สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 90 ลูบศีรษะ
บทที่ 90 ลูบศีรษะ
บทที่ 90 ลูบศีรษะ
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “สิ่งที่ข้า… ทำมาให้ทานถือเป็นการดูถูกเขาหรือ?”
“อย่าใส่ใจเขาเลย”
“เขาเองก็มีนิสัยเช่นนั้นแหละ น้องสะใภ้ทำอาหารเก่งจะตาย รสชาติดีราวกับอาหารจากภัตตาคารเจียงซื่อ” เสมียนคนหนึ่งกล่าวขณะยัดปลาทอดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
มู่ซืออวี่ยิ้มพลางกล่าวอย่างเขินอาย “ช่างน่าขัน นี่คืออาหารที่ข้าตั้งใจปรุงมาขาย แต่ไม่อาจขายได้ ต้องขอบคุณเจ้าของภัตตาคารเจียงซื่อที่คอยช่วยเหลือข้าเป็นอย่างดี”
“แท้จริงแล้วอาหารรสเลิศในภัตตาคารเจียงซื่อเป็นฝีมือของน้องสะใภ้อย่างนั้นหรือ? ไม่แปลกใจที่พวกเขาจำกัดการขายในทุกวัน ที่แท้เพราะไม่ได้ทำเองนี่เอง”
“ไม่ได้ถือเป็นอาหารรสเลิศถึงเพียงนั้น วันนี้ข้าทำอาหารมามากมาย พวกท่านต่างเป็นเพื่อนร่วมงานของสามีข้า เอาอาหารเหล่านี้กลับไปรับประทานเถิด หากมีสิ่งใดจะตำหนิติเตียนก็โปรดให้คำแนะนำแก่ข้า”
ห่ออาหารทั้งใบใหญ่และใบเล็กถูกส่งมอบให้กับเหล่าเสมียนที่ทำงานในศาลาว่าการ แต่หากปล่อยให้พวกเขาแบ่งกันเอง แน่นอนว่าต้องมีบางคนที่ไม่ได้รับส่วนแบ่ง ดังนั้นนางจึงส่งมอบห่ออาหารให้แม่ครัวช่วยแจกจ่าย
เพียงไม่นาน เรื่องราวของภรรยาผู้มีน้ำใจและช่างพูดของเสมียนคนใหม่ผู้เฉยชาก็แพร่กระจายไปทั่วศาลาว่าการ
ครั้งนี้นางสามารถซื้อใจผู้คนได้มากมาย
“เจ้าอาจทำเงินได้มหาศาลหากขายอาหารเหล่านี้ให้แก่ภัตตาคารเจียงซื่อ ไม่จำเป็นต้องเอาใจคนพวกนี้หรอก” ลู่อี้กล่าวเสียงเข้ม
“เจ้าได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะตั้งแต่ยังเล็ก มีอนาคตที่สดใส ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ทำให้ชีวิตพังพินาศ นอกจากครอบครัวแล้ว เจ้าไม่เหลือใครเลยแม้แต่สหาย เจ้าเองก็คงโหยหามิตรภาพ แต่สีหน้าเย็นชาที่เจ้าแสดงต่อผู้อื่นน่ะ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเจ้าใจร้าย ไม่กล้าเข้าใกล้ ในเมื่อเจ้าจะเป็นคนเฉลียวฉลาด ก็ควรจะรู้จักวิธีการเข้าหาผู้คนสิ เจ้าควรตระหนักถึงประโยชน์ของการผูกมิตรนะ เพราะเห็นว่านี่อาจเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับเจ้า ข้าเลยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ การผูกมิตรไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าลดทิฐิลงบ้างก็ได้”
เมื่อเห็นว่าลู่อี้กำลังจะเอ่ยบางสิ่ง มู่ซืออวี่ก็ยัดน่องไก่ทอดใส่ปากเขาทันที
หงับ!
เมื่อเห็นท่าทีของเขา มู่ซืออวี่ก็รู้สึกขบขัน
หากในยุคสมัยนี้มีโทรศัพท์มือถือ นางคงจะถ่ายรูปเขาเก็บไว้เป็นที่ระลึกแน่นอน
แต่น่าเสียดายที่ในยุคนี้ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ชีวิตช่างขาดความสนุกสนานเสียจริง
“เจ้าต้องเข้ากับผู้อื่นให้ได้เป็นอย่างดี จงผูกมิตรให้มาก อย่าสร้างศัตรู ข้าคิดว่าตอนนี้นักการเกาค่อนข้างพอใจในตัวเจ้า เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ควรค่าแก่การสร้างมิตรภาพนะ”
ณ มุมถนนแห่งหนึ่ง นักการเกายืดอก มองบุคคลผู้หนึ่งที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา “ดูเถอะ ยังมีผู้มีวิสัยทัศน์ดี ๆ อยู่อีกมากมาย”
ชายที่อยู่ข้างเขาโบกพัดในมือ จ้องมองไปยังนายอำเภอฉิน
นายอำเภอฉินชี้ไปด้านหน้า ราวกับส่งสัญญาณให้ไปทางนั้น
ใครบางคนปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงัน ก่อนจะจากไปอย่างเงียบ ๆ
“ข้าเคยคิดว่าลู่อี้เป็นคนที่มีพรสวรรค์ แม้เขาจะฉลาด แต่ก็ไร้พรสวรรค์ทางด้านอารมณ์ หากได้รับการขัดเกลา เขาย่อมเป็นคนที่ดีขึ้นแน่ เมื่อได้สังเกตการกระทำของลู่อี้ในวันนี้แล้ว เราไม่ควรประมาทคนเช่นเขา”
“เป็นเพราะภรรยาของเขาหรือ?”
“อืม สะใภ้ตระกูลลู่ผู้นี้แตกต่างจากสตรีบ้านนอกทั่วไป นางเป็นคนมีน้ำใจและรู้จักใช้วาจา”
“ข้าเห็นว่านางก็งดงามไม่น้อย นางเป็นคนช่างสังเกตและมีวิสัยทัศน์ ไม่เหมือนกับพวกบัณทิตที่เอาแต่ดูถูกผู้อื่น นางชื่นชมที่ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา ทั้งยังมอบอาหารให้ข้าหนึ่งห่อด้วยล่ะ”
“หือ? มอบอาหารให้เจ้าด้วย? อยู่ที่ใดกัน?”
“อยู่ที่…” นักการเกาปิดปากพลางจ้องมองที่ปรึกษาหู่ที่กำลังยิ้มแย้มอย่างระแวดระวัง “กินหมดแล้วขอรับ หมดเกลี้ยงเลยล่ะ ท่านที่ปรึกษา ข้าต้องไปจับอาชญากรก่อน ต้องไปแล้ว”
“ไอ้เด็กคนนั้น หากมีหยกเม็ดงามในมือ จะยอมให้ภรรยาหรือไม่?”
ลู่อี้มาส่งมู่ซือวี่ ณ ประตูทางออก
นางโบกมือให้เขา “ข้าต้องกลับก่อน”
“เดี๋ยวก่อน” ลู่อี้หยุดมู่ซืออวี่ไว้พลางหยิบถุงเงินแล้วมอบให้นาง “วันนี้มีคนขอซื้องานเขียนของข้า แล้วเขาก็มอบเงินนี้ให้ข้า”
“เจ้าไม่ได้ทำงานในศาลาว่าการหรอกหรือ?” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยความประหลาดใจ
“อืม สมัยก่อนตอนข้ายังเรียนหนังสือ บางครั้งก็จะมีผู้คนขอให้ข้าตั้งชื่อให้ ชายคนนั้นจำข้าได้ดี เมื่อได้พบกันอีกครั้ง เขาเลยให้ข้าตั้งชื่อลูกชายที่เพิ่งเกิด จะเลือกจากชื่อทั้งหมดที่ข้าเขียนให้”
มู่ซืออวี่หยิบถุงเงินมาเทและอุทานว่า “นี่มันอะไรกัน งานเขียนของเจ้ามีมูลค่าเพียงนี้เชียวหรือ?!”
ไม่ใช่เพียงสองเหรียญเท่านั้น แต่ยังมีเศษเงินที่ตกลงมาจากถุงเงินด้วย แสดงว่ามีเงินมากกว่า 2 ตำลึง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางง่วนอยู่กับการประดิษฐ์งานไม้และปรุงเนื้อตุ๋น ทว่ากลับได้รับเงินเพียง 3 ตำลึง
แต่ถึงอย่างไรนางก็สามารถพูดได้ว่า นางหาเงินเข้าบ้านได้มากกว่า 2 ตำลึง
“คุณค่าอื่นใดจะเทียบเท่าการศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือได้ วันนี้ข้าเข้าใจความหมายของประโยคนี้อย่างถ่องแท้แล้ว อาจารย์ลู่ วันนี้ข้าจะทำขาไก่ให้ ต้องการรสชาติใดหรือ? รสเผ็ดหรือรสกระเทียม?”
ลู่อี้ยิ้มพลางเอื้อมมือลูบศีรษะนาง “กลับบ้านอย่างระมัดระวังเถอะ วันนี้ข้าอาจกลับถึงบ้านดึกดื่น เจ้ากับทุกคนไม่จำเป็นต้องรอคอยข้ากินข้าวเย็น”
มู่ซืออวี่ยืนนิ่ง ร่างกายแข็งทื่อ เฝ้ามองแผ่นหลังของลู่อี้ที่กำลังเดินจากไปตาปริบ ๆ
เขา… ลูบศีรษะนาง!!!
หรือเขาคิดว่าตนเองกำลังสัมผัสสัตว์เลี้ยงแสนน่ารัก?
ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
“ช่างเถิด เดาใจคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนเย็นชาอย่างเขา บางทีเขาแค่อารมณ์ดี”
มู่ซืออวี่ไม่รีบร้อนที่จะเดินทางกลับบ้าน นางตรงไปยังหอหลิงอวิ๋นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าของนางได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากนั้นจึงตรงไปยังภัตตาคารเจียงซื่อ เพื่อตรวจสอบดูว่าอาหารรสเลิศของนางสามารถขายให้กับผู้คนได้หรือไม่ ทว่านางก็ไม่อาจได้สนทนากับผู้ดูแลร้าน เนื่องจากเขายังยุ่งอยู่กับลูกค้ามากมายจนไม่มีเวลาทักทายนาง
เมื่อรู้ว่าคู่ค้าทั้งสองรายของนางทำเงินได้มากมาย นางก็ไม่รู้สึกอิจฉาแต่อย่างใด แต่ยินดีกับพวกเขาอย่างยิ่ง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่านางมีความสามารถอันยอดเยี่ยมและสร้างรายได้ให้กับคู่ค้าได้เป็นอย่างดี หากเป็นเช่นนี้ในอนาคตจะต้องมีผู้คนมากมายมาติดต่อเป็นคู่ค้ากับนางแน่
“เถ้าแก่ มีหนังสือใหม่บ้างหรือไม่ มีเล่มใดที่ไม่เคยขายมาก่อนบ้าง?” มู่ซืออวี่เดินเข้าไปในร้านหนังสือ
เจ้าของร้านหนังสือมองคนมาใหม่ พบว่าการแต่งกายของมู่ซืออวี่งดงาม เนื้อตัวก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีแม้รอยปะบนเสื้อผ้า นางอาจจะเป็นผู้มั่งมีที่สามารถซื้อหนังสือได้
“แม่หนูมาได้ทันเวลาพอดี เรามีหนังสือใหม่มาสองสามเล่ม” เจ้าของร้านกล่าวพลางกวักมือเรียกนางอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ
มู่ซืออวี่คิดว่าเจ้าของร้านผู้นี้ช่างแปลกประหลาด เขาเพิ่งได้หนังสือมาใหม่ แต่กลับไม่เก็บไว้เป็นความลับ อีกทั้งยังมองนางอย่างลามก เหตุใดเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้ถึงประหลาดนัก?
“เอ้า นี่คือ…” เจ้าของร้านกล่าวพลางยื่นให้นาง
เขามองไปด้านนอกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ ก่อนจะกล่าวว่า “นังหนู เจ้านี่ช่างไม่เหมือนผู้ใดและไม่มีผู้ใดเหมือนจริง ๆ”
มู่ซืออวี่ “…”
อันที่จริงนางไม่ต้องการได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
นางเพียงมาที่นี่เพื่อต้องการซื้อหนังสือ
“ข้า….”
“โอ้ นายน้อยอัน ยินดีต้อนรับ” เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามา เจ้าของร้านก็รีบยัดหนังสือใส่มือมู่ซืออวี่ทันที
“ข้า… ไม่…” มู่ซืออวี่จ้องมองชายหนุ่มที่กำลังเดินมา ความประหลาดใจพลันฉายชัดในแววตานาง
นี่คือชายที่ช่วยเหลือพวกนางไว้เมื่อคราวก่อนใช่หรือไม่?
เมื่อเห็นเจ้าของร้านหนังสือ อันอี้หางก็หยิบหนังสือออกมาจากแขนเสื้อของเขาราว ๆ สองสามเล่ม
“ข้าขายสองเล่มนี้…”
“หนังสือของนายน้อยอันยอดเยี่ยมทุกเล่ม ข้าจะไปนำเงินมาให้ท่านเดี๋ยวนี้” เจ้าของร้านหนังสือกล่าวอย่างมีความสุข
อันอี้หางรู้สึกได้ว่ามีคนจ้องจึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นหญิงสาวรูปงามผู้หนึ่งก็พยักหน้าให้นาง จากนั้นจึงยืนเอามือไพล่หลังรอคอยให้เจ้าของร้านกลับออกมา