สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 889 คนทรยศ
บทที่ 889 คนทรยศ
บทที่ 889 คนทรยศ
ลู่จื่อชิงกลับเข้าวัง คิดจะไปบอกความจริงกับแม่และพี่หญิงของนางเรื่องฆ่าล้างสกุลซู เพียงแต่ทันทีที่นางเข้าไปก็เห็นสตรีผู้หนึ่งนอนจมกองเลือด ทั่วทั้งกายอีกฝ่ายยังคงกระตุก
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
“ชิงเอ๋อร์อย่าเพิ่งเข้ามา ออกไปเล่นก่อนเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยท่าทีเงียบสงบ
ลู่จื่อชิงไม่เชื่อฟัง นางเดินไปหยุดอยู่ข้างมู่ซืออวี่ มองไปยังสตรีที่ตัวกระตุกผู้นั้น
หมิงจือเหยียนรุดเข้ามา สัมผัสชีพจรของสตรีผู้นั้นก่อน จากนั้นจึงฝังเข็มให้นาง ไม่นานนัก สตรีผู้นั้นก็หยุดกระตุก ดวงตาเบิกกว้าง ดูเหมือนจะตายตาไม่หลับ
“พระชายา นางไม่รอดแล้วเจ้าค่ะ” หมิงจือเหยียนกล่าว
“ช่างเถิด” มู่ซืออวี่เอ่ย “นางรนหาที่ตายเอง ทั้งยังกลืนยาพิษที่มีพิษร้ายแรงที่สุดลงไป แน่นอนว่าย่อมไม่ปล่อยให้ตนเองมีทางรอด”
“ท่านแม่ คนผู้นี้เป็นพระนมของหลานไม่ใช่หรือเจ้าคะ? เหตุใดนางจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?” ลู่จื่อชิงจำสตรีผู้นั้นได้
“ในเมื่อเจ้าเห็นแล้ว บอกเจ้าก็ไม่เป็นไร นางถูกซื้อตัวให้วางยาพิษเฉิงอี๋ โชคดีที่เราไม่หละหลวมในการคุ้มกันเฉิงอี๋เลย มีคนคอยเฝ้าเขาอยู่ตลอดเวลา มิเช่นนั้นเด็กเล็กเพียงเท่านี้ หากไม่มีผู้ใหญ่พบเห็นคงถูกสตรีมีพิษสงผู้นี้ฆ่าตายแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “พี่หญิงของเจ้ากำลังไต่สวนว่านางมีผู้สมรู้ร่วมคิดหรือไม่”
พระนมตายไปแล้ว ทว่าเรื่องยังไม่จบ
คนของกรมอาญาไต่สวนครอบครัวพระนม ครอบครัวนางล้วนแต่เป็นคนซื่อสัตย์ เดิมทีล้วนไม่รู้ว่าพระนมจะทำอะไรอุกอาจเพียงนี้ พอแม่สามีของพระนมรู้เรื่องก็หมดสติไปด้วยความตกใจ ส่วนสามีของนางกอดลูกไว้พลางโขกศีรษะอ้อนวอนขอความเมตตา
ลู่จื่ออวิ๋นตรวจสอบคดีนี้จนพบผู้ที่ติดต่อกับพระนม เมื่อพวกเขาไปถึง คนผู้นั้นก็ผูกคอตายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้ว่าหากถูกเปิดโปง ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องตาย ไม่สู้ตายให้มันแล้วไปเสียเลยดีกว่า
“ตรวจสอบก็ตรวจสอบแล้ว กลับไม่พบอะไรเลย” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยความโกรธ
“ไม่ว่าอย่างไรก็มีคนคิดจะทำร้ายเจ้าและเฉิงอี๋ นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัด ภายหน้าควรระวังให้มากขึ้น” มู่ซืออวี่เอ่ย “ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ต้องปรากฏตัวออกมาเป็นแน่”
ผู้คนรอบกายลู่จื่ออวิ๋นล้วนพามาจากสกุลลู่หรือไม่ก็เป็นคนสนิทที่เซี่ยเฉิงจิ่นทิ้งไว้ให้นาง โดยทั่วไปไม่มีโอกาสให้อีกฝ่ายได้ลงมือแม้แต่น้อย พระนมผู้นั้นก็ผ่านการตรวจสอบคัดเลือกมาหลายขั้นตอน นึกไม่ถึงว่าจะยังปล่อยให้ศัตรูฉวยประโยชน์จากช่องโหว่นี้ เพียงแต่ต่อไป พวกเขาย่อมจับตามองผู้คนรอบกายตนเองอย่างระมัดระวังมากขึ้น ย่อมไม่มอบโอกาสให้คนเหล่านั้นทำร้ายเซี่ยเฉิงอี๋อีกครั้ง
ในเมื่ออีกฝ่ายเริ่มลงมือกับเด็กแล้ว ฝ่ายราชวงศ์ก่อนย่อมไม่เกียจคร้านเช่นกัน ระยะนี้เกิดการจลาจลขึ้นในที่ต่าง ๆ มีคนกล่าวกันว่าอาณาจักรเฟิ่งหลินถูกสตรีต่างแคว้นควบคุม นี่เทียบเท่ากับยื่นอาณาจักรเฟิ่งหลินให้อาณาจักรฮุ่ยกับมือ ทุกวันนี้อาณาจักรเฟิ่งหลินไม่ใช่อาณาจักรเฟิ่งหลินอีกต่อไป หากแต่เป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรฮุ่ย ผู้ใดที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมดูออกว่านี่มีคนคอยยุยง ทว่าเมื่อพูดมาก ๆ เข้า คนสามคนก็กลายเป็นเสือได้จึงมีบางคนเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ
ราษฎรไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าผู้ใดอยู่ในอำนาจ ผู้ใดควบคุมราชสำนัก ขอเพียงผู้ที่กุมอำนาจปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี มีอาหารให้กิน มีเครื่องนุ่งห่มให้สวมใส่เพียงพอ นั่นจึงจะเป็นสิ่งที่พวกเขาซาบซึ้งมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในโลกมักจะมีขุนนางบัณฑิตบางส่วนที่มักจะอ้าง ‘ของตกทอดมาจากบรรพบุรุษ’ เปลี่ยนคำพูดสวยหรูของพวกเขาให้กลายดาบแหลมคม ทิ่มแทงฝ่ายศัตรูดาบแล้วดาบเล่า
แต่อันที่จริงเป็นเพราะห่วงว่าจะกระทบต่อผลประโยชน์ตนเองเท่านั้น ต้องการสร้างชื่อเสียงและยศถาบรรดาศักดิ์โดยใช้วิธีนี้ อีกทั้งยังมั่นใจว่าผู้มีอำนาจไม่กล้าทำอะไรพวกเขา อย่างไรเสียพวกเขาก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ปัญญาชนผู้รู้หนังสือ
ระหว่างประชุมเช้า ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารแต่ละคนต่างนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำพูดของลู่จื่ออวิ๋น
ขุนนางทหารก้มหน้าก้มตา ราวกับบอกว่า ‘นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่รู้สิ่งใดทั้งนั้น’
เหล่าขุนนางพลเรือนต่างขยิบตาให้กันไปมา ไม่อยากเป็นนกที่โผล่หัวออกมาเพียงเพราะต้องการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น
ขันทีที่อยู่ด้านข้างตะโกน “ในเมื่อไม่มีเรื่องใดแล้ว ใต้เท้าทุกท่านถอยออกจากท้องพระโรงเถิด!”
“พระนางฮองเฮา…” ขุนนางผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน “สกุลอวี้เป็นสกุลบัณฑิตชื่อเสียงโด่งดังในอาณาจักรเฟิ่งหลินของเรา สิ่งที่พวกเขากล่าวก็ฟังดูสมเหตุสมผล ถึงแม้ตอนที่ฝ่าบาทออกรบ พระองค์จะมอบตราราชลัญจกรหยกให้พระนางฮองเฮา ทั้งยังให้พระนางฮองเฮาจัดการราชกิจในราชสำนัก แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์เพิ่งประสูติพระโอรสของฝ่าบาท ถึงเวลาที่จะต้องดูแลพระวรกายให้ดี อีกทั้งราชกิจในราชสำนักนั้นซับซ้อนมากมาย ไม่เอื้อต่อการพักฟื้น ภายหน้าฮองเฮาไม่ต้องเข้าร่วมว่าราชกิจแล้ว เรื่องในราชสำนักมีเหล่าขุนนางคอยดูแลจัดการ ขอเพียงผ่อนคลาย ฟื้นฟูพระองค์เองเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ยามนี้โลกภายนอกกำลังหัวเราะเยาะแคว้นเรา กล่าวว่าอาณาจักรเฟิ่งหลินเราได้กลายเป็นเมืองขึ้นอาณาจักรฮุ่ยมานานแล้ว แม้กระทั่งพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนของอาณาจักรฮุ่ยก็สามารถแทรกแซงเรื่องภายในแคว้นเราได้ ถึงแม้คำกล่าวเหล่านี้จะไร้สาระ แต่เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีของสองอาณาจักร และเพื่อไม่ให้ราษฎรทั่วไปเข้าใจผิด ฮองเฮาควรหลีกเลี่ยงข้อครหา ในฐานะแขก พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนของอาณาจักรฮุ่ย ไม่ควรอยู่ในพระราชวังนานเกินไป สามารถตระเตรียมให้อยู่เรือนอื่นนอกพระราชวังได้พ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากลู่จื่ออวิ๋นได้ยินสิ่งที่พวกเขากล่าว นางก็เอ่ยถามขุนนางที่ปรึกษาหลายท่าน “ใต้เท้าทั้งหลายก็คิดเช่นนี้หรือ?”
“ความคิดของกระหม่อมต่างจากความคิดของใต้เท้าหลายท่านนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าหยางเอ่ย “กระหม่อมรู้สึกว่าพระวรกายของฮองเฮาฟื้นตัวได้ดีมาก ในเมื่อฝ่าบาทให้พระนางฮองเฮาจัดการเรื่องในราชสำนัก ฮองเฮาไม่อาจขัดพระบัญชาของฝ่าบาทได้พ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางที่ปรึกษาหลายท่านก็กล่าวเช่นนี้
“ข้ามีความคิดเช่นเดียวกันกับใต้เท้าหยาง” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ก่อนออกรบฝ่าบาทให้ข้าดูแลทุกเรื่องในราชสำนัก ในฐานะฮองเฮา ข้ามีสิทธิ์เข้าฟังประชุมเช้า ใต้เท้าทุกท่านไม่อยากให้ข้าเข้าฟังประชุมเช้าเช่นนี้ หรือว่ากังวลอะไร? เช่นนั้นยิ่งพวกท่านกังวลมากเพียงใด ข้ายิ่งอยากไตร่ตรองทุกอย่างให้รอบคอบยิ่งขึ้น ขุนนางที่รักทั้งหลายฟังบัญชา พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนอาณาจักรฮุ่ยมารดาข้าเป็นผู้ทำการค้าอันดับหนึ่งในใต้หล้า วันนี้ก่อตั้งกลุ่มการค้าขึ้น ให้มารดาข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้า อาณาเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองหลวงให้สิทธิ์มารดาข้าดูแลอย่างเต็มที่”
“พระนางฮองเฮาโปรดทบทวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฮองเฮา ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฮองเฮากำลังทำเรื่องที่ไม่อาจทำได้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจนะพ่ะย่ะค่ะ พระนางเคยคิดถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือไม่?”
“พวกท่านกำลังขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
“กระหม่อมไม่กล้า”
“แต่ข้าว่าพวกท่านค่อนข้างกล้าหาญทีเดียว เช่นนั้นตั้งใจฟังให้ดี มารดาข้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ข้าเพียงแค่ให้นางรับผิดชอบเรื่องกลุ่มการค้าเท่านั้น ไม่ได้ให้มารับผิดชอบใต้เท้าทุกท่าน พวกท่านจะกังวลไปไย?”
หลังจากประชุมเสร็จสิ้นแล้ว เหล่าขุนนางยังคงถกเถียงกันเรื่องนี้อยู่
“ใต้เท้าหลี่ ช้าก่อน ช้าก่อน”
“ใต้เท้าเฝิงยังกังวลเรื่องเมื่อครู่นี้ใช่หรือไม่?”
“ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไร? หากฝ่าบาทยังไม่กลับมา พวกเราในอาณาจักรเฟิ่งหลินอาจต้องใช้แซ่ลู่แล้ว”
“ไม่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ฮองเฮาเพิ่งให้กำเนิดพระโอรสของฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไร เราก็มีทายาทราชวงศ์เฟิ่งหลินแล้ว อย่างไรก็ไปไม่ถึงคราวอาณาจักรฮุ่ย”
“อาณาจักรเหลียงยังไม่ได้ให้บทเรียนแก่ท่านหรือ?”
“ฮองเฮาต้องการให้พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนของอาณาจักรฮุ่ยจัดการกลุ่มการค้าในเมืองหลวง นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือ?” ใต้เท้าหลี่ลดเสียงลงแล้วกล่าวว่า “พวกเราไม่อาจต่อต้านฮองเฮาอย่างเปิดเผยได้ แต่จะจัดการพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนผู้หนึ่งไม่ได้เชียวรึ? พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนผู้นั้นหากไม่ได้แต่งงานกับบุรุษผู้มีอำนาจ ผู้ใดจะเห็นนางอยู่ในสายตา? ผู้ทำการค้าอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ว่านั่นก็แค่สร้างภาพขึ้นมาเท่านั้น ท่านยังจะกลัวนางจริง ๆ หรือ?”
“ใต้เท้าหลี่หมายความว่า…”
“ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นใด” ใต้เท้าหลี่แสร้งทำเป็นเคร่งขรึมแล้วจากไป