สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 905 ซ่งหานจือ เจ้าเยี่ยมยอดยิ่งนัก
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 905 ซ่งหานจือ เจ้าเยี่ยมยอดยิ่งนัก
บทที่ 905 ซ่งหานจือ เจ้าเยี่ยมยอดยิ่งนัก
บทที่ 905 ซ่งหานจือ เจ้าเยี่ยมยอดยิ่งนัก
“ซ่งหานจือ เจ้าเยี่ยมยอดยิ่งนัก” ลู่จื่อชิงมองเขา “ยังมีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้บ้าง”
ซ่งหานจือถูจมูกตนเอง ใบหูเริ่มแดงเรื่อขึ้นมา จู่ ๆ พลันทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย “อันที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้ดีอะไรปานนั้น”
“ไม่ ซ่งหานจือ เจ้าเก่งที่สุด เจ้าเยี่ยมยอดเพียงนั้นแหละ” สิ้นคำ ลู่จื่อชิงก็หันไปมองคนสองสามคนที่ถูกชาวบ้านทุบตี จึงให้คนไปห้ามชาวบ้านโดยเร็ว
คราวทหารหลายสิบคนต้องตาย เหล่าทหารก็โกรธมากเช่นกัน ยามนี้เมื่อพบว่ามีคนคิดจะวางแผนทำร้ายพวกเขาแล้ว เหล่าทหารไม่ก้าวออกไปเตะหรือใช้ดาบจ้วงแทงคนพวกนั้น เพราะไม่ได้รับคำสั่งจากลู่จื่อชิง พวกเขาไม่กล้าฝ่าฝืนกฎทหารจึงเมินเฉยต่อการกระทำของชาวบ้าน บัดนี้ลู่จื่อชิงสั่งให้พวกเขาหยุด พวกทหารจึงทำได้เพียงระงับความโกรธแล้วก้าวออกไปยับยั้งเหตุการณ์
“คนเหล่านี้ย่อมไม่ทำร้ายผู้คนโดยไร้เหตุผลเป็นแน่ พวกเขาจะต้องมีเหตุผลถึงได้ทำเช่นนี้ หากทุบตีพวกเขาให้ตาย เช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดรู้ความจริง”
ชาวบ้านต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
ลู่จื่อชิงเคยใช้วิธีการต่าง ๆ นานา มาขอโทษพวกเขา ทว่าพวกเขากำลังเศร้าโศกจึงไม่ยินดียอมรับ บัดนี้พบว่าเหตุการณ์นี้เป็นการกระทำของคนในหมู่บ้าน เงินชดเชยเหล่านั้นเกรงว่าจะไม่ได้แล้ว เช่นนั้นไม่เท่ากับคนก็ไม่อยู่แล้ว เงินก็ไม่ได้หรือ?
ยิ่งชาวบ้านคิดถึงเรื่องนี้มากเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งเกลียดอันธพาลที่ควรถูกสับเป็นพัน ๆ ชิ้น แทบจะอดใจไม่ให้ฆ่าพวกเขาไม่ไหว
“ในเมื่อเรื่องนี้ตรวจสอบออกมาได้แล้ว เช่นนั้นค่าชดเชยนี้ก็เป็นอันยกเลิก” ซ่งหานจือเอ่ย “พวกท่านวางใจเถิด พวกเราจะต้องตรวจสอบความจริงออกมาอย่างแน่นอน เช่นนี้คนในครอบครัวพวกท่านจะได้ไม่ต้องตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม”
ชาวบ้านคนหนึ่งไม่อาจทนรับการจู่โจมในครั้งนี้ได้จึงถึงกับร้องไห้ฟูมฟายออกมา
เมื่อคนแรกร้องไห้เสียงดัง ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปเช่นกัน
“หลี่เอ้อร์นิว หากเจ้าไม่ยืนกรานว่ายิ่งพวกเราถ่วงเวลาออกไปได้นานเพียงใดก็จะได้เงินมากขึ้นเพียงนั้น พวกเราคงไม่ต่อต้านอยู่เช่นนี้ ตอนนี้ดีนัก เงินชดเชยแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ได้แล้ว เจ้าจะให้ครอบครัวพวกเราอยู่ต่อไปอย่างไร?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเดรัจฉานเหล่านี้ที่ก่อเรื่อง? หากเกิดเรื่องกับนายท่านทหารหลายสิบนายในหมู่บ้านของเรา อย่าแม้แต่จะคิดถึงเงินชดเชย ใต้เท้าทุกท่านไม่โกรธคนในหมู่บ้านก็ดีเพียงใดแล้ว”
พอชาวบ้านได้ยินแล้วก็หันไปมองลู่จื่อชิงด้วยความหวาดกลัว
เมื่อครู่นี้พวกเขาเพิ่งทำอะไรลงไป?
ผู้ใดมอบความกล้าให้พวกเขาลงมือต่อน้องสาวแท้ ๆ ของฮองเฮากัน?
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่เพราะเห็นนางรู้สึกผิดจึงได้มีความมั่นใจขึ้นมาหรือ บัดนี้ไม่เพียงแต่เรื่องร้ายไม่เกี่ยวข้องกับนางเท่านั้น คนของนางยังตายด้วยน้ำมือของคนในหมู่บ้าน หนี้เลือดนี้เป็นหนี้ของพวกเขาแล้ว
“เรื่องที่รับปากก่อนหน้านี้…”
“แน่นอนว่าเรื่องที่รับปากก่อนหน้านี้ไม่นับรวม” ซ่งหานจือดึงลู่จื่อชิงไว้ แล้วเอ่ยกับชาวบ้าน “อย่างไรก็ตาม แม้ผู้กระทำผิดจะเป็นคนในหมู่บ้านพวกท่าน ทว่าพวกท่านก็เป็นเหยื่อเช่นกัน พวกเราจะไม่ดึงพวกท่านมาเกี่ยวข้องแน่นอน”
ซ่งหานจือจูงลู่จื่อชิงออกมา ทิ้งเรื่องที่เหลือไว้ให้คนของพวกเขาจัดการ
“หานจือ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาช่างน่าสงสาร…”
“น่าสงสารหรือ? หากเป็นตอนแรก ข้าก็รู้สึกสงสารพวกเขาอยู่บ้าง เพียงแต่หลังจากพวกเขาสาดน้ำใส่เจ้า ข้าก็ไม่สงสารพวกเขาอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อเห็นนางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เนื้อตัวเปรอะเปื้อนสกปรก ใจเขาก็เจ็บปวดยิ่งนัก ในสายตาของซ่งหานจือ ในเมื่อพวกเขายินดีใช้วิธีนี้ระบายโทสะ นี่ก็นับว่าเป็นการชดเชย เงินไม่จำเป็นต้องให้แล้ว
สกุลลู่ไม่ได้ขาดแคลนเงิน ทว่าเงินของสกุลลู่ก็ไม่ได้ลอยมาตามลม ถือสิทธิ์อะไรต้องชดใช้เรื่องที่พวกเขาไม่ได้กระทำ?
ถึงแม้เสี่ยวชิงเอ๋อร์จะดูไม่สนใจสิ่งใด ทว่าแท้จริงแล้ว นางเป็นคนจิตใจอ่อนโยน บางทีนางอาจได้รับความกล้าหาญมากจากบิดาสกุลลู่ ทว่าจิตใจที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจนั้นได้รับมาจากมารดา
อย่างที่ทุกคนคาดเดาไว้ เมื่อติดตามเบาะแสจากชาวบ้านหลายคนที่ลงมือ พวกเขาก็ยังคงยืนกรานว่านี่เป็นความแค้นส่วนตัว พวกเขาคิดจะลงมือต่อชายหลายคนในหมู่บ้าน ทว่าทหารเหล่านั้นกลับติดกับดักเข้าโดยบังเอิญ เดรัจฉานที่ลงมือเหล่านี้ล้วนถูกคนในหมู่บ้านรังเกียจ หลายคนที่ถูกกลบฝังอยู่ใต้ดินอาฆาตแค้นพวกเขา ขอเพียงพวกเขาขโมยของก็จะถูกไล่ตามฆ่าฟัน
ไม่ว่าผู้อื่นจะเชื่อเหตุผลนี้หรือไม่ ชาวบ้านทั่วไปล้วนเชื่อเช่นนั้น ในความคิดของพวกเขา พวกเดรัจฉานเหล่านี้ย่อมไม่มีเหตุผลอื่นใดแล้ว
“เบาะแสขาดตอนอีกแล้วหรือ?”
“อืม”
“เช่นนั้น ทำได้เพียงตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
“พี่หญิงหมายความว่า…”
“เผ่าคงเจินอยู่ภายใต้อาณาเขตเราเช่นกัน ในฐานะราชบุตรเขยของเผ่าคงเจิน ซื่อจื่ออันกั๋วกงย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทางไปผูกมิตรไมตรีด้วยตนเองในนามอาณาจักรเฟิ่งหลินกระมัง?”
“ฟังดูไม่เลวจริง ๆ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เพียงแต่ พี่หญิงจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่มีความคิดอื่นใด?”
“แม้เขาไม่มี องค์หญิงถัวน่าผู้นั้นย่อมไม่อาจอยู่นิ่งได้ นางมักจะก่อปัญหาบางอย่างเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาไม่มี เราจะไม่ทำให้เขามีหรือ? จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกระทั่งบัดนี้ เขาเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด เช่นนั้นพวกเราก็ควรทำให้ความผิดนี้เกิดขึ้นมา” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
“นี่คือปั้นน้ำเป็นตัวหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่อชิงรู้สึกประหลาดใจ
“ชิงเอ๋อร์ โลกนี้ไม่เคยมีขาวหรือดำ” ลู่จื่ออวิ๋นดึงมือลู่จื่อชิงให้มานั่งลงฝั่งตรงข้าม “เจ้าวางใจ พี่หญิงไม่มีทางผิดต่อคนดี แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนเลว พวกเราไม่จำเป็นต้องโอนอ่อนเกินไป บางครั้งการยอมจำนนของเรารังแต่จะทำให้คนชั่วในเงามืดเหล่านั้นแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ”
ลู่จื่ออวิ๋นคิดว่าเรื่องนี้ง่ายดาย
นางต้องจัดการกับของสกปรกเหล่านี้ก่อนที่เซี่ยเฉิงจิ่นจะนำทัพกลับเข้าเมืองมา
นางอยากให้เซี่ยเฉิงจิ่นที่ลำบากตรากตรำอยู่ด้านนอกนานเพียงนั้น กลับมาแล้วไม่เพียงได้พบกับภรรยาและลูกชาย ทว่ายังได้พบกับราชสำนักที่สงบสุขดีด้วย
“ข้าเข้าใจ พี่หญิง ไม่ว่าท่านจะทำเรื่องใด ข้าจะสนับสนุนท่านโดยไร้เงื่อนไข” ลู่จื่อชิงเอ่ยว่า “ท่านพ่อท่านแม่กล่าวว่าอำนาจที่พวกเรามีเพื่อปกป้องผู้อ่อนแอ ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดนั้นต้องปกป้องตนเองเสียก่อน”
“ไม่ผิด” ลู่จื่ออวิ๋นพึงพอใจ “เจ้าเด็กคนนี้โตขึ้นอีกแล้ว ดูเหมือนการเดินทางเที่ยวนี้ไม่เพียงแต่ฝึกฝนความเป็นผู้นำของเจ้าเท่านั้น แต่ยังทำให้เจ้ามีสติสัมปชัญญะและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย”
“กล่าวไปแล้ว เฉิงอี๋ใกล้จะครบหนึ่งขวบเร็ว ๆ นี้แล้วกระมัง?” ลู่จื่อชิงเอ่ยว่า “ข้ากับท่านแม่อยู่ที่นี่มาได้หนึ่งปีแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นตกตะลึง “ใช่แล้ว! เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก”
ณ จวนอันกั๋วกง เริ่นหานคุนเคาะประตู เขาไม่ได้ผลักประตูเข้าไป จนกระทั่งคนข้างในตะโกน ‘เข้ามา’
“ท่านพ่อ ท่านเรียกหาข้าหรือ”
“ข้าไม่ได้เรียกหาเจ้า แต่เป็นฮองเฮา” อันกั๋วกงไอโขลก ๆ ก่อนยื่นพระราชโองการให้ “วันนี้ตอนที่เจ้าออกไปข้างนอก มีคนจากวังหลวงมาประกาศราชโองการ เจ้านำไปอ่านเองเถอะ!”
เริ่นหานคุนหยิบมันขึ้นมาอ่านเนื้อหาในพระราชโองการ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยความสงสัย “ฮองเฮาขอให้ข้าพาถัวน่ากลับไปแสดงมิตรไมตรีที่เผ่าคงเจินหรือ?”
“ไม่ผิด” อันกั๋วกงกล่าว “เจ้าแต่งงานกับองค์หญิงเผ่าคงเจิน ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะไปแสดงความเป็นมิตรไมตรีต่อเผ่าคงเจิน”
“ท่านพ่อ ราชสำนักพบเจออะไรบางอย่างแล้วใช่หรือไม่?”
“พวกเขาจะพบอะไรได้? ทุกอย่างที่เกี่ยวกับข้าถูกเก็บกวาดหมดแล้ว ไร้ข้อบกพร่องใด ๆ” อันกั๋วกงยิ้มหยัน “เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนแซ่เซี่ยจะรอดชีวิตกลับมา โชคไม่ดีจริง ๆ ทว่าไม่มีปัญหา ที่หนึ่งขาดตกไป ยังมีที่อื่นอยู่เสมอ แผนของเรายังคงดำเนินต่อไปได้”