สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 906 ท่านพ่อตาบุญธรรม
บทที่ 906 ท่านพ่อตาบุญธรรม
บทที่ 906 ท่านพ่อตาบุญธรรม
“ท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าเรื่องที่ขอให้ข้าไปเผ่าคงเจินครานี้มีอะไรแปลก ๆ”
“บางทีฮองเฮาอาจต้องการทดสอบว่า เจ้าและเผ่าคงเจินจะจับมือกันสร้างกองทัพหรือไม่กระมัง!” อันกั๋วกงกล่าว “ถึงแม้ฮองเฮาจะมีสติปัญญาล้ำเลิศ ทว่านางยังคงเป็นสตรี ไม่เข้าใจพายุโสมฝนโลหิตในราชสำนัก หากพวกเราจะลงมือ จะใช้เผ่าคงเจินเล็ก ๆ ได้อย่างไร? เพียงแต่ม้าศึกของเผ่าคงเจินนั้นดีจริง ๆ เจ้าไปที่นั่นคราวนี้ หาทางทำการค้ากับเผ่าคงเจิน รับผิดชอบในการซื้อม้าศึกงาม ๆ จากพวกเขาเถิด จงจำไว้ บอกพ่อตาของเจ้าว่า ราชสำนักไม่อนุญาตให้ซื้อม้าศึกโดยส่วนตัว เรื่องนี้จะต้องเก็บเป็นความลับ หากไม่อยากให้ลูกสาวเป็นม่าย ทางที่ดีควรปิดปากให้สนิทที่สุด”
“ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
“องค์หญิงถัวน่าผู้นั้นนั้นโง่เขลาราวกับหมูจริง ๆ คนเช่นนี้ไม่คู่ควรเป็นสะใภ้ของเรา เพียงแต่บัดนี้ถึงเวลาใช้นางให้เป็นประโยชน์แล้ว สุภาพและดีต่อนางเสียหน่อย อย่าปล่อยให้นางจับได้และคว้าความผิดเจ้าไว้ในกำมือ”
“ท่านพ่อกล่าวอะไร? ข้ากับนางแต่ไหนแต่ไรก็ปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ ทั้งยังปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม ย่อมไม่เกิดเรื่องอย่างที่ท่านกล่าวถึงอย่างแน่นอน”
บุปผาผลิบานบนสองกิ่งก้าน คำพูดแบ่งออกเป็นสองสาย
อาณาจักรเหลียงเป็นเพียงซากปรักหักพัง ผู้คนอยู่แต่ในบ้านไม่กล้าออกไปข้างนอก
เมืองหลวงถูกทำลาย ราชสำนักถูกสับเปลี่ยน ราษฎรย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุด โชคดีที่ผู้บัญชาการของอาณาจักรฮุ่ยและอาณาจักรเฟิ่งหลินไม่ได้เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ ตราบใดที่ราษฎรไม่ออกจากบ้านไปรนหาที่ตาย บัดนี้ล้วนอยู่แต่ในบ้านโดยสงบ
เกิดเหตุเพลิงไหม้ในเมืองหลวง
ชาวบ้านทั่วไปสังเกตเห็นควันโขมงจึงไปยืนอยู่กลางลานบ้าน มองไปทางพระราชวัง
“นี่คือ…”
“นี่คือมัจฉาตายตาข่ายขาด*[1]!”
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังแว่วมาแต่ไกล
เมื่อเซี่ยเฉิงจิ่นและฟ่านหยวนซีนำกองทัพเข้าโจมตีประตูพระราชวัง พวกเขาก็เห็นควันลอยขโมงขึ้นมาจึงรู้ว่าฟ่านเหยี่ยนที่อยู่ด้านในต้องการทำให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้การควบคุม
“ฝ่าบาท ตอนนี้จะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
“โจมตีเข้าไป” ฟ่านหยวนซียิ้มเยาะ “ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เช่นนั้นก็ต้องบุกทะลวงเข้าไป ผู้ใดยอมสวามิภักดิ์จะไม่ถูกฆ่า ผู้ใดปฏิเสธที่จะยอมจำนน ฆ่าไม่เว้น!”
ไม่ว่าประตูพระราชวังจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจต้านพลังการโจมตีนี้ของพวกเขาได้
ไม่นานนัก ประตูพระราชวังก็เปิดออก
กองทัพรุดเข้าไปทันที
ผู้คนในวังหลวงต่างวิ่งกันอุตลุด ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
ผู้นำกองทัพตะโกนก้อง “ผู้ใดยอมจำนนไม่ฆ่า หากวิ่งสะเปะสะปะไปรอบ ๆ ฆ่าไม่ละเว้น”
เมื่อผู้คนในวังหลวงได้ยินดังนี้ก็หาที่นั่งยอง ๆ ลงไป ไม่กล้าวิ่งวุ่นอีก
ฟ่านหยวนซีและเซี่ยเฉิงจิ่นนำคนของพวกเขาบุกเข้าไปในพระราชวังโดยตรง
คราวนี้พวกเขามีเพียงเป้าหมายเดียว นั่นคือนำตัวฟ่านเหยี่ยนผู้ก่อความไม่สงบต่อทั้งสองอาณาจักรออกมา
“ฟ่านเหยี่ยนเล่า?”
“ฝ่าบาท… ทรงทำอัตวินิบาตกรรมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไฟมอดดับลง พบศพหนึ่งอยู่ข้างใน เมื่อพิจารณาจากร่องรอยที่หลงเหลือแล้ว ดูเหมือนฟ่านเหยี่ยนจะถูกเผาจนตายในวังลึก
“ไม่มีทางเป็นเขา” ฟ่านหยวนซียิ้มเยาะ “น้องชายผู้นี้ แม้วัยจะแตกต่างจากข้ามาก ทว่านิสัยกลับคล้ายกันทีเดียว จากนิสัยของเขาแล้ว เขาจะยอมตายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ขอเพียงไม่จนมุมจริง ๆ เขาย่อมไม่มีทางยอมแพ้ หลายปีมานี้ข้าถูกเขาทรมาน เรื่องเล็กน้อยนี้ยังพอเข้าใจอยู่บ้าง”
เซี่ยเฉิงจิ่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“คนของเราเฝ้าประตูทุกแห่งเอาไว้แล้ว ถึงแม้ว่าผู้ที่ยอมจำนนจะไม่ถูกคนของเราฆ่าตามอำเภอใจ ทว่าก็ไม่อาจปล่อยตัวพวกเขาในทันที จัดวางไว้ที่แห่งหนึ่ง รอตรวจสอบตัวตนพวกเขาได้แล้วจึงจะส่งออกไป ดังนั้น ฟ่านเหยี่ยนจะต้องยังอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ เขาเสแสร้งแกล้งทำเก่งมาแต่ไหนแต่ไร บางทีเขาอาจปลอมเป็นข้ารับใช้ในวังธรรมดา ๆ พยายามหาโอกาสหลบหนี”
“ฟ่านเหยี่ยน น้องชาย ข้าดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่อพบเจ้า เจ้าซ่อนตัวเช่นนี้ไม่ดีกระมัง? นี่ไม่ใช่วิธีรับรองแขกของเจ้า บัดนี้ผลลัพธ์ถูกตัดสินแล้ว ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ ขอเพียงเจ้าออกมา พวกเราก็คุยกันดี ๆ ได้ หากข้าใจดีอาจสามารถให้เจ้าเป็นท่านอ๋องผู้มีอิสระอีกครั้งได้”
“ได้ยินว่าหลังจากเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็รับนางสนมมาไม่น้อย” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “นางสนมเหล่านี้เป็นแบบที่เขาชอบ กลับไม่เหมือนหวางเฟยที่ถูกลืมผู้นั้น ไม่รู้ว่านางสนมเหล่านั้นจะทำให้ฮ่องเต้อาณาจักรเหลียงผู้นี้รู้สึกสงสารทะนุถนอมได้บ้างหรือไม่?”
ขณะที่เซี่ยเฉิงจิ่นกำลังเอ่ย ทหารก็ได้พานางสนมหลายคนเข้ามาแล้ว
เมื่อนางสนมเหล่านั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตา สีหน้าหน้าของเซี่ยเฉิงจิ่นก็ไม่น่าดูชมเป็นอย่างยิ่ง
ฟ่านหยวนซีส่งเสียง ‘จุ๊จุ๊’ ขึ้นมา เขาบีบคางของนางสนมผู้หนึ่ง เชยขึ้นเล็กน้อยแล้วเดาะลิ้นเบา ๆ “มองจากมุมนี้ จมูกค่อนข้างคล้ายกับจมูกของลูกสาวบุญธรรมข้า ถูกหรือไม่ ลูกเขยบุญธรรม?”
“ท่านพ่อตาบุญธรรม ได้โปรดอย่าทำเรื่องน่ารังเกียจต่อเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ได้หรือไม่? หากนางรู้เข้า เกรงว่านางจะตรงมาฆ่าฟ่านเหยี่ยนทันที” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยด้วยความรังเกียจ “สตรีเหล่านี้จะเทียบกับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ได้อย่างไร?”
“แน่นอนว่าสตรีเหล่านี้ไม่อาจเทียบเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ทว่าพวกนางล้วนเป็นตัวแทนของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าว่าฟ่านเหยี่ยนจะคิดถึงผู้ใดยามเขากอดพวกนาง?”
ไม่ว่าเซี่ยเฉิงจิ่นจะได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีเพียงใด ยามนี้เขาก็ยังอยากผรุสวาทออกมา
“รวบรวมคนทั้งวังเข้าด้วยกัน เราจะตรวจสอบพวกเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นขันทีหรือนางกำนัล ต้องได้รับการตรวจสอบทั้งหมด ขันทีนั้นตรวจสอบง่าย เพียงแค่ดูว่ามีสิ่งนั้นหรือไม่ก็จะรู้ว่าเขาเป็นผู้ใดกันแน่ ส่วนนางกำนัล ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด จะต้องยืนยันให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปลอมตัว”
ฟ่านเหยี่ยนคิดจะหลุดรอดจากเงื้อมมือเขาหรือ? ฝันไปเถอะ
เขาช่างทำให้คนหงุดหงิดเก่งจริง ๆ!
หากเขารักเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์จริง ๆ ย่อมไม่ใช้วิธีนี้เหยียดหยามนาง
“อย่าแตะต้องข้า… อย่า…” เหล่านางสนมพยายามสะบัดตัวให้หลุด
อันที่จริงทหารเหล่านี้เพียงแค่ทำการตรวจค้นตามปกติ ตรงนี้ไม่มีทหารหญิง ดังนั้น แน่นอนว่ามีเพียงพวกเขาแล้วที่ทำการตรวจค้นได้
ทหารเพียงทำการตรวจค้นว่าเป็นบุรุษหรือสตรี หากเป็นบุรุษ พวกเขาจะตรวจดูว่าเป็นขันทีหรือไม่
ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เหล่านางกำนัลและขันทีในวังก็ถูกตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว
ที่เหลือเป็นองครักษ์และอดีตคนสนิทของฟ่านเหยี่ยน
ฟ่านหยวนซีและเซี่ยเฉิงจิ่นมองคนมากกว่าร้อยคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ฟ่านเหยี่ยนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “พวกเรามาเดิมพันกันเป็นอย่างไร? ผู้ใดหาฟ่านเหยี่ยนได้ก่อนจะได้เมืองเพิ่มหนึ่งเมือง ผู้ใดที่จับฟ่านเหยี่ยนได้จะได้เมืองเพิ่มอีกห้าเมือง”
“พ่อตาบุญธรรม ท่านเป็นพ่อบุญธรรมของภรรยาข้า ขุดหลุมพรางลูกเขยบุญธรรมเช่นนี้ไม่ดีกระมัง? ระหว่างทาง งานเหนื่อยงานสกปรกล้วนเป็นข้าที่ทำ ข้าเชื่อฟังคำพูดท่านเป็นพิเศษเชียวนะ” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย
“เจ้าเด็กคนนี้ยังจะพูดอีก เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าให้เจ้ารีบมาช่วย เจ้าจงใจมาช้าใช่หรือไม่?”
“นั่นไม่อาจทำอะไรได้ พวกเราบังเอิญเจอดินถล่มจึงถูกขวางไว้” เซี่ยเฉิงจิ่นรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “การเดินทัพและการสู้รบไม่ใช่ของเล่นเด็ก ข้าจะจงใจถ่วงเวลาได้อย่างไร?”
“ได้ เจ้าเรียกข้าว่าพ่อตาบุญธรรม เช่นนั้นข้าจะไว้หน้าเจ้า หากเจ้าจับเขาได้ ข้าจะให้อีกห้าเมือง หากข้าจับเขาได้ แบ่งมาสองเมืองเช่นนี้คงได้แล้วกระมัง?”
[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด หมายถึง ต่อสู้จนตายตกไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย