กุญแจของเขา”
“คุณหนูรองก็รู้เรื่องนี้นานแล้วหรือเจ้าคะ?”
“นางย่อมรู้! ติดตามข้ามานานเพียงนี้ ถึงแม้จะทำสิ่งเหล่านั้นไม่เป็น ย่อมพอเข้าใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย”
“หมู่นี้คุณหนูรองกำลังแสดงหรือเจ้าคะ?” ซางจือรู้สึกประหลาดใจ “ใต้เท้าในศาลต้าหลี่ กรมอาญา สำนักตรวจการล้วนถูกนางทรมานมากมายเพียงนี้!”
“หากไม่แสดงให้ดี ไม่สมจริง อีกฝ่ายจะเชื่อได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่เอ่ย “อีกฝ่ายจะฮุบเหยื่อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าวันนี้พวกเขาแสดงอย่างไรแล้ว”
ฉานอีเดินเข้ามาจากข้างนอก แล้วส่งจดหมายปึกหนึ่งให้
“นี่คืออะไร?”
“จดหมายที่ส่งมาจากเมืองหลวงอาณาจักรฮุ่ย เมืองซานหลิน เมืองถงหยาง เมืองฮู่เป่ย ทั้งหมดล้วนเป็นของฮูหยินเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่เลือกจดหมายที่มีลายมือคุ้นเคยฉบับหนึ่งออกมาจากปึกจดหมายทั้งหมด ก่อนจะเปิดอ่าน แล้วหัวเราะออกมา “ในเมืองหลวงมีคนไม่พอใจข้า ถามว่าเมื่อไหร่ข้าจะกลับไป”
ชานฉียิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องคงคิดถึงท่านแล้วนะเจ้าคะ”
“จดหมายยังบอกว่า เขาไปพูดคุยเรื่องแต่งงานให้กู่หยวน เจ้าเด็กคนนั้นไม่ยินยอมจึงหนีไปเมืองถงหยาง” มู่ซืออวี่เอ่ยอย่างจนปัญญา “ข้าว่าเขาว่างเกินไปน่ะสิ กู่หยวนรักอิสระเสรีเช่นนี้ ต้องกังวลเรื่องเขาที่ใดกัน?”
หลังจากอ่านจดหมายของลู่อี้แล้ว นางก็วางจดหมายเล็กที่อยู่ด้านในไว้ข้าง ๆ นั่นเป็นของลู่จื่ออวิ๋น
“จดหมายนี้เป็นของคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ” ซางจือจงใจเลือกจดหมายของลู่ฉาวอวี่ออกมาให้
“ไม่ต้องอ่าน แปดในสิบประโยคจะต้องถามว่าเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ที่เหลือสองประโยคจึงจะเขียนถึงข้า” มู่ซืออวี่เอ่ย “ส่วนเจ้าเด็กน้อยคนนี้ เกรงว่าจะไม่แม้กระทั่งกล่าวถึงด้วยซ้ำ”
ไม่นานหลังจากลู่จื่ออวิ๋นคลอด มู่ซืออวี่ได้ส่งข่าวไปยังอาณาจักรฮุ่ย ทั้งยังส่งภาพเหมือนของเด็กไปด้วย เมื่อลู่ฉาวอวี่รู้ว่าน้องสาวของตนคลอดลูกก็นึกเห็นใจเพียงนางเท่านั้น ส่วนทารกเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย หากอยู่ใกล้ ๆ มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกตีก้นเอา ผู้ใดให้เด็กน้อยทรมานน้องสาวของเขาเล่า?