สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 893 ลู่จื่อชิงได้รับบาดเจ็บ
บทที่ 893 ลู่จื่อชิงได้รับบาดเจ็บ
บทที่ 893 ลู่จื่อชิงได้รับบาดเจ็บ
ในพระราชวัง หมิงจือเหยียนกำลังทำแผลให้ลู่จื่อชิง โดยมีมู่ซืออวี่และลู่จื่ออวิ๋นยืนอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นขาของลู่จื่อชิงถูกพันไว้ราวกับบ๊ะจ่างก็รู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง
“พวกท่านอย่าเป็นเช่นนี้เลย อันที่จริงข้าไม่เจ็บแม้แต่น้อย” ลู่จื่อชิงกล่าวพลางยิ้มกว้าง “ข้าได้รับบาดเจ็บแล้ว ท่านแม่อย่าตำหนิข้าเลยนะเจ้าคะ”
“รอเจ้าดีขึ้น แม่ค่อยตำหนิเจ้า”
“อย่านะเจ้าคะ! ท่านแม่ พี่หญิง ข้าเจ็บแล้ว พวกท่านอย่าดุข้าเลยนะ” ลู่จื่อชิงกอดแขนของลู่จื่ออวิ๋น ทำท่าทางออดอ้อน
“เอาละ ไม่ดุเจ้า ช่วงนี้เจ้าไม่ต้องเพ่นพ่านไปมาแล้ว รักษาตัวอยู่แต่ในวังเถอะ” ลู่จื่ออวิ๋นลูบผมของน้องสาว “หากเจ้ารู้สึกเบื่อก็ไปช่วยข้าดูแลลูก”
“ไม่เอา!” ลู่จื่อชิงปฏิเสธ “ข้าได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กแล้วปวดหัว จริงสิ พวกซ่งหานจือกับโม่ถงอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ?”
“ข้ามีเรื่องให้พวกเขาทำ” มู่ซืออวี่กล่าว “ช่วงนี้อยู่อย่างสงบเถอะ อย่าได้คิดก่อเรื่อง เจ้ารู้ว่าเด็กสองคนนั้นฟังเจ้า ระยะนี้ข้าจะไม่ให้พวกเขามาเจอเจ้าแล้ว”
“เหตุใดเล่าเจ้าคะ?”
“ตอนนี้ขาของเจ้าได้รับบาดเจ็บ เจ้าไม่อาจทำเรื่องเหลวไหลได้อีก เด็กสองคนนั้นเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง หากให้พวกเขามาพบเจ้า เจ้าจะหายดีหรือ?” มู่ซืออวี่กล่าว “นอกจากนี้ เจ้าเด็กสองคนนั้นโตแล้ว ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาทำตัวเรื่อยเปื่อยตลอดไป ในเมื่อพวกเขามีเวลาไปล่าสัตว์กับเจ้า เช่นนั้นก็ต้องใช้คนให้เกิดประโยชน์ ข้าให้พวกเขาไปช่วยพี่หญิงเจ้าจัดการบางเรื่อง”
ลู่จื่อชิงโอดครวญ
อาการบาดเจ็บของนางต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนในการพักฟื้น อีกทั้งไม่อาจออกไปที่ใดได้ในหนึ่งเดือนนี้ หากมีซ่งหานจืออยู่ข้าง ๆ นางคงไม่เบื่อ ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้…
ย่อมจินตนาการได้เลยว่าจะเบื่อหน่ายเพียงใด
“ท่านแม่ ท่านให้หานจือมาอยู่เป็นเพื่อนข้าเถอะ!” ลู่จื่อชิงเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ข้าอยู่คนเดียวเบื่อเกินไปแล้วจริง ๆ หากมีเขาอยู่กับข้า ยังพอคลายเบื่อ เล่นเป็นเพื่อนข้าได้”
“เบื่อหรือ? ถ้าอย่างนั้นให้อาจารย์ซ่งเพิ่มวิชาเรียนอีกสักสองสามวิชาเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “ภายในหนึ่งเดือนนี้ ความคืบหน้าในการเรียนของเจ้าจะถูกประเมิน หากเจ้าไม่ผ่านการประเมิน เช่นนั้นเจ้าจะต้องรั้งเล่าเรียนอยู่แต่ในวัง ที่ใดล้วนไปไม่ได้ทั้งสิ้น”
ลู่จื่อชิงมีสีหน้าอับจนปัญญา
“เจ้าชอบตำราพิชัยสงครามไม่ใช่หรือ? ข้าจะขอให้อาจารย์ซ่งสอนตำราพิชัยสงครามให้เจ้า”
ใบหน้าห่อเหี่ยวของลู่จื่อชิงราวกับได้รับแสงแดดอีกครั้ง ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ “จริงหรือเจ้าคะ?”
“ข้าเคยโกหกเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?” มู่ซืออวี่บีบแก้มนาง “ในเมื่อเจ้าชอบ เช่นนั้นก็เรียนให้ดี บุตรสาวสกุลลู่ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎเกณฑ์ให้มากนัก แต่ก็ไม่อาจหยิบหย่งได้ พี่หญิงของเจ้ากับพี่ชายเจ้าล้วนทำเรื่องที่ตนชอบ เจ้าเองก็ทำเรื่องที่ตนเองชอบก็พอ”
หลังออกมาจากตำหนักที่ลู่จื่อชิงพักอยู่ ลู่จื่ออวิ๋นก็กลับไปยังท้องพระโรง จัดการเรื่องภายในต่อไป มู่ซืออวี่เดินผ่านอุทยานหลวงพลางเอ่ยกับฉานอี “หากเด็กสกุลซ่งผู้นั้นกลับมาแล้ว พาเขามาพบข้า”
ลู่จื่อชิง ‘ว่าง่าย’ ดังคาดแล้วจริง ๆ
มู่ซืออวี่ให้นายช่างทำรถเข็นให้นาง นางใช้รถเข็นเข้าออกทุกวัน เอื้อต่อการฟื้นตัวของเท้าที่บาดเจ็บเป็นอย่างดี
ตั้งแต่เช้า อาจารย์ซ่งก็มีคาบสอนแน่นเอี๊ยด เขาให้เวลานางกินข้าวและพักผ่อนในตอนเที่ยง จากนั้นก็เรียนต่อจนกระทั่งฟ้ามืด
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ลู่จื่อชิงก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจใด ๆ ในทางกลับกัน นางสนุกกับมันจนกระทั่งค่อย ๆ ลืมเวลา ลืมแม้กระทั่งว่ามีม้าไม้ไผ่น้อยผู้หนึ่งเฝ้ามองน้ำกระจ่างใสแห่งสารทฤดู*[1] แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวจากนางเลย
“เฮ้อ…” ซ่งหานจือถอนหายใจออกมา
มู่ซืออวี่เหลือบมองเขา “ถอนหายใจอะไรกัน”
“ฮูหยิน อาการบาดเจ็บของเสี่ยวชิงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างหรือขอรับ?”
“ไม่เป็นไรแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “เรื่องที่ข้าให้เจ้าตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง?”
“มีคนยุ่งกับม้าของเสี่ยวชิงเอ๋อร์จริง ๆ ขอรับ เสื้อผ้าที่นางสวมก็ถูกโรยผงยา แม้แต่เสือตัวนั้นก็มีคนจงใจล่อมันไปที่นั่นเช่นกัน”
“มีคนพยายามทำร้ายลูกข้า”
“ฮูหยิน ดูเหมือนการกระทำของท่านหมู่นี้จะกลายเป็นเสี้ยนหนามต่อผู้อื่นจึงมีคนคิดจะฉวยประโยชน์จากลูกท่าน ก่อนหน้านี้องค์ชายเฉิงอี๋เกือบถูกปลงพระชนม์ บัดนี้มีคนคอยเฝ้าระวังข้างกายเขามากขึ้น ทำให้อีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้ลงมือ เสี่ยวชิงเอ๋อร์ที่มักจะเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอกจึงกลายเป็นเป้าหมายของอีกฝ่าย มีเพียงเท่านี้ฮูหยินและฮองเฮาจึงจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย”
“เจ้าฉลาดมาก ข้ามองคนไม่ผิด เช่นนั้นข้าจะมอบหมายอีกงานให้เจ้า นั่นคือหาตัวผู้ที่ต้องการทำร้ายเสี่ยวชิงเอ๋อร์ออกมา” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้าก็เห็นแล้ว บุตรสาวคนโตของข้าเป็นผู้ปกครองที่นี่ ยามเช่นนี้ ข้าไม่อาจไม่สนใจนางส่วนตนเองหนีกลับไปยังอาณาจักรฮุ่ย มีเพียงข้าวางใจแล้วเท่านั้น ข้าจึงจะพาชิงเอ๋อร์และฉาวจิ่งกลับไปได้ เจ้ายินดีช่วยข้าหรือไม่?”
“ฮูหยิน ท่านเพียงแค่สั่งมา ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อท่าน” ซ่งหานจือเอ่ยอย่างจริงจัง
“เจ้าฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร ข้าดูเพียงผลลัพธ์ ส่วนเจ้าจะทำอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้า หากเจ้าต้องการสิ่งใดเพียงแค่บอกฉานอี เจ้าต้องการคนมีคน ต้องการเงินมีเงิน”
ลู่จื่อชิงมองบาดแผลที่บวมของตน เมื่อนางพยายามจะลุกขึ้นจากพื้น ความปวดก็ทำให้ต้องสูดหายใจลึก ๆ หนึ่งครั้ง
“เจ็บ…”
“ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นภายในห้องที่เงียบสงบฟังดูชัดเจนเป็นพิเศษ
“ผู้ใด?” ลู่จื่อชิงหยิบแตงบนโต๊ะขึ้นมาแล้วปาไปบนขื่อคาน
คนที่นั่งอยู่บนขื่อขานเอี้ยวตัวหลบได้ทัน จากนั้นจึงร่อนลงบนพื้นอย่างว่องไว
“ตอนนี้เจ้ากลายเป็นคนพิการแล้ว แต่ฝีมือของเจ้ากลับดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเสียอีก” จี้ซ่งเฉิงกล่าว “ดูสภาพของเจ้าตอนนี้แล้วนึกถึงท่าทีหยิ่งยโสก่อนหน้าของเจ้า ช่างน่าขบขันยิ่งนัก”
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร? ท่านแม่ของข้าจัดวางกำลังคนให้มาคุ้มกันที่นี่อย่างแน่นหนา แม้กระทั่งแมลงวันยังบินเข้ามาไม่ได้”
“ขอเพียงข้าอยากเข้าไป มีที่ใดที่ข้าเข้าไปไม่ได้บ้าง” จี้ซ่งเฉิงมองขาของนาง “พิการแล้วจริง ๆ หรือ? ช่วงนี้เจ้าไม่เบื่อรึ?”
“เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้ากังวล” ลู่จื่อชิงเอ่ยอย่างเย็นชา
“เจ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ผู้ติดตามตัวน้อยสองคนนั้นของเจ้าไม่มาพบเจ้าหรือ?” แววตาของจี้ซ่งเฉิงแพรวพราว “ดูเหมือนสถานะของเจ้าในใจพวกเขาจะไม่เท่าไหร่เลยนี่!”
“ท่านแม่ข้าไม่อยากให้พวกเขาเข้ามา พวกเขาจะเข้ามาได้หรือ? เจ้าคิดว่าเขาเป็นเจ้า ไม่มีกฎเกณฑ์แม้เพียงนิด ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษบนขื่อคาน*[2] หรือไร”
“กล่าวถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพราะไม่ใส่ใจ หากใส่ใจจริง ๆ จะไม่มาพบเจ้าเลยได้อย่างไร? เจ้าได้รับบาดเจ็บนานเพียงใดแล้ว? สิบวันแล้วกระมัง?”
ลู่จื่อชิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ต้องให้เจ้าสนใจหรือ เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่? ไม่กลับอาณาจักรโบราณอะไรนั่นของเจ้าไปอีกเล่า?”
“ข้าย่อมต้องกลับแน่นอน” จี้ซ่งเฉิงเข้ามาใกล้ ๆ “เพียงแต่ข้าคิดดูแล้ว เจ้าได้รับบาดเจ็บ ข้าจากไปยามนี้คงไม่ดี รอให้เจ้าหายดีแล้วค่อยไปจึงจะใช้ได้!”
ลู่จื่อชิงมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง “เจ้า… เจ้าวางแผนอะไรไว้อีก?”
“ข้าอยากยืมของบางอย่างจากสกุลพวกเจ้า”
“ของอะไร? เงิน?” ลู่จื่อชิงขมวดคิ้ว “สกุลข้าอย่างอื่นมีไม่มาก แต่เงินกลับมีนับไม่ถ้วน”
“เงินอะไรนั่น ข้าก็ไม่ได้ขาดแคลน” จี้ซ่งเฉิงกล่าว “ข้าอยากตกลงทำการค้ากับแม่ของเจ้า การค้าที่ได้กำไรโดยไม่ต้องเสียเงิน เพียงแต่ มารดาเจ้ายุ่งเกินไป อีกทั้งรอบตัวนางยังมีคนคอยคุ้มกันมากมาย ข้าไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับนาง เจ้าช่วยสร้างสะพานให้พวกเราได้หรือไม่?”
[1] เฝ้ามองน้ำกระจ่างใสแห่งสารทฤดู หมายถึง เฝ้ารอคอยด้วยความคะนึงหา
[2] สุภาพบุรุษบนขื่อคาน หมายถึง ขโมย