สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 887 ทำข้อตกลง
บทที่ 887 ทำข้อตกลง
ยามดึก พระจันทร์หลบซ่อนตัวอยู่หลังหมู่เมฆ ไม่อยากพบเจอผู้คน
มืดมิดไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้วตนเอง กอปรกับลมหนาวพัดหวีดหวิว แม้กระทั่งเสียงของทหารยามยังสั่นเครือ
เงาดำโฉบผ่านวังหลวง ปีนป่ายข้ามกำแพงสูง เข้าไปใน ‘ตำหนักหลิงอิน’
ฟุ่บ! ตาข่ายขนาดใหญ่คลุมลงมาจากด้านบนทำให้คนผู้นั้นถูกกักขังโดยไร้ทางหนี
ห้องที่แต่เดิมมืดมิดกลับมามีแสงสว่างอีกครั้ง ลู่จื่อชิง ซ่งหานจือ และฉินโม่ถง เดินออกมาจากห้องข้าง ๆ ซูหลินผู้ที่นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นนั่ง สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังคนชุดดำตรงหน้า
ลู่จื่อชิงเดินเข้าไปหาคนชุดดำ
ซ่งหานจือขวางนางไว้ “ข้าไปเอง”
เขาเดินไปดึงผ้าปิดหน้าของคนชุดดำลง เห็นเป็นชายวัยกลางคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง
“นายท่านของข้าขอให้ข้ามาแจ้งบางอย่าง” คนชุดดำผู้นั้นเอ่ยอย่างใจเย็น “เขาบอกว่าพวกเจ้าเก็บกุญแจนี้ไว้ก็ไร้ประโยชน์ มิสู้มาทำข้อตกลงกับเขาดีกว่า”
“ข้อตกลงอะไร” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
“หากพวกเจ้าสนใจข้อเสนอนี้ ยามบ่ายให้ไปพบที่หอหลิงเซียวเพื่อหารือกันเรื่องรายละเอียด”
“ได้ ข้าจะดูว่าเขาคิดจะเล่นกลอะไร” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ปล่อยเขาไป”
“ปล่อยหรือ?” ซูหลินเอ่ย “เขาแอบย่องเข้ามาในห้องข้า บางทีอาจคิดจะฆ่าข้า หากปล่อยเขาไป นั่นจะมิใช่การปล่อยเสือกลับภูเขาหรือ?”
“เขาจะไม่ฆ่าเจ้า”
“เหตุใด?”
“เจ้าโง่หรือไร? สิ่งที่เขาต้องการคือกุญแจของเจ้า หากฆ่าเจ้าแล้ว เขาจะไปหากุญแจจากที่ใด?”
ซูหลินพึมพำ “ฆ่าข้าแล้วค่อยหากุญแจก็ได้”
ซ่งหานจือเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “พูดให้น้อยลงหน่อย”
ความเงียบงันปกคลุมทั่วห้อง
ลู่จื่อชิงเอ่ยว่า “ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อจบลงแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!”
ซูหลินรีบวิ่งเข้าไปกอดซ่งหานจือทันที “พี่หานจือ ท่านนอนเป็นเพื่อนข้าเถอะ ข้าไม่กล้านอนคนเดียวแล้ว”
ซ่งหานจือดึงมือของเขาออก ทว่าซูหลินใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีรั้งไว้ ไม่ยอมปล่อยซ่งหานจือไปง่าย ๆ
“ปล่อยมือ!”
“ไม่ได้” ซูหลินเอ่ย “หากมีมือสังหารมาอีกเล่า ข้าก็ตายน่ะสิ!”
“ไม่มีผู้ใดมาแล้ว”
“ไม่มีทาง” ซูหลินกล่าว “ข้าไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น*[1]”
ลู่จื่อชิงฟาดลงบนมือซูหลิน
ซูหลินเจ็บแปลบขึ้นมา ถลึงตามองนางด้วยความโกรธ “หัวใจสตรีมีพิษร้ายแรงที่สุด”
“ได้ ข้ามีพิษใช่หรือไม่? เช่นนั้นเจ้าไปพบคนที่ต้องการสังหารเจ้าคนเดียวเถอะ!”
“อย่า ข้าผิดไปแล้ว” ซูหลินเอ่ย “แต่ข้าไม่กล้านอนคนเดียวนี่นา ซ่งหานจือวรยุทธ์ดีเยี่ยม ให้เขาอยู่กับข้าเถอะ!”
ซ่งหานจือมิเต็มใจ
ลู่จื่อชิงชี้ไปที่ฉินโม่ถง “โม่ถงจะอยู่กับเจ้า อย่างนี้คงได้แล้วกระมัง? เอาละ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราต้องกลับไปพักผ่อน”
ฉินโม่ถง “…”
เขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เช่นกัน
ลู่จื่ออวิ๋นลากซ่งหานจือออกไป ทิ้งฉินโม่ถงเอาไว้เป็น ‘ตัวประกัน’ ให้ซูหลิน
ซูหลินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย วรยุทธ์แมวสามขาของฉินโม่ถงยังมิสู้เขา หากพบเจออันตรายใด ไม่รู้ว่าผู้ใดจะปกป้องผู้ใดกันแน่ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหลือเพียงฉินโม่ถงแล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“น้องชายโม่ถง พวกเราเองก็นอนกันเถอะ!” ซูหลินลากฉินโม่ถงเดินไปที่เตียง
ฉินโม่ถงไม่ยินยอมพร้อมใจ เขากระฟัดกระเฟียดราวกับภรรยาตัวน้อยตามซูหลินไป
วันรุ่งขึ้น เมื่อลู่จื่อชิงตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาก่อนยามอู่เพียงครึ่งชั่วยาม
นางเหลียวออกไปมองท้องฟ้าข้างนอกแล้วเอ่ยถาม “นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว?”
“ใกล้จะหมดยามซื่อ*[2] แล้วเจ้าค่ะ” นางกำนัลเอ่ย “คุณหนู อยากทานอาหารเลยหรือไม่เจ้าคะ?”
“ซ่งหานจือไม่มาหรือ?” ลู่จื่อชิงรีบสวมรองเท้าแล้วลุกขึ้นยืนทันที
“คุณชายซ่งมาแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ไปแล้ว เขาบอกให้คุณหนูวางใจ เขาจะจัดการให้ดี คุณหนูเพียงแค่ต้องพักผ่อนก็พอแล้วเจ้าค่ะ” นางกำนัลเอ่ย “คุณหนู ท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?”
“ข้าไม่กินข้าวแล้ว เจ้าให้คนเตรียมม้าเร็วให้ข้า ข้าจะออกจากวังไปจัดการบางอย่าง”
ลู่จื่อชิงขึ้นขี่ม้า ควบม้าไปยังหอหลิงเซียวอย่างรวดเร็ว
“ซ่งหานจือ เจ้าตายแน่!” ลู่จื่อชิงพึมพำ “นึกไม่ถึงว่าจะกล้าตัดสินใจเอง”
จี้ซ่งเฉิงผู้นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาคงมิตกหลุมพรางอีกฝ่ายกระมัง?
เมื่อมาถึงหอหลิงเซียว ลู่จื่อชิงก็โยนสายบังเหียนม้าให้คนงาน แล้วเร่งฝีเท้าเข้าไปในหอหลิงเซียวอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู ร้านเราเต็มแล้วขอรับ…” พนักงานดึงม้า พยายามตามให้ทัน ทว่าก็ไม่อาจผละไปได้ ม้าไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เขาได้แต่ตะโกนเข้าไปข้างใน “คุณหนู ม้าของท่านไม่เชื่อฟังคำสั่งเลยนะขอรับ!”
“เห็นคุณชายอ่อนวัยสามท่านเข้าไปหรือไม่?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
“อยู่ที่ห้องปีกชั้นสองขอรับ”
“พาข้าไป”
คนงานพาลู่จื่อชิงไปยังห้องปีกข้าง
ในห้องปีกข้าง ซ่งหานจือ ฉินโม่ถง ซูหลิน และจี้ซ่งเฉิงกำลังดื่มชา ทันทีที่ประตูถูกผลักเข้ามา ดวงตาหลายคู่ก็มองเป็นตาเดียว เมื่อเห็นร่างของลู่จื่อชิงก็มิแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
“ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อาจตื่นเช้าเพียงนี้ อย่างไรเมื่อคืนเจ้าก็นอนดึกมาก” ซ่งหานจือเอ่ย “ยังไม่ทานอะไรกระมัง? คนงาน ยกอาหารมาเถอะ”
ลู่จื่อชิงรู้สึกว่าบรรยากาศแปลกพิกล
เหตุใดคนสองสามคนนี้ถึงได้ดูสนิทสนมกันนัก?
นางนั่งลงตรงที่ว่างข้าง ๆ ซ่งหานจือ
อีกข้างหนึ่งเป็นจี้ซ่งเฉิง
นางมองซ่งหานจือพักหนึ่ง จากนั้นก็เหลียวมองจี้ซ่งเฉิงอีกพักหนึ่ง
“พวกเจ้าพูดคุยเรื่องอะไรกัน?”
“ที่ควรหารือล้วนหารือกันแล้ว”
“อย่างเช่นว่า?”
“กุญแจ” ซ่งหานจือเอ่ย “ซูหลินสัญญาว่าจะมอบมันให้เขา”
“นอกจากนี้ ประกาศจับก็ควรปลดออกได้แล้ว” จี้ซ่งเฉิงยกชาขึ้นจิบ
“พวกเจ้าคุยอะไรกัน? เหตุใดต้องให้กุญแจเขา? ผู้ใดรับปากว่าจะปลดประกาศจับกัน?” ลู่จื่อชิงไม่พอใจ “ว่ามาเร็วเข้า!”
“เด็กผู้หญิงได้ยินเรื่องฆ่ารันฟันแทงเช่นนี้ไม่ดี” จี้ซ่งเฉิงยื่นมือออกไปทางลู่จื่อชิง
ซ่งหานจือกอดลู่จื่อชิงเข้าหาตัว แยกนางออกจากจี้ซ่งเฉิงที่เอื้อมมือมา
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอยู่ให้ห่างจากนาง” ซ่งหานจือเอ่ยอย่างเย็นชา “มิเช่นนั้น ข้อตกลงเมื่อครู่นี้ถือว่าล้มเลิก”
ซูหลินมองทางนั้นที ทางนี้ทีแล้วเอ่ยกับตนเอง “สาวน้อยคนนั้นมีอะไรดีให้แย่งกัน?”
จี้ซ่งเฉิงถอนมือกลับมาแล้วเอ่ยว่า “กังวลไปไย? ใบหน้านางมีรอยเปื้อน”
เท่านั้นเอง ซ่งหานจือจึงตระหนักได้ว่าใบหน้าของลู่จื่อชิงเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น
“ขี่ม้ามาหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ!” ลู่จื่อชิงเช็ดหน้า เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามซ่งหานจือ “เช็ดออกหมดแล้วหรือยัง?”
“อย่าขยับ” ซ่งหานจือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ชุบน้ำชาบนโต๊ะแล้วเช็ดหน้าให้นาง “นี่เป็นใบหน้าเจ้า ใบหน้าตนเองก็ไม่รู้จักเช็ดให้เบา ๆ หน่อย หน้าแดงหมดแล้ว”
“อย่างไรข้าก็มีหานจืออยู่” ลู่จื่อชิงยิ้มหวาน
แก้มของซ่งหานจือค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
คนที่อยู่ใกล้ ๆ “…”
พวกเขามิใช่พื้น ทั้งยังมิใช่ผนัง ช่วยเห็นพวกเขาเป็นคนหน่อยได้หรือไม่?
ซ่งหานจืออายุมากกว่าลู่จื่อชิงสองปี บัดนี้ถึงวัยที่พูดคุยเรื่องแต่งงานได้แล้ว ส่วนลู่จื่อชิงนั้น หากดูจากอายุอานาม แม่นางวัยเดียวกันกับนางก็ควรหารือเรื่องแต่งงานแล้ว ด้วยอำนาจของสกุลลู่ มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องนาง ลู่อี้และภรรยาเกรงว่าจะต้องปวดหัวอีกครั้งแล้ว
หนุ่มสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเกาะติดอยู่ด้วยกันทั้งวัน ครอบครัวพวกเขามิรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องหรือ? ซ่งหานจือดูแลลู่จื่อชิงอย่างมิขาดตกบกพร่อง ไม่มีผู้ใดสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเลยหรือ?
จี้ซ่งเฉิงมองดูพวกเขาทั้งสองด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย
ซ่งหานจือไม่เพียงแต่เช็ดใบหน้าของลู่จื่อชิงเท่านั้น แต่ยังลุกขึ้นมัดผมให้นางอีกด้วย
“ข้าขอเสียมารยาทถามสักหนึ่งคำถาม พวกเจ้าทั้งสองคนหมั้นกันแล้วใช่หรือไม่?” จี้ซ่งเฉิงถาม
การเคลื่อนไหวของซ่งหานจือหยุดชะงัก
ลู่จื่อชิงมองเขาด้วยความสงสัย “เหตุใดจึงถามอย่างนั้นเล่า?”
[1] ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น หมายถึง กันไว้ดีกว่าแก้
[2] ยามซื่อ คือ ช่วงเวลาประมาณ 09.00 – 11.00 น.