สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 897 ข้าไม่ดีตรงไหน
บทที่ 897 ข้าไม่ดีตรงไหน
บทที่ 897 ข้าไม่ดีตรงไหน
ลู่จื่อชิงนั่งอยู่ที่โต๊ะ บรรจงเขียนอย่างขะมักเขม้น กระทั่งนางตวัดขีดสุดท้ายเสร็จจึงวางพู่กันลง
นางหยิบกระดาษขึ้นมาเป่าแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าว่าตัวอักษรนี้ของข้าเป็นอย่างไร?”
“ตัวอักษรนี้ของคุณหนูรองเขียนได้ยอดเยี่ยมยิ่งเจ้าค่ะ” นางกำนัลเอ่ยชม
สีหน้าลู่จื่อชิงบึ้งตึง นางเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ปากของเจ้าไม่มีคำพูดที่เป็นความจริงสักคำเดียว”
“คุณหนูรอง บ่าวไม่รู้หนังสือสักคำ ในสายตาของบ่าว คุณหนูรองเป็นผู้ที่เยี่ยมยอดอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
ลู่จื่อชิง “…”
ขอบคุณนะ แต่ข้าไม่ได้สบายใจขึ้นสักนิด
ตุ้บ! ตุ้บ!
ถั่วลิสงตกลงบนหัวของลู่จื่อชิงเม็ดแล้วเม็ดเล่า
ลู่จื่อชิงหยิบถั่วลิสงขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองบนขื่อคาน
“อย่างไรเจ้าก็มาจากสกุลที่มีชื่อเสียง ประตูก็มีอยู่ทนโท่ ไยไม่เข้ามา จะต้องเป็นสุภาพบุรุษบนขื่อคานให้ได้เลยหรือ?”
จี้ซ่งเฉิงกระโดดลงมาจากด้านบน
“ข้ามีเมตตาตาช่วยเจ้าคอยสอดส่อง ดูว่าผู้คุ้มกันลับและองครักษ์วังหลวงใช้การได้หรือไม่ กลับกลายเป็นว่าพวกเขาใช้การไม่ได้จริง ๆ”
นางกำนัลเอ่ยขึ้น “คุณหนู ต้องเรียกคนหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่จำเป็นหรอก” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เขาจะไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนผู้อื่น”
“ผู้ใดบอกว่าข้าจะไปเล่า? ข้าตั้งใจว่าจะมาทานอาหารกลางวันที่นี่” จี้ซ่งเฉิงนั่งลงตรงข้ามนาง
เขาเห็นสิ่งที่ลู่จื่อชิงเขียนวางอยู่ตรงหน้าจึงหยิบมันขึ้นมาดูพร้อมกับวิจารณ์ กว่าฝ่ายหลังจะหยุดเขาก็สายเกินไปเสียแล้ว การลงมือของจี้ซ่งเฉิงรวดเร็วยิ่งกว่า
“ตัวอักษรนี้ของเจ้า… แปลกเสียจริง!”
“กงการอะไรของเจ้า?”
“ข้าเคยเห็นตัวอักษรของซ่งหานจือ มันมีพลัง ไม่เหมือนกับอุปนิสัยอ่อนโยนมีเมตตาของเขา ผู้คนในโลกล้วนกล่าวว่าการเห็นตัวอักษรประหนึ่งเห็นคน ตัวอักษรของเจ้าตรงกับนิสัยเจ้าทีเดียว ส่วนตัวอักษรของซ่งหานจือนั้น…”
“บิดาของหานจือเป็นผู้ตรวจการในราชสำนักจึงเข้มงวดกับเขาเป็นอย่างยิ่ง เขาฝึกเขียนตัวอักษรมาตั้งแต่ยังเล็ก แน่นอนว่าย่อมแตกต่างจากข้าที่ไม่ชอบอ่านตำรา เจ้าคิดจะกล่าวอะไรกันแน่?”
จี้ซ่งเฉิงหัวเราะ ‘ฮ่า ๆ’ ขึ้นมา
เขากล่าวเช่นนี้จะสื่ออะไรอย่างนั้นหรือ?
เขาตั้งใจจะสื่อว่า…
ซ่งหานจือเป็นสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เมื่อต้องรับมือกับคนเช่นนี้จำต้องระวัง ทว่าเด็กสาวโง่เขลากลับไม่เข้าใจคำพูดโดยนัยเช่นนี้แม้แต่น้อย
“ข้าได้พบแม่เจ้าแล้ว” จี้ซ่งเฉิงตัดสินใจไม่เอ่ยถึงซ่งหานจืออีก อย่างไรเด็กสาวโง่เขลาผู้นี้ก็ไม่เชื่อเขาอยู่ดี
สำหรับนางแล้ว ซ่งหานจือ เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ผู้นั้นย่อมน่าเชื่อถือกว่าเขา ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาระหว่างทาง ไม่ว่าเขาจะพูดมากมายเพียงใด นางก็คงไม่ฟังเขาแม้เพียงครึ่งคำ
“ท่านแม่ของข้าว่าอย่างไร? ไม่ถูกสิ เอาเป็นว่า เจ้าเอ่ยอะไรกับท่านแม่ข้า?”
จี้ซ่งเฉิงยกยิ้มแปลกพิกลขึ้นมา “ข้าเอ่ยสู่ขอแต่งงานกับแม่เจ้า บอกให้แม่เจ้ายกเจ้าให้ข้า”
ดวงตาของลู่จื่อชิงเบิกกว้างประหนึ่งเห็นผีกลางวันแสก ๆ
เดิมทีจี้ซ่งเฉิงเพียงแค่อยากแกล้งนาง ทว่าเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมา
“นี่มันสีหน้าอะไรของเจ้า?”
“เจ้ายังไม่ตื่นหรือ? เป็นบ้าไปแล้วรึ?!” ลู่จื่อชิงรีบลุกขึ้นยืน “ไม่ได้การ ข้าต้องไปถามท่านแม่”
“พอแล้ว ข้าเพียงแค่ล้อเล่น” จี้ซ่งเฉิงเอ่ยด้วยความโมโห “ไยเจ้าไม่ดูเสียบ้าง สตรีอย่างเจ้าจะมีสักกี่คนชมชอบกัน?”
ลู่จื่อชิงนั่งลงแล้วตบลงบนบ่าเขา “เจ้าเป็นบ้าหรือไร? เรื่องล้อเล่นเช่นนี้ยังเอ่ยสุ่มสี่สุ่มห้า ข้าจะบอกเจ้าให้ ภายหน้าอย่าได้ล้อเล่นไปเรื่อยเช่นนี้เป็นอันขาด”
“ข้าไม่ดีตรงไหนกัน?” จี้ซ่งเฉิงโน้มหน้าเข้าหาลู่จื่อชิงเพื่อให้นางได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน “ข้าหน้าตาไม่ดีหรือ? ด้วยสถานะของข้าคงพอคู่ควรกับเจ้า คุณหนูรองสกุลลู่กระมัง?”
“ข้าจะแต่งงานได้อย่างไร?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ถึงแม้ภายหน้าต้องแต่งงาน ข้าก็จะแต่งงานกับผู้อื่น”
จี้ซ่งเฉิง “…”
เอาเถอะ สตรีป่าเถื่อนเช่นนี้อันที่จริงเขาก็ทนไม่ไหวหรอก!
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าข้าคุยอะไรกับแม่เจ้า?”
“ขอเพียงไม่ใช่เรื่องเมื่อครู่นี้ เรื่องอื่นล้วนคุยกันได้ง่าย”
“ข้าขอยืมเรือจากแม่เจ้า”
ลู่จื่อชิงหันไปมองจี้ซ่งเฉิง “เจ้าต้องการกลับไปอาณาจักรโบราณหรือ?”
“อืม”
“ข้านับนิ้วคำนวณแล้ว ท่านแม่ข้าไม่ได้รับปากกระมัง?” ลู่จื่อชิงกล่าว
จี้ซ่งเฉิงหัวเราะเบา ๆ “เพราะแม่ลูกจิตใจสื่อถึงกันหรือ?”
“เจ้าต้องการยืมเรือกลับอาณาจักรโบราณ หากอิงตามคำพูดของเจ้า ราชวงศ์อาณาจักรโบราณนั้นเลอะเลือนโง่เขลา ทำร้ายผู้คน ไม่ควรเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ทว่าแม่ข้าเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง นางไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับเรื่องระหว่างอาณาจักร ครอบครัวข้าแบ่งหน้าที่กัน แม่ข้ารับผิดชอบเรื่องเศรษฐกิจ พ่อข้ารับผิดชอบเรื่องในอาณาจักร แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ในใต้หล้าเช่นนี้ ต้องหารือกับท่านพ่อจึงจะมีผล ทางท่านแม่ข้าย่อมไม่ยอมรับปากส่ง ๆ แม้เรือเหล่านั้นจะล้วนเป็นนางที่สร้างขึ้นมาก็ตาม”
“ยามนี้ เจ้าสมกับเป็นคุณหนูรองลู่จริง ๆ”
“ข้าก็เป็นคุณหนูรองลู่มาตั้งแต่แรก” ลู่จื่อชิงเอ่ยอย่างเย็นชา “เช่นนั้นเจ้ามีแผนจะเดินทางไปอาณาจักรฮุ่ยหรือ?”
“มีเพียงทางเดียวคือต้องเจรจากับพ่อเจ้า” จี้ซ่งเฉิงเอ่ย “เดิมทีข้าคิดว่าหากข้าได้หมั้นกับเจ้า บิดามารดาเจ้าจะเห็นแก่ว่าที่ลูกเขยและดูแลข้าดีขึ้น บางทีอาจให้เรายืมกองกำลังสักเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ข้าเปิดปาก แม่เจ้าก็ล้มความคิดของข้า ทั้งยังบอกข้าว่าภายหน้าอย่าได้กล่าวถึงอีก ในสายตาพวกเจ้าสกุลลู่ ข้าแย่เพียงนั้นเลยหรือ?”
“โชคดีที่ผู้ที่เจ้าไปหาเป็นแม่ข้า หากเจ้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าพ่อข้า เกรงว่าแม้กระทั่งเรือยังยืมไม่ได้ด้วยซ้ำ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ในสายตาพ่อแม่ข้า ความรู้สึกไม่อาจนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์ได้ หากคนผู้หนึ่งแม้กระทั่งความรู้สึกของตนเองยังกล้าขาย คนเช่นนี้ไม่เพียงนิสัยไม่ดีเท่านั้น แต่ยังไม่อาจเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงธรรมได้ นอกจากนี้ สกุลลู่เรารักพวกพ้องเป็นอย่างยิ่ง เจ้าคิดจะใช้ข้าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ท่านพ่อข้าไม่ทำลายเจ้าสิถึงจะแปลก”
“อันที่จริงก็ไม่ใช่…”
คิดจะใช้เจ้า
จี้ซ่งเฉิงพึมพำ
เขาชื่นชมลู่จื่อชิงจากใจจริง ทั้งยังเห็นความสามารถของนาง
สำหรับบุรุษคนอื่น ๆ สตรีผู้หนึ่งที่รู้เพียงใช้ดาบใช้หน้าไม้ไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่จะเลือกมาเป็นนายหญิงของบ้าน ทว่าในความคิดของเขา สตรีผู้นี้มีนิสัยเหมือนมารดาที่ใส่ใจใต้หล้า เหมาะที่จะแต่งนางกลับไปปกครองแคว้น
“คุณหนูรอง คุณชายซ่งมาแล้วเจ้าค่ะ” นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานลู่จื่อชิง
ดวงตาของลู่จื่อชิงเบิกกว้าง “อยู่ที่ใด?”
ซ่งหานจือเดินเข้ามาตามการนำทางของข้ารับใช้แล้ว
เขาเพิ่งเดินเข้ามาก็สบตาเข้ากับจี้ซ่งเฉิง
ลู่จื่อชิงตกตะลึงไปชั่วขณะ
วันนี้ซ่งหานจือสวมชุดสีดำ รวบผมหางม้า ดูแล้วมีชีวิตชีวายิ่ง
ปกติเขาแต่งกายเหมือนบัณฑิตอ่อนแอ ทว่าวันนี้เขากลับแตกต่างออกไปจากเดิม ดูกล้าหาญ ทั้งยังเปล่งประกาย
ซ่งหานจือถือของห่อใหญ่ห่อเล็กเข้ามา
เขาเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ในมือถือของกินอร่อย ๆ จากนอกวังเข้ามา เพราะเขากังวลว่าอาหารจะเย็นเสียก่อนจึงไม่ได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพรางตัวที่สวมใส่ระหว่างปฏิบัติภารกิจ
“ซ่งหานจือ!” ลู่จื่อชิงเท้าสะเอวแล้วตะโกนด่าอย่างดุเดือด “เจ้าคนใจไม้ไส้ระกำ ข้าบาดเจ็บมานานเพียงนี้ ตอนนี้เจ้าเพิ่งมาหา บอกข้ามาหน่อยว่าหมู่นี้เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่? วัน ๆ เอาแต่ออกไปข้างนอก คงไปหาสาวงามคนสนิทอย่างที่เขาว่า ถึงขนาดเข้าหอโคมเขียวอะไรนั่นใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นลู่จื่อชิงโกรธ ซ่งหานจือพลันกระวนกระวายตามสัญชาตญาณ หลังจากได้ยินคำพูดของนาง เขาก็มองไปที่จี้ซ่งเฉิงด้วยสายตาคมกริบ สีหน้าไม่น่าดูชมนัก
“คุณชายซ่ง ข้าไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเจ้ากระมัง? เหตุใดเจ้าต้องใส่ร้ายป้ายสีข้าเล่า?”
“เจ้าไม่ได้มีหญิงงามคนสนิทชื่อ ‘ไฉ่เอ๋อร์’ ผู้หนึ่งหรือ?”