สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 910 ความทะเยอทะยานถูกเปิดโปง
บทที่ 910 ความทะเยอทะยานถูกเปิดโปง
บทที่ 910 ความทะเยอทะยานถูกเปิดโปง
“อันกั๋วกง ท่านช่างมีจิตใจทะเยอทะยานเสียจริง!” ใต้เท้าหยางเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “พระศพของฝ่าบาทยังไม่ทันเย็น ท่านกลับต้องการอำนาจ คิดจะแย่งชิงบัลลังก์”
“ใต้เท้าหยาง ผู้ที่รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์นั้นเป็นวีรบุรุษ” อันกั๋วกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยามนี้ราชวงศ์มีเพียงองค์ชาย เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้หนึ่ง ท่านต้องการให้เด็กในห่อผ้าอ้อมขึ้นครองบัลลังก์จริง ๆ หรือ?”
“นั่นคือองค์ชายของเรา ไม่ว่าเขาจะมีชันษากี่มากน้อย อย่างไรก็ยังเป็นผู้ปกครอง”
“แทนที่จะยกบัลลังก์ให้กับเด็กทารก หรือปล่อยให้สตรีควบคุมราชสำนัก ข้ายินดีเป็นขุนนางทรยศเสียดีกว่า” อันกั๋วกงเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวผึ่งผาย “ผู้ใดไม่พอใจก็ลุกขึ้นมา!”
ปัง! ประตูเปิดออก
เซี่ยเฉิงจิ่นผู้ที่สวมชุดคลุมมังกรยืนอยู่ที่ประตู
ทุกคนหันไปมองเขาด้วยความตกใจ
“ใต้เท้าทุกท่านเห็นข้าแล้วประหลาดใจหรือไม่?” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ข้าผ่ายผอมลงไปบ้างจริง ๆ อีกทั้งสีผิวยังเข้มขึ้น พวกท่านจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“ฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี!” เหล่าขุนนางระงับความหวาดกลัวในใจแล้วคุกเข่าลงทันที
อันกั๋วกงจ้องมองเซี่ยเฉิงจิ่น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “เหตุใด…”
“อันกั๋วกงคิดกบฏ นำไปขังคุกทันที ทุกคนในจวนอันกั๋วกงต้องเข้าคุกรับการลงโทษ นอกจากนี้ ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าอิง… ยังมีเจ้า เจ้า เจ้า เจ้า!… นำพวกเขาทั้งหมดเข้าคุก ผู้ใดต่อต้าน ฆ่าไม่ละเว้น” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ส่วนผู้อื่น… ข้าล่าช้าระหว่างทางเพราะเกิดเรื่องบางอย่าง เพิ่งกลับเข้าวังมา ยามนี้ยังเหน็ดเหนื่อยอยู่เล็กน้อย รอข้าพักผ่อนเพียงพอแล้วจะเรียกพวกท่านเข้าวัง”
อันกั๋วกงและเริ่นหานคุนยังคงคิดจะดิ้นรนเพื่อหลบหนี ทว่าเซี่ยเฉิงจิ่นยกทัพมาแล้วและกำลังเฝ้ารออยู่ตรงนั้น เพียงรอให้คนเหล่านี้ตกหลุมพราง จากนั้นเขาก็จะปรากฏกายรวบคนเหล่านี้ในคราวเดียว
ขุนนางที่เมื่อครู่นี้สนับสนุนให้อันกั๋วกงขึ้นครองบัลลังก์เผยตัวออกมาทั้งหมดแล้ว
ขุนนางคนอื่น ๆ ที่เหลือเป็นอันต้องเหงื่อกาฬไหล
หากท่าทางของพวกเขาโอนเอนแม้เพียงชั่วขณะ เกรงว่ายามนี้ศีรษะบนคอและคนในสกุลอาจเหลือเพียงครึ่งเดียวแล้ว
ขุนนางคนอื่น ๆ ถอยออกไป เหลือเพียงเซี่ยชิงโจวที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เซี่ยชิงโจวเหลียวมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นผู้อื่นแล้วจึงวิ่งเข้าไปหาเซี่ยเฉิงจิ่น
“เป็นอย่างไร? การแสดงฉากนี้ไม่เลวกระมัง?” เซี่ยชิงโจวชกไปที่หน้าอกของเซี่ยเฉิงจิ่น
“ซี้ด…” เซี่ยเฉิงจิ่นสูดปาก “ถึงแม้ข้าจะยังไม่ตายแต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าอ่อนโยนกว่านี้ไม่ได้หรือ?”
“ไม่เป็นไรกระมัง? หน้าอกท่านได้รับบาดเจ็บแล้วหรือ?” เซี่ยชิงโจวเริ่มเป็นกังวล “ข้าไม่รู้ว่าท่านได้รับบาดเจ็บ มิเช่นนั้นคงไม่แตะต้องแล้ว”
“หากข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ จำต้องพักรักษาตัวสักสองสามวัน คงไม่ปล่อยให้พวกเขาถกเถียงกันนานเพียงนี้” เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าว “เพียงแต่ต้องขอบคุณเจ้าที่คอยเติมไฟอยู่ที่นี่ ทำให้พวกเขาก่อความวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อันกั๋วกงอดทนไม่ไหว แสดงไพ่ตายทั้งหมดออกมา กองทหารที่เขาเคลื่อนย้ายมาจากเผ่าคงเจินก็อยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว หากเขาคิดว่ายังมีทางถอย เกรงว่าคงต้องทำให้ผิดหวัง เพราะทางถอยของเขาถูกตัดขาดตั้งนานแล้ว”
“ทางฮองเฮา…”
“นางไม่เป็นไร” เซี่ยเฉิงจิ่นสะบัดมือ “จวนอันกั๋วกง ข้าให้เจ้าไปตรวจยึด ตาเฒ่าผู้นั้นเพิ่มความมั่งคั่งให้ตนมาเป็นเวลาหลายปี จะได้เติมท้องพระคลังพอดี นอกจากนี้ ข้าจะบอกเจ้าว่า อันที่จริงเขายังมีคลังสมบัติส่วนตัวอยู่อีกหลายแห่ง…”
หลังจากเซี่ยเฉิงจิ่นให้คำแนะนำเซี่ยชิงโจวเล็กน้อย เซี่ยชิงโจวก็นำข้อมูลสำคัญเหล่านั้นออกไปและนำคำสั่งลับไปตรวจยึดทรัพย์สิน
ทันทีที่เซี่ยชิงโจวออกมาจากวัง เขาก็เห็นใต้เท้าหลายคนรออยู่ที่นั่น เมื่อเห็นเขาออกมา ใต้เท้าเหล่านั้นก็เข้ามาทักทาย
“ใต้เท้าเซี่ย ใต้เท้าเซี่ย….”
“ฝ่าบาทกลับมาตั้งแต่เมื่อใดหรือ? ท่านแล้งน้ำใจเกินไปแล้ว ข่าวสำคัญเพียงนี้ก็ไม่บอกพี่น้องอย่างพวกเรา เสียทีที่ปกติพวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน”
“ใต้เท้าทุกท่าน นี่จะไม่เป็นธรรมเกินไปแล้ว เมื่อครู่นี้ที่ข้าเห็นฝ่าบาท ข้ายังตกใจยิ่งกว่าพวกท่านเสียอีก พวกท่านก็รู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับฝ่าบาท เราเป็นพี่น้องที่เติบใหญ่มาด้วยกันเชียวนะ! ผู้ใดจะรู้ว่าแม้กระทั่งข้า ฝ่าบาทยังปิดบัง เฮ้อ ใกล้ชิดฮ่องเต้เสมือนอยู่กับพยัคฆ์ร้าย อย่างที่คาดเดาไว้ ก่อนออกจากเมืองหลวงเขายังคงเชื่อใจข้าอยู่บ้าง บัดนี้รอนแรมอยู่ข้างนอกสองปี แม้กระทั่งข้ายังปิดบัง เห็นได้ว่าแม้แต่ข้าเขายังไม่ไว้ใจ! พูดต่อไปไม่ได้แล้ว เอ่ยแล้วข้าก็เสียใจยิ่งนัก”
“ท่านไม่รู้จริง ๆ หรือ?”
“หากข้าโกหกพวกท่านก็เป็นลูกสุนัข โฮ่ง ๆ…” เซี่ยชิงโจวเอ่ย “เพียงแต่ข้าคิดว่าฝ่าบาทจงใจกลับมาอย่างลับ ๆ ทั้งยังส่งข่าวเท็จให้เรา คงเพราะอยากเห็นว่าผู้ใดเป็นขุนนางกบฏ ผู้ใดคิดทรยศ พรรคพวกของอันกั๋วกงคราวนี้ตกอยู่ในมือเขา ต่อจากนี้ไปเกรงว่าจะเกิดการนองเลือดอีกแล้ว! ใต้เท้าทุกท่านไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้จะไม่ดึงพวกท่านไปพัวพันอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าพวกท่านก็เป็นคนของอันกั๋วกง…”
“ไม่ใช่! พวกเราเป็นขุนนางของฝ่าบาท รับพระบัญชาจากฝ่าบาทเท่านั้น”
ลู่จื่ออวิ๋นฟังเรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนักส่วนหน้า แล้วเคี้ยวองุ่นด้วยท่าทีผ่อนคลายสบายใจ
เซี่ยเฉิงจิ่นปอกเปลือกองุ่นใส่ริมฝีปากแดงก่ำของนาง ค้อมศีรษะลงดูดดึงมันเข้าไปในปากของเขา ต่อสู้แย่งชิงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าขององุ่นเต็มที่
“อื้อ…” ลู่จื่ออวิ๋นผลักเขาออก ดวงตาหยาดเยิ้มน่าหลงใหล นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเบา ๆ “ยามนี้พระนมคงอุ้มอี๋เอ๋อร์เข้ามาแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงเซี่ยเฉิงอี๋พระโอรสของเขา แววตาของเซี่ยเฉิงจิ่นก็เต็มไปด้วยความปวดใจ
“นับแต่ตั้งครรภ์จนคลอดบุตร ข้าไม่ได้อยู่กับเจ้าแม้เพียงวันเดียว ข้ารู้สึกติดค้างเจ้ามากมายเหลือเกิน”
“พวกท่านเหล่าบุรุษพลาดเรื่องราวมากมายเพราะหน้าที่ ตอนที่มารดาข้าอุ้มท้องชิงเอ๋อร์ บิดาข้าก็ไม่ได้อยู่ข้างกายเช่นกัน ภายหลังชิงเอ๋อร์คลอดมาแล้ว ชั่วระยะเวลาหนึ่ง บิดาข้าก็ไม่ได้อยู่ข้างกายคอยดูแลนาง ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่ท่านทำเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ข้าไม่ได้รู้สึกว่าท่านติดค้างอะไร”
“ข้าได้ยินพวกเขาบอกแล้ว ยามเจ้าตั้งครรภ์อี๋เอ๋อร์ เจ้าต้องคอยปลอบประโลมจิตใจผู้คน ยามคลอดก็เกือบคลอดยาก โชคดีที่ท่านแม่ยายมาอยู่กับเจ้า เรื่องต่าง ๆ ที่แม่ยายและชิงเอ๋อร์ทำเพื่ออาณาจักรเฟิ่งหลินเรา เรื่องนี้ทำให้ข้าละอายใจยิ่งนัก”
“พอแล้ว ท่านไม่ต้องกล่าวแล้ว ชิงเอ๋อร์ใฝ่ฝันอยากเป็นแม่ทัพหญิง หากนางอยู่อาณาจักรฮุ่ย จักรพรรดิฮุ่ยอาจไม่ยินดีให้นางทำตามความฝัน ทว่าที่นี่ไม่เหมือนกัน ข้าปล่อยให้นางได้ทำตามความต้องการ ขณะเดียวกันก็ใช้นางบดบังสายตาจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้น นี่จึงทำให้อันกั๋วกงค่อย ๆ ดำเนินการแผนของเขา แน่นอนว่าอันกั๋วกงเจ้าเล่ห์เกินไป ในตอนแรกไม่มีร่องรอยใด ๆ แม้แต่น้อย คิดจะจับเขาไม่ง่ายดายเลย จนกระทั่งท่านเขียนจดหมายมาหาข้า ให้เตรียมการเรื่องแสร้งตายนี้เพื่อให้เขาได้เผยความทะเยอทะยานของตนเองออกมาในท้ายที่สุด ถึงได้มีเหตุผลที่ชัดเจนและชอบธรรมในการจัดการกับเขา”
“ฝ่าบาท ฮองเฮา องค์ชายใหญ่ร้องจะมาหาพวกท่านเพคะ” พระนมเดินเข้ามาพร้อมกับเซี่ยเฉิงอี๋ที่อยู่ในอ้อมแขน
“อุ้มมานี่เถิด!”
เซี่ยเฉิงจิ่นรับเซี่ยเฉิงอี๋ไป
เซี่ยเฉิงอี๋เพิ่งได้พบกับเซี่ยเฉิงจิ่นเช่นกัน ทว่าเมื่อเซี่ยเฉิงจิ่นอุ้มเขาเป็นครั้งแรก เขากลับไม่ร้องไห้โยเย เพียงจ้องมองด้วยความสงสัย แต่แล้วเด็กน้อยก็ทำในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดกล้าทำ นั่นก็คือ… ฉี่ใส่แขนฮ่องเต้
ใบหน้าของเซี่ยเฉิงจิ่นเขียวคล้ำขึ้นมา
สุดท้าย เมื่อเห็นลูกชายเบะปากทำท่าจะร้องไห้ เขาก็จำต้องสวมใบหน้ายิ้มแย้มพลางเอ่ยกล่อม “อี๋เอ๋อร์เด็กดี พ่อจะไม่โหดร้ายกับเจ้า ไม่ต้องร้องแล้ว”