สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 886 จดหมายนับสิบจากทางบ้าน
บทที่ 886 จดหมายนับสิบจากทางบ้าน
มู่ซืออวี่อ่านจดหมายของลู่ฉาวอวี่แล้วหัวเราะเบา ๆ “ข้าเดาไม่ผิด แปดในสิบประโยคล้วนเอ่ยถึงเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่ต้องแปลกใจ มีเพียงหนึ่งในสองประโยคที่เหลือจึงจะถามไถ่ข้า อีกหนึ่งประโยคถามถึงน้องชายน้องสาวตนเอง กับเด็กน้อยน่าสงสารผู้นี้เขาไม่กล่าวถึงแม้สักคำ”
มู่ซืออวี่จิ้มเซี่ยเฉิงอี๋ที่นอนอยู่ในเปลแล้วเอ่ยล้อ “เด็กน้อย ลุงของเจ้าชังเจ้าแล้ว เจ้ารีบโตรีบไปคิดบัญชีกับลุงของเจ้าเถิด”
จดหมายที่เหลือนั้นอธิบายได้ง่าย จดหมายจากเมืองซานหลินเฟิงเจิงเป็นคนเขียนมา รายงานนางเรื่องความก้าวหน้าของกิจการเรือสินค้า จดหมายจากเมืองฮู่เป่ยเจิ้งซูอวี้เป็นคนเขียนมา นางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการค้า หากแต่เอ่ยถึงเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งยังบอกอีกว่านางกำลังตั้งท้องลูกอีกคน พร้อมบ่นเรื่องฉินเหวินหาน กล่าวว่าบุรุษสนใจเพียงความสบายของตน หัวข้อช่างเร่าร้อนไม่ต่างอะไรจากการสนทนาระหว่างสหายสนิท
นางวางจดหมายของเจิ้งซูอวี้ไว้ข้าง ๆ ตั้งใจว่าจะตอบกลับในภายหลัง
จดหมายจากเมืองถงหยางหลี่กู่หยวนเขียนมา เขาบ่นกับอาจารย์ของตน บอกว่านางไม่ได้อยู่เมืองหลวง สามีของนางก็สั่งเขาตามใจชอบ หากใช้งานก็แล้วไปเถิด แต่อีกฝ่ายยังจะทรมานเขา เขาไร้ทางเลือกจึงได้แต่หนีไป
จดหมายเหล่านี้อยู่ในการคาดเดาของมู่ซืออวี่ รวมถึงจดหมายที่ซูจือหลิ่วและลู่เซวียนเขียนถึงนาง นี่ไม่มีอะไรแปลก มีจดหมายเพียงฉบับเดียวที่นางเป็นต้องตกตะลึงเมื่อได้รับ ดูเหมือน….
มันเป็นจดหมายที่ฉู่หนิงจูเขียนถึงนาง
ฉู่หนิงจูเล่าเรื่องชีวิตแต่งงานของตนเอง บอกว่านางและสามีมีลูกชายสองคน เมื่อเกิดสงครามที่ชายแดน สามีของนางจึงต้องไปทำสงคราม นางอาศัยอยู่กับลูกชายที่ชายแดน รอคอยการกลับมาอย่างมีชัยของพวกเขา
มู่ซืออวี่ไม่ได้ติดต่อกับฉู่หนิงจูเป็นเวลานานมากแล้ว
สกุลฉู่ถดถอยไปเนิ่นนาน ยามนี้เป็นเพียงสกุลขุนนางธรรมดา ๆ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติแม้จะนั่งด้านหน้าระหว่างงานเลี้ยงในพระราชวังด้วยซ้ำ ยามนี้สกุลฉู่เงียบสงบ ไม่ได้ออกหน้าออกตาเหมือนเมื่อก่อน
“นายหญิง ท่านเป็นอะไรหรือ?”
“ดูเหมือนข้าจะลืมเลือนไปหลายอย่าง” มู่ซืออวี่เก็บจดหมายไป ตั้งใจว่าจะตอบกลับทีเดียวในภายหลัง
ลู่จื่ออวิ๋นกลับมาจากข้างนอกแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้เพิ่งมีข่าวมาจากทางสนามม้า น้องหญิงจับคนร้ายได้หลายคน ยามนี้กำลังไต่สวนคดีอยู่ที่ศาลต้าหลี่เจ้าค่ะ”
“ดูเหมือนทางนั้นจะเป็นไปได้ด้วยดี” มู่ซืออวี่หยิบจดหมายออกมาสองสามฉบับแล้วเอ่ยว่า “เรื่องทางนั้นปล่อยให้พวกเขาจัดการเองเถิด เจ้ามาอ่านจดหมายที่พี่ชายกับท่านพ่อเจ้าเขียนมาเถอะ”
ลู่จื่ออวิ๋นนั่งลงแล้วรับจดหมายมา
หลังจากอ่านจดหมายของลู่อี้ นอกจากดวงตาลู่จื่ออวิ๋นจะแดงขึ้นเล็กน้อยก็ไม่รับรู้สิ่งใด จนกระทั่งอ่านจดหมายที่ลู่ฉาวอวี่เขียนถึง นางกลับไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พี่ใหญ่ไม่ชอบเด็กคนนี้มากเพียงใดกัน? จดหมายสิบหน้า นึกไม่ถึงว่าจะไม่เอ่ยถึงเขาเลย”
“สิบหน้าหรือ เฮอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยความอิจฉา “เขาเขียนถึงข้า มีจดหมายเพียงสองหน้า นึกไม่ถึงว่าจะเขียนถึงเจ้าสิบหน้าเต็ม ๆ”
“ในจดหมายพี่ใหญ่กล่าวว่า ท่านแม่ทำทุกวิถีทางเพื่อมาดูแลข้า เขาบอกให้ข้ากตัญญูต่อท่าน” ลู่จื่ออวิ๋นบีบนวดไหล่ของมู่ซืออวี่
“นั่งลงเถอะ หากข้าทะเลาะกับเขาจริง ๆ ข้าคงโมโหแทบตายแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ได้ยินว่าเจ้าเพิ่งออกนโยบายการรักษาอาการเจ็บป่วยและประกันสังคมหรือ?”
“วันนั้นท่านแม่เอ่ยถึงสิ่งที่เรียกว่านโยบายการรักษาอาการเจ็บป่วยและประกันสังคมให้ข้าฟัง ข้าคิดว่ามันเหมาะกับอาณาจักรเฟิ่งหลินยามนี้มากทีเดียว ท่านแม่ ข้าใช้มันโดยไม่ได้ขออนุญาตท่าน ท่านไม่ตำหนิข้าใช่หรือไม่?”
“เด็กโง่ ข้าเพียงบังเอิญเอ่ยถึงมันเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังให้เจ้าจริงจัง ราษฎรอาณาจักรเฟิ่งหลินโชคดีแล้ว ในเมื่อเจ้าต้องการนำไปใช้ เจ้าต้องพิจารณาถึงทุกอย่าง ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังโดยละเอียด ”
“เจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าพร้อมฟังแล้ว”
วันนั้นมู่ซืออวี่บังเอิญเอ่ยถึงเรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ บางทีอาจเป็นเพราะนางคิดถึงชีวิตยุคปัจจุบัน รู้สึกเศร้าใจไปชั่วขณะ นางจึงเล่าเรื่องนี้ให้ลู่จื่ออวิ๋นฟัง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจดจำมันไว้ในใจ ทั้งยังริเริ่มนำไปใช้ในอาณาจักรเฟิ่งหลิน
อย่างไรก็ตาม อุดมคตินั้นสวยงามทว่าความเป็นจริงนั้นโหดร้าย หากลู่จื่ออวิ๋นต้องการใช้นโยบายนี้ เช่นนั้นจะต้องเจออุปสรรคมากมาย เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแค่ขุนนางเฒ่าในราชสำนักก็คงไม่ยอมรับแล้ว อีกทั้งยังต้องขัดขวางอย่างแน่นอน
ลู่จื่ออวิ๋นฟังมู่ซืออวี่อธิบายวิธีนำไปใช้อย่างละเอียด รวมถึงรับฟังเรื่องความยากลำบากที่นางต้องเผชิญหลังนำไปใช้ และสิ่งที่นางต้องเตรียมพร้อมเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้
ข้ารับใช้ไม่กล้ารบกวนทั้งคู่ จึงอุ้มเซี่ยเฉิงอี๋ที่ร้องโยเยเพราะความหิวออกไป ทั้งตำหนักเหลือเพียงแม่และลูกสาวที่กำลังพูดคุยเรื่องต่าง ๆ
“เข้าใจหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามพร้อมทัดผมข้างหูให้ลูกสาว
ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้า “ข้าไม่เคยลืมสิ่งที่ท่านแม่เคยกล่าวไว้ การพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งต้องใช้เวลาหลายปีในการต่อสู้เพื่อให้ได้มา”
“ช่วงนี้ข้าอยู่แต่ในวัง ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นเลย” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากมีเวลา เจ้าพาแม่ออกไปเดินเล่นสักหน่อยเถิด ข้าอยากเห็นว่าเจ้าอยู่ในที่แบบใด”
“เจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นรับคำ
เสียงหัวเราะดังมาจากข้างนอก จากนั้นเสียงของลู่จื่อชิงก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยกับซางจือและฉานอีแว่ว ๆ
ประตูเปิดออกจากด้านนอก ลู่จื่อชิงเดินอาด ๆ เข้ามานั่งลงข้าง ๆ ลู่จื่ออวิ๋น ยกน้ำจากถ้วยที่มู่ซืออวี่เคยดื่มมาดื่มอีกครั้ง
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์ของข้า นั่นเป็นถ้วยที่แม่ดื่มแล้ว” มู่ซืออวี่คว้าถ้วยจากมือของนาง “แม่นางน้อยคนหนึ่งจะทำตัวไร้ระเบียบเพียงนี้ได้อย่างไร ภายหน้าผู้ใดจะทนเจ้าไหว?”
“ท่านเป็นมารดาแท้ ๆ ของข้า ข้าไม่ได้รังเกียจท่าน ท่านรังเกียจข้าหรือ?” สิ้นคำ ลู่จื่อชิงก็หันไปเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น “พี่หญิง คดีฆาตกรรมสกุลซูไขได้แล้วเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ?”
“ใช่แล้ว” ลู่จื่อชิงเอ่ย “คนผู้นั้นคิดจะขโมยกุญแจของซูหลิน เขาจึงถูกพวกเราจับได้”
“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือผู้ใด?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
“พวกเขาไม่ใช่คนอาณาจักรเฟิ่งหลินเจ้าค่ะ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ดูเหมือนจะเป็นคนที่ถูกส่งมาจากอาณาจักรโบราณโพ้นทะเล”
“อาณาจักรโบราณ?” ลู่จื่ออวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ “อาณาจักรนั้นมีทะเลล้อมรอบ แทบไม่มีการติดต่อกับอาณาจักรอื่น ๆ เพราะอาณาจักรของพวกเขาชอบเลี้ยงจระเข้จึงตรวจสอบข้อมูลของพวกเขาไม่ได้ง่าย ๆ แทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก”
“เท่าที่ข้ารู้ อาณาจักรโบราณมีอาณาเขตขนาดใหญ่ ทั้งยังมีคนไม่น้อย” มู่ซืออวี่กล่าว “หากให้กล่าวอย่างชัดเจน อาณาเขตของพวกเขามีมากเท่ากับอาณาจักรฮุ่ย อาณาจักรเฟิ่งหลิน และอาณาจักรเหลียงรวมกันกระมัง?”
“ได้ยินว่าอาณาจักรพวกเขามีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุด เดิมทีเรียกอย่างใดนั้นลืมไปแล้ว อย่างไรเสีย ทุกคนล้วนแต่เรียกว่าอาณาจักรโบราณ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “พวกเขาไม่ได้มีความขัดแย้งหรือผลประโยชน์กับอาณาจักรอื่น เหตุใดจึงมาฆ่าคนถึงอาณาจักรเฟิ่งหลินเล่า?”
“ดูเหมือนว่าสกุลซูจะมีของบางอย่างที่พวกเขาต้องการเจ้าค่ะ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เพียงแต่มันคือของอะไรนั้น พวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะพวกเขามีหน้าที่เพียงปฏิบัติภารกิจ”
“เช่นนั้นของที่ว่าอยู่ในมือผู้ใด?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“อยู่ในมือของเด็กหนุ่มที่อายุไม่มากไม่น้อยไปกว่าข้าผู้หนึ่งเจ้าค่ะ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เดิมทีข้าคิดว่าของอยู่กับมือสังหารพวกนั้น ทว่าหลังจากจับพวกเขาได้ก็พบว่ามีผู้อื่นเอาของไป”