สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 898 พายุแห่งความหึงหวง
บทที่ 898 พายุแห่งความหึงหวง
บทที่ 898 พายุแห่งความหึงหวง
“แน่นอนว่าไม่มี”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน สตรีผู้นั้นโผเข้าหาอ้อมแขนเจ้าร้องห่มร้องไห้ออกมา มีคนมากมายพบเห็น” จี้ซ่งเฉิงแสยะยิ้ม สีหน้าของลู่จื่อชิงไม่น่ามองขึ้นเรื่อย ๆ ตามคำพูดแต่ละคำที่เขากล่าว
“นางเป็นพยานคนสำคัญในการสืบสวนของข้า ข้าต้องหาเบาะแสที่ต้องการจากนางจึงต้องติดต่อกัน” ซ่งหานจือเอ่ยกับลู่จื่อชิง “เดิมทีก็ไม่ใช่อย่างที่เขากล่าว”
ลู่จื่อชิงหันไปเอ่ยกับข้ารับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ “ยืนทำอะไรอยู่? ข้าเหนื่อย อยากพักผ่อนแล้ว”
ข้ารับใช้รีบเข้ามาช่วยพยุงนาง
ลู่จื่อชิงออกปากไล่ชายหนุ่มทั้งสองออกไป “ทางนี้ไม่สะดวกรับรองทั้งสองท่านแล้ว ทั้งสองท่านไปเถอะ นอกจากนี้ ภายหน้าผู้ใดไม่เข้าทางประตูหน้า ข้าจะถือว่าเป็นมือสังหาร คนบางคนชอบเป็นสุภาพบุรุษบนขื่อคาน ระวังให้ดี อย่าได้กลายเป็นเม่นเสียเล่า!”
จี้ซ่งเฉิงยักไหล่แล้วกล่าว “ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะมาเยี่ยมเจ้าวันหลัง”
หากมีโอกาส…
จี้ซ่งเฉิงหันไปมองลู่จื่อชิง แววตาไม่ยินยอม
ยากนักที่จะได้พบแม่นางน้อยที่ตรงตามความชอบของตน นึกไม่ถึงว่าพวกเขาต้องแยกจากกันเร็วเพียงนี้
ภายหน้าพบกันก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรแล้ว
คราวนี้เขาต้องไปยังอาณาจักรฮุ่ย ไปหาท่านอ๋องลู่ผู้นั้น หากอีกฝ่ายรับปาก ทุกคนล้วนยินดีกันถ้วนหน้า หากอีกฝ่ายไม่รับปาก เขาคงต้องรุดกลับไปยังอาณาจักรโบราณ ชักธงรบโค่นล้มเจ้านายเก่า
“ชิงเอ๋อร์ ข้าซื้อของกินมาให้ เจ้าลองชิมดูเถิดว่าเป็นอย่างไร หากมีของที่เจ้าชอบก็จดไว้ก่อน คราวหน้าข้าจะซื้อมาให้เจ้าอีก” ซ่งหานจือวางของลงบนโต๊ะ
ลู่จื่อชิงไม่สนใจเขา
ซ่งหานจือทำตัวไม่ถูกขึ้นมา “ชิงเอ๋อร์ ไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวจริง ๆ เจ้าก็รู้ ข้าไม่ชอบสถานที่เหล่านั้น เพียงแต่แม่นางไฉ่เอ๋อร์ผู้นั้นเป็นพยานที่สำคัญมาก ข้าทำได้เพียงต้องติดต่อกับนาง”
ลู่จื่อชิงยังคงไม่ตอบสนอง
ซ่งหานจือรู้ว่านางกำลังโกรธจึงทำได้เพียงถอยออกไปก่อน
ข้ารับใช้มองไปทางประตูแล้วกล่าวว่า “คุณหนู พวกเขาไปแล้วเจ้าค่ะ”
เท่านั้นเองลู่จื่อชิงจึงหันไปมอง เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่อยู่แม้แต่คนเดียวจึงหันไปสนใจของกินที่วางอยู่ไม่ไกล
“คุณหนู คุณชายซ่งซื้อมาให้ท่านโดยเฉพาะเลยนะเจ้าคะ หากไม่กินก็เน่าเสีย หากเน่าเสียก็สิ้นเปลืองแล้ว ยามนี้ทุกคนล้วนกล่าวว่าต้องขยันขันแข็งประหยัดอดออมนะเจ้าคะ หากปล่อยให้อาหารเสียเปล่าคงน่าละอาย”
“เจ้าพูดถูก” ลู่จื่อชิงเดินไปที่โต๊ะ
ตอนนี้นางทำได้เพียงค่อย ๆ เคลื่อนไหว แม้เดินได้ตามปกติแล้ว แต่แน่นอนว่าไม่อาจออกแรงมากไป มิเช่นนั้น ยังไม่ทันหายดีอาการจะหนักยิ่งกว่าเดิมเสียก่อน
นางกำนัลทั้งสองมองหน้ากัน แล้วลอบหัวเราะคิกคัก
คุณหนูรองลู่ท่านนี้ช่างน่ารักเกินไปแล้ว
นางกำนัลคลี่ห่อทั้งหมดออก กลิ่นหอมของอาหารเลิศรสลอยกรุ่นออกมา
“อันนี้ไม่เลว ท่านแม่ชอบกิน พวกเจ้าห่ออันนี้อีกครั้ง ส่งไปให้แม่ข้า”
“อันนี้ให้ฉาวจิ่ง เขาชอบกินมัน”
“อันนี้ให้พี่หญิงข้า…”
ซ่งหานจือซื้ออาหารมาแปดอย่าง ไม่ว่ารสชาติใดล้วนมีทั้งสิ้น ลู่จื่อชิงเก็บไว้ทานเองสามอย่าง ที่เหลือแจกจ่ายให้กับคนในครอบครัว
“พวกเจ้าว่า… ซ่งหานจือดูผอมลงหรือไม่?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม “เหตุใดรู้สึกราวกับว่าเทียบกับตอนเพิ่งมาถึง เขาผอมลงไปไม่น้อยเล่า?”
“พวกบ่าวไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คุณชายซ่งเป็นอย่างไร ทว่าเมื่อเทียบกับตอนคุณหนูเพิ่งได้รับบาดเจ็บ รู้สึกว่าคุณชายซ่งผอมลงจริง ๆ เจ้าค่ะ”
ลู่จื่อชิงกินไก่ขอทาน เมื่อนึกถึงสีหน้าผิดหวังของซ่งหานจือก่อนจากไป นางพลันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“เมื่อครู่นี้ข้าทำท่าทางไม่ดีต่อเขาเกินไปใช่หรือไม่?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถามอีกครั้ง “หมู่นี้เขาช่วยแม่ข้าจัดการเรื่องต่าง ๆ ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ได้ยินว่าเขาออกไปแต่เช้ากลับมาก็มืดค่ำ ทุกวันล้วนยุ่งมาก บัดนี้ท้ายที่สุดเขาก็มีเวลามาหาข้า ข้ายังโกรธเขาเพราะคำยุยงของจี้ซ่งเฉิงอีก จี้ซ่งเฉิงไม่ใช่คนดีเด่อะไร คำพูดเขาเชื่อถือได้หรือ? นึกไม่ถึงว่าข้าจะตกหลุมพรางเขาจริง ๆ เมื่อครู่ข้าทำเกินไปแล้วใช่หรือไม่?”
นางกำนัลทั้งสองคน “…”
ก่อนหน้านี้พวกนางเห็นใจซ่งหานจือเล็กน้อย บัดนี้จู่ ๆ ก็เห็นใจคุณหนูรองลู่ขึ้นมาแล้ว
เมื่อครู่ปากแข็งมากเพียงใด ตอนนี้ก็ใจอ่อนมากเพียงนั้น
“คุณชายซ่งไม่มีทางโกรธคุณหนูแน่นอนเจ้าค่ะ”
ลู่จื่อชิงเคี้ยวไก่ขอทาน “ข้าไปหาเขาดีกว่า!”
“ข้าพาเขามาที่นี่ เขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่ เดิมทีข้าเป็นเพียงคนเดียวที่เขาพึ่งพาได้ ผลคือข้ายังไล่เขา หากเรื่องเมื่อครู่นี้แพร่ออกไป ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร หากคนแล่นเรือไปตามลมเหล่านั้น เห็นว่าข้าไม่อยากพบเขา อาจจะมารังแกเขาได้ เขาอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร ถูกคนรังแกย่อมไม่ปริปาก”
“คุณหนู ที่ท่านกล่าวถึงคือคุณชายซ่งจริงหรือเจ้าคะ?”
“ไม่เช่นนั้นจะเป็นใครเล่า?”
นางกำนัลทั้งสองส่ายศีรษะ
หากคุณชายซ่งอ่อนแอ น่ารังแก เช่นนั้น โลกนี้คงไม่มีคนแข็งแรงแล้ว
ในลานเรือนร้าง เงาร่างทั้งสองประมือกัน เจ้าถอยข้ารุก กลับไปกลับมา ไม่ยอมอ่อนข้อ ท้ายที่สุดจึงจบลงด้วยการเสมอกัน
ตุบ! หมัดเดียวฟาดออกไป ซ่งหานจือถูกต่อยเข้าที่มุมปาก
พลั่ก! ลูกเตะหนึ่งถีบออกไป จี้ซงเฉิงถูกเตะเข้าที่หน้าอก
ทั้งสองสู้กันอย่างไม่ยอมแพ้ กระทั่งท้ายที่สุดจึงต่อสู้กันด้วยสัญชาตญาณจากร่างกายราวกับพวกอันธพาล
“พอแล้ว ไม่ตีแล้ว” จี้ซ่งเฉิงตะโกนขึ้น “เจ้าคนนี้ไม่มีจริยธรรมในการต่อสู้จริง ๆ ทำตัวประหนึ่งคนบ้า!”
“เหตุใดเจ้าต้องพูดจาเหลวไหลต่อหน้าเสี่ยวชิงเอ๋อร์เล่า?” ซ่งหานจือมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าก็รู้ว่าเรื่องเหล่านั้นไม่เป็นความจริง เจ้าจงใจพล่ามคำพูดไร้สาระเหล่านั้นต่อหน้านางที่ไม่รู้อะไรเลย เจ้ากล่าวคำพูดไม่มีมูลเหล่านั้นออกมา แล้วยังจะเอ่ยถึงจริยธรรมในการต่อสู้อีกหรือ?”
“เจ้ากำลังกังวลอะไร? หรือเจ้ากังวลว่านางจะเข้าใจเจ้าผิดจริง ๆ? หากอาศัยคำพูดเพียงไม่กี่คำของข้าก็หว่านเมล็ดความบาดหมางให้พวกเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องดีต่อนางเพียงนั้นหรอก ตัดความสัมพันธ์ไปไม่ดีกว่าหรือ?”
“ฝันไปเถอะ!”
“เอาละ นางไม่เชื่อข้าแม้แต่คำพูดเดียว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
“ภายหน้าอยู่ให้ห่างจากเสี่ยวชิงเอ๋อร์หน่อย” ซ่งหานจือลุกขึ้นจากพื้น
“เจ้าร้อนใจเพียงนี้ คงเห็นข้าเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดกระมัง? ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้เชื่อในตัวนางเพียงนั้น!” จี้ซ่งเฉิงกล่าว “ทว่าก็ใช่ สำหรับลู่จื่อชิง เจ้าควรเป็นผู้ติดตามตัวน้อย แม่นางน้อยผู้นั้นเดิมทีก็ไม่ได้เข้าใจความคิดเจ้าแม้เพียงนิด นางเห็นเจ้าเป็นเพียงเด็กรับใช้ที่ว่าง่าย อย่างมากก็เห็นเจ้าเป็นเพียงพี่ใหญ่ข้างบ้านหรือเป็นน้องชายน้อยที่เชื่อฟังนาง ถูกหรือไม่?”
“นั่นไม่เกี่ยวกับเจ้า”
จี้ซ่งเฉิงมองเงาร่างของซ่งหานจือที่ผละจากไป แล้วเอ่ยว่า “หากไม่มีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ ข้าละอยากอยู่แข่งขันกับเจ้าจริง ๆ ทว่าไม่รีบร้อน แม่นางน้อยผู้นั้นน่ะ ข้ายังมีโอกาส”
“คุณชาย คุณหนูรองมาขอรับ” ขันทีน้อยที่รับใช้ซ่งหานจือเอ่ยอย่างดีใจ
ซ่งหานจือรีบหมุนตัวไป เตรียมจะเดินหนี เมื่อได้ยินเสียงของลู่จื่อชิงจากด้านหลัง “ซ่งหานจือ เจ้าจะไปที่ใด?”
ซ่งหานจือ “…”
จี้ซ่งเฉิงเจ้าคนสารเลวนั่นต่อยหน้าเขา บัดนี้บนหน้าเขาจึงยังมีบาดแผล