สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 89 ลู่อี้ ภรรยาของเจ้านำอาหารมาให้
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 89 ลู่อี้ ภรรยาของเจ้านำอาหารมาให้
บทที่ 89 ลู่อี้ ภรรยาของเจ้านำอาหารมาให้
บทที่ 89 ลู่อี้ ภรรยาของเจ้านำอาหารมาให้
“พี่ชาย โปรดรอสักครู่ ข้าจะขอติดรถม้าของท่านเข้าไปในเมืองหลวง”
มู่ซืออวี่เรียกคนส่งของของหอหลิงอวิ๋นให้หยุดรถม้า
ชายผู้นั้นก็มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนเช่นเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้เขาเดินทางมายังบ้านของมู่ซืออวี่เพื่อรับสินค้าไปขายให้กับหอหลิงอวิ๋น เขาได้กินอาหารที่มู่ซืออวี่แบ่งปันให้ ทั้งยังเข้ากันได้ดีกับนาง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวจะขอเข้าไปในเมืองพร้อมกับเขา ชายผู้นี้ก็ตอบตกลงทันที
“ข้าจะช่วยเจ้าขนเอง” เฉินซ่งเห็นว่ามู่ซืออวี่หอบหิ้วกระเป๋ามากมายทั้งเล็กใหญ่มาด้วย จึงกระโดดลงจากรถมาไปช่วยถือ “เจ้าจะนำสิ่งของเหล่านี้ไปทำอะไร?”
“สามีข้าเพิ่งทำงานเป็นเสมียนที่ศาลาว่าการ เขายังไม่ได้ออกไปกินเลี้ยงกับเพื่อนร่วมงานใหม่ ข้าว่าจะเอาอาหารไปให้ เขาจะได้แบ่งปันกับเพื่อนร่วมงานด้วย อย่างน้อยก็จะได้สร้างมิตรภาพ”
“ดูเถิด โบราณกล่าวไว้ว่า หากจะเอาหญิงใดมาเป็นภรรยาก็จงเลือกหญิงที่มีคุณธรรม ต้องขอชื่นชมลู่อี้ที่โชคดีมีเจ้าเป็นภรรยา”
มู่ซืออวี่ยิ้มร่า “รอข้าสักครู่นะ ข้าขอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ข้าเพิ่งทำงานบ้านเสร็จ หากสวมชุดเลอะเทอะเช่นนี้เข้าไปในเมือง ประเดี๋ยวสามีจะอับอาย”
“อย่าได้กังวล ข้าไม่รีบ แต่งตัวให้งดงามที่สุดเถิด ข้าจะรอ” เฉินซ่งกล่าว
มู่ซืออวี่กลับไปยังห้องของตน ถอดเสื้อผ้าที่นางสวมตอนทำงานไม้ออก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชุดสีแดงเข้มงดงาม หวีผมอย่างระมัดระวังแล้วมัดเป็นมวย
ดอกไม้และปิ่นประดับประดาบนมวยผมที่มัดไว้ ขับเน้นให้ใบหน้าของนางสวยผุดผาดขึ้นมา
เมื่อไม่นานมานี้ นางตั้งใจลดน้ำหนัก ตอนนี้ลดลงไปได้มากกว่ายี่สิบชั่ง ร่างกายของนางในตอนนี้กระฉับกระเฉงมากกว่าที่เคย
นางเหลือบมองตลับแป้งสีแดงข้างตัวที่ไม่เคยใช้มาก่อน หลังจากลังเลครู่หนึ่งก็เอื้อมมือมาหยิบ
ในการเดินทางไปยังศาลาว่าการในครั้งนี้ นางต้องแต่งตัวให้งดงามและเหมาะสมที่สุด ลู่อี้จะได้ไม่ต้องอับอาย
“พี่สะใภ้ลู่ นี่ท่านจริงหรือ?” เฉินซ่งจ้องมองด้วยความตกตะลึง “ท่านงามเหลือเกิน”
“อะแฮ่ม!” ลู่เซวียนกระแอม
เขาจ้องมองเฉินซ่งด้วยความไม่พอใจ
เฉินซ่งลูบศีรษะของตนอย่างเขินอาย “ข้าไม่ได้หมายความในทางที่ไม่ดี เพียงแต่นางเปลี่ยนไปมากจนไม่อาจเชื่อได้ว่านี่คือพี่สะใภ้ลู่ ข้าเพียงแค่ประหลาดใจจนลืมตัวน่ะ”
“ท่านแม่ ข้าอยากไปด้วย” ลู่จื่ออวิ๋นกอดขามู่ซืออวี่ “ข้าอยากไปหาท่านพ่อ”
“อวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ยังไม่ได้ ข้ามีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ ข้าไม่อาจดูแลเจ้าได้เต็มที่” มู่ซืออวี่เอื้อมมือลูบศีรษะของลู่จื่ออวิ๋น “เอาล่ะ ข้าจะซื้อของอร่อย ๆ กลับมาให้เจ้านะ”
ลู่จื่ออวิ๋นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รบเร้าผู้เป็นแม่
“ลู่เซวียน งานบ้านทั้งหมดให้เจ้าเป็นผู้ดูแลก็แล้วกัน หากตอนเที่ยงกลับมาไม่ทันก็ต้มผักในหม้อให้ร้อนแล้วค่อยกิน”
“ข้ารู้แล้วน่า”
ณ ศาลาว่าการ เมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร เหล่าเสมียนก็วางมือจากภาระงานพลางเอ่ยถามว่าจะกินอะไรในวันนี้
“เสมียนลู่ ไปด้วยกันหรือไม่?”
“อย่าชวนเขาเลย เขาทั้งสุภาพ จิตใจสะอาดสะอ้าน จะไปในที่สกปรกและน่าอับอายเช่นนั้นกับเราได้อย่างไร?”
“เราเพียงไปกินข้าวก็เท่านั้น ไฉนพูดราวกับเราไปที่สกปรกจนคนอื่นรับไม่ได้เล่า?”
“ในสายตาผู้บริสุทธิ์บางคน อาจจะมองว่าเราทำอะไรสกปรกก็ได้”
ลู่อี้ไม่สนใจ ปล่อยให้ถังซานอวี่พูดตามใจอยากต่อไป
เหตุผลที่ถังซานอวี่เกลียดชังลู่อี้เพราะลู่อี้ปล่อยตัวผู้ร้ายที่เขาจับมา
ใช่แล้ว เรื่องราวเกิดจากชายที่ถูกเฆี่ยนตี ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจนจำแทบไม่ได้ อีกไม่นานอาจต้องตายในคุก
เมื่อสืบทราบว่าผู้ร้ายที่แท้จริงคือคนอื่น ชายผู้นั้นก็พ้นผิด เป็นเหตุให้ถังซานอวี่ถูกเบื้องบนเรียกเข้าพบและตำหนิ เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะโกรธแค้นและขยะแขยงลู่อี้
“เอาเถิด เสมียนถัง อย่าเอ่ยวาจาไร้สาระเลย เราเองก็ต่างเดินไปในเส้นทางเดียวกัน ทำงานร่วมกัน ควรสามัคคีกันไว้นะ”
“แต่ข้าไม่อยากจะเดินร่วมทางกับใครบางคน ไม่รู้ว่าจะถูกแทงข้างหลังเมื่อใด” ถังซานอวี่เย้ยหยัน “จองหองตั้งแต่เข้ามาทำงานใหม่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคารพเราเลย”
“ลู่อี้ ภรรยาของเจ้านำอาหารมาให้” เสียงแหบห้าวของบุคคลหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก
ลู่อี้วางปากกาในมือลงทันที ความประหลาดใจฉายชัดในแววตาที่ไร้อารมณ์ของเขา ชายหนุ่มจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นร่างงดงามอยู่ไกล ๆ ไม่อาจมองเห็นสีหน้าของนางได้ชัดเจน
เขาวางปากกาในมือแล้วรีบเดินออกไปทันที
ชายหนุ่มเดินผ่านถังซานอวี่ เผชิญหน้ากับสายตาที่จับจ้องมา กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “เหตุใดจึงไม่รู้จักโทษตัวเองสักนิด? เหตุใดจึงพยายามเอาความโกรธแค้นสาดเข้าใส่ผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดพลาดของตน?”
“เจ้า! เจ้า!” ถังซานอวี่ชี้ลู่อี้ที่กำลังเดินจากไป “พวกเจ้าจงดูไว้ ข้าคือคนไร้ความสามารถ ข้าต้องยอมรับว่าเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ฉลาดเฉลียวที่สุดในที่แห่งนี้ ในเมื่อเขาทำทุกอย่างได้ด้วยตนเอง พวกเราจำเป็นต้องทำอะไรอีก?”
เสมียนหลายคนรู้สึกว่าลู่อี้หยิ่งยโส จึงรู้สึกไม่พอใจเช่นกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับลู่อี้แล้ว บรรดาเจ้าหน้าที่ต่างยกย่องถังซานอวี่ผู้ใจกว้างดุจแม่น้ำใหญ่ มักจะพาพวกเขาไปกินและดื่มอย่างสนุกสนานเสมอ อีกทั้งยังมักแบ่งปันสิ่งของของตนให้กับผู้อื่นด้วยความเต็มใจ
เมื่อลู่อี้เดินออกไปพบมู่ซืออวี่ ความประหลาดใจก็ปรากฏชัดในแววตาของเขาทันที
นี่…
นางงดงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ในอดีตนั้น เนื้อตัวของมู่ซืออวี่แปดเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรก นางไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเลยสักนิด มู่ซืออวี่ง่วนอยู่กับงานใหม่ตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังคลุมศีรษะและลำคอด้วยผ้า นางดูไม่เหมือนสตรีเลยแม้แต่วินาทีเดียว ทว่าการแต่งตัวของนางในวันนี้ทำให้เขาฉุกคิดได้ว่า แท้จริงแล้วนางคือหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวย ดวงตาคู่งามตรงหน้าช่างบริสุทธิ์ดุจเทพธิดาที่ได้สัมผัสกับโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก
“ลู่อี้…” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้มารบกวนเจ้าใช่หรือไม่?”
“รบกวนอะไรกัน?” ชายร่างสูงที่อยู่ข้างลู่อี้พลันก้าวขึ้นมา “ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยง จะกินหรือพักผ่อนก็ทำได้ตามใจ”
“ดีเลย” มู่ซืออวี่ยื่นห่ออาหารในมือให้กับคนผู้นั้น “พี่เกา นี่คืออาหารที่ข้าทำเองกับมือ แม้ไม่ใช่อาหารที่ใช้วัตถุดิบราคาแพงอะไร แต่ข้าก็ทำด้วยความใส่ใจ ท่านนำไปลองชิมดูเถิด”
“นี่เป็นของข้าหรือ?” นักการเกากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ขอบใจเจ้า”
เมื่อได้กลิ่นอันหอมหวน เขาก็เอ่ยขอบคุณอย่างสุภาพ
เขาคิดว่าสตรีผู้นี้ดูแลเอาใจใส่สามีมากกว่าที่เคย
ลู่อี้ผู้นี้… เขาไม่เคยพูดคุยหรือสนิทสนมด้วย แต่ก็ได้ยินข่าวมาบ้าง ลู่อี้ทำให้ผู้คนมากมายขุ่นเคือง ทว่าเสมียนพวกนั้นก็ลอบทำเรื่องเลวทรามเช่นกัน
ไม่นานนัก ผู้คนมากมายต่างเดินออกมาจากศาลาว่าการ
เมื่อเห็นหญิงสาวผู้ครอบครองรอยยิ้มอันอ่อนหวานยืนอยู่ตรงข้ามลู่อี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกริษยา
พวกเขาต่างเคยได้ยินว่าครอบครัวของลู่อี้ยากจน เช่นนั้นแล้วหญิงผู้นี้จะนำอะไรมาให้เขาได้บ้าง? เกรงว่านั่นจะเป็นเพียงมันเทศน่ะสิ
เพราะอคติทำให้พวกเขาคิดเห็นไปเช่นนั้น
“พวกท่านคือเพื่อนร่วมงานของสามีข้าใช่หรือไม่? นี่คือขาหมูที่ข้าปรุงเองกับมือ ทั้งยังมีปลาทอดและกุ้งแม่น้ำราดน้ำจิ้มเผ็ด พวกท่านอยากลองชิมสักนิดหรือไม่?” มู่ซืออวี่เปิดห่ออาหารพลางยื่นให้พวกเขา
กลุ่มคนที่กำลังจะเดินผ่านไปถึงกับนิ่งงัน “…”
อะไรกัน?
กลิ่นหอมมาก!
ขาหมูตุ๋น ปลาทอด กุ้งแม่น้ำราดน้ำจิ้มเผ็ด นี่คือรายการอาหารแสนแพงหู่ฉี่จากภัตตาคารเจียงซื่อไม่ใช่หรือ?
“เช่นนั้นเราต้องขอชิมอย่างไม่เกรงใจแล้ว” เสมียนผู้หนึ่งเดินเข้ามาพลางกล่าวว่า “น้องสะใภ้ช่างมีฝีมือจริง ๆ”
“เช่นนั้นแล้วข้าขอลองชิมด้วยได้หรือไม่?” เสมียนอีกคนชำเลืองมองถังซานอวี่ผู้มีสีหน้าหม่นลง “เสมียนถัง ต้องการจะชิม…”
“ผู้ใดจะกินอาหารชั้นต่ำเช่นนี้?” ถังซานอวี่กล่าวอย่างเย็นชา “พวกเจ้านี่ไร้ประโยชน์เสียจริง เพียงแค่อาหารการกินก็ไม่อาจซื้อเองได้”
เมื่อเหล่าเสมียนได้ยินดังนั้น สีหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนไป
พวกเขาเยินยอและเชื่อฟังถังซานอวี่เพราะเจ้าตัวเป็นคนใจกว้าง แต่เมื่อไตร่ตรองให้ดีแล้ว เหตุใดพวกเขาถึงต้องเกรงใจและเชื่อฟังถังซานอวี่มากถึงเพียงนั้น? คิดว่าการเลี้ยงอาหารเพียงไม่กี่มื้อจะสามารถซื้อใจคนได้ตลอดไปหรือ?
“น้องสะใภ้ หากเสมียนถังไม่กิน เราขอส่วนแบ่งของเขาได้หรือไม่ ฝีมือของเจ้าคงไม่ธรรมดา” เสมียนผู้หนึ่งกล่าว “นี่เป็นอาหารที่ขายดีที่สุดในภัตตาคารเจียงซื่อ เป็นอาหารที่นายอำเภอ เจ้าคนนายคนจากทุกพื้นที่ต่างเดินทางมาทาน ผู้น้อยอย่างพวกเราไม่เคยได้ลิ้มลองหรอก”
“พวกเจ้า!… ดี! ระวังจะเสียใจภายหลังล่ะ” ถังซานอวี่กล่าว ก่อนจะเดินจากไปอย่างกระฟัดกระเฟียด