สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 911 สอบคัดเลือกขุนนางเป็นกรณีพิเศษ
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 911 สอบคัดเลือกขุนนางเป็นกรณีพิเศษ
บทที่ 911 สอบคัดเลือกขุนนางเป็นกรณีพิเศษ
บทที่ 911 สอบคัดเลือกขุนนางเป็นกรณีพิเศษ
ปัญหาภายนอกได้รับการแก้ไขแล้ว ปัญหาภายในก็แก้ไขได้แล้วเช่นกัน ขั้นถัดไปย่อมเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอาณาจักร
ขุนนางในราชสำนักหายไปเกินกว่าครึ่ง ขุนนางที่เหลือก็มีเพียงไม่กี่คนที่รับผิดชอบหน้าที่สำคัญได้
เซี่ยเฉิงจิ่นจึงเปิดสอบขุนนางเป็นกรณีพิเศษ จัดสอบขุนนางเร็วขึ้นกว่าเดิม
เนื่องจากทั้งขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารล้วนขาดแคลนจึงจัดให้มีการสอบขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารขึ้นในคราวเดียวกัน
ข้อสอบคัดเลือกขุนนางในคราวนี้ต่างจากปีก่อน ๆ ไม่ได้มีขั้นตอนมากมายถึงเพียงนั้น ขอเพียงบัณฑิตสนใจเข้าร่วมก็สามารถมาสอบที่เมืองหลวงได้โดยตรง เนื้อหาของข้อสอบก็ไม่ได้เป็นคำพูดเก่า ๆ ที่ไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริง หากแต่อ้างอิงจากเหตุการณ์ปัจจุบัน
สำหรับแม่ทัพนั้น ต้องมีฝีมือล้ำเลิศมาเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเป็นสติปัญญา หากแม่ทัพมีเพียงความกล้าหาญทว่าไร้สติปัญญาก็เป็นได้เพียงนักรบที่บุกโจมตีเท่านั้น ไม่มีทางเป็นแม่ทัพที่ยอดเยี่ยมได้
หลังจากเซี่ยเฉิงจิ่นกลับมา ลู่จื่ออวิ๋นก็เริ่มออกเดินทางเที่ยวชมในที่ต่าง ๆ กับมู่ซืออวี่ ตรวจดูความเป็นอยู่ของอาณาจักรเฟิ่งหลิน
เมื่อเซี่ยเฉิงจิ่นเริ่มเปิดสอบขุนนาง มู่ซืออวี่ก็เตรียมตัวออกเดินทางกลับอาณาจักรฮุ่ย
แน่นอนว่าลู่จื่ออวิ๋นไม่อาจตัดใจแยกจากมารดา ทว่าก็เข้าใจเช่นกันว่ามู่ซืออวี่รั้งอยู่ที่อาณาจักรเฟิ่งหลินเพื่อช่วยนางเป็นระยะเวลานานมากแล้ว หากยังไม่กลับไป บิดาของนางอาจจะกลายเป็นสามีผู้คับอกคับใจไปเสียก่อน
การสอบบุ๋นบู๊กินเวลาครึ่งเดือน หลังจากนั้นก็มีขุนนางจำนวนมากเข้ามาดำรงตำแหน่ง
เซี่ยเฉิงจิ่นให้ความสำคัญกับขุนนางเหล่านี้เป็นอย่างมาก มอบหมายให้พวกเขารับตำแหน่งต่าง ๆ ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารบางคนยังถูกโยกย้ายไปประจำตำแหน่ง ณ เมืองที่ได้รับการแบ่งสรรมาใหม่ อย่างไรเสีย อาณาจักรเหลียงก็ถูกครอบครองแล้ว ความวุ่นวายที่อาณาจักรเหลียงทิ้งไว้ต้องได้รับการเก็บกวาด มิเช่นนั้นราษฎรย่อมไม่อาจหาเลี้ยงชีพได้ และสิ่งที่เขาทำก็คงไม่ต่างอะไรจากฟ่านเหยี่ยน
ก่อนที่มู่ซืออวี่จะเดินทางกลับไปยังอาณาจักรฮุ่ย เซี่ยเฉิงจิ่นได้จัดงานเลี้ยงระหว่างครอบครัวขึ้น ทั้งสองครอบครัวจึงได้รวมตัวสังสรรค์กันอย่างชื่นบาน
เมื่อเอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เซี่ยเฉิงจิ่นเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เขาเอ่ยขอบคุณมู่ซืออวี่และลู่จื่อชิงด้วยท่าทีจริงจัง
“พี่เขย ถึงแม้ข้าจะไม่แข็งแกร่งเท่าพี่หญิงรอง แต่ข้าก็ดูแลอี๋เอ๋อร์เช่นกัน ท่านไม่ขอบคุณข้าหรือ?” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ยถาม
ซ่างกวนหมิงเสียหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าต้องขอบใจเจ้า อี๋เอ๋อร์ชอบท่านน้าเล็กที่สุดแล้ว แม้กระทั่งยามกินข้าวยังต้องจับมือท่านน้าเล็กเอาไว้ หากเจ้าจากไป อี๋เอ๋อร์ต้องเป็นคนแรกที่ไม่ชินเป็นแน่”
เซี่ยเฉิงอี๋สอดส่ายสายตามองทุกคน ดวงตาของเขาหยุดลงที่ลู่ฉาวจิ่ง จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปจูบแก้ม
เกิดเสียงจุ๊บขึ้นมา อีกทั้งน้ำลายยังไหลย้อยออกมาด้วย
ลู่ฉาวจิ่งเช็ดแก้มของเขาด้วยความรังเกียจ “ข้าคิดว่าเจ้าเห็นข้าเป็นของอร่อยเสียมากกว่า”
เซี่ยเฉิงจิ่นแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ฉาวจิ่งโตเพียงนี้แล้วหรือ”
ครึ่งเดือนถัดมา มู่ซืออวี่กับลูกทั้งสองคนของนางพร้อมด้วยซ่งหานจือและคนอื่น ๆ ก็เดินทางออกจากอาณาจักรเฟิ่งหลิน
ลู่จื่ออวิ๋นมองแผ่นหลังของมู่ซืออวี่ที่ค่อย ๆ เดินจากไป ดวงตาของนางพลันแดงเรื่อขึ้นมา
“ข้ากำลังไตร่ตรองเรื่องย้ายเมืองหลวง” เซี่ยเฉิงจิ่นโอบกระชับบ่าของลู่จื่ออวิ๋นเข้ามา “หากเราย้ายเมืองหลวง อาจอยู่ใกล้กับอาณาจักรฮุ่ยมากขึ้น เช่นนี้เจ้าจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านได้สะดวก”
“ขุนนางบุ๋นบู๊จะกล่าวว่าท่านโง่เขลาเบาปัญญา ถูกสตรีชักจูง ถึงตอนนั้นจะกล่าวหาว่าข้าเป็นกาลกิณีอีกน่ะสิ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ขอเพียงแค่มีใจ ไม่ว่าจะต้องกลับไปไกลเพียงใดก็กลับไปได้ รอผ่านช่วงเวลาลำบากนี้ไปเสียก่อน แล้วข้าจะพาอี๋เอ๋อร์ไปเยี่ยมท่านพ่อกับพี่ใหญ่ ยามนี้ยังไม่รีบร้อน”
หลายเดือนต่อมา มู่ซืออวี่ก็มาถึงเมืองซานหลินด้วยเรือของสกุลลู่
เมื่อพวกเขามาถึงเมืองซานหลิน มู่ซืออวี่ก็สั่งให้เฟิงเจิงลำเลียงสินค้าลงจากเรือ จากนั้นก็นำไปขายให้กับร้านค้าต่าง ๆ
สิ่งที่นางนำกลับมาในครานี้ล้วนเป็นของในท้องที่ของอาณาจักรเฟิ่งหลิน หาไม่ได้ในอาณาจักรอื่น ๆ
เฟิงเจิงยิ้มพลางกล่าวว่า “อาจารย์ ท่านออกไปเยี่ยมญาติคราวนี้ยังไม่ลืมทำการค้านะขอรับ!”
“มีเงินแล้วไม่ทำให้เกิดกำไร นั่นเป็นวิถีของข้าหรือ? ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด พวกเราต้องมองหาโอกาสทำการค้าอยู่เสมอ ข้าออกไปเยี่ยมญาติ ขณะเดียวกันก็ได้ทำการค้าระหว่างทาง นี่ไม่ใช่ขว้างหินก้อนเดียวได้นกสองตัวรึ?”
มู่ซืออวี่รั้งอยู่เมืองซานหลินเป็นเวลาครึ่งเดือน แต่ละวันใช้กำลังคนและทรัพยากรเป็นจำนวนมากจัดการกับปัญหาที่คั่งค้างอยู่ ก่อนที่นางจะได้รุดไปยังเมืองหลวง ลู่อี้ก็พาคนของเขามาตามหานางที่เมืองซานหลินก่อนแล้ว
“ท่านพ่อ…” ลู่จื่อชิงวิ่งปรี่เข้าไปหาลู่อี้
ลู่อี้ตั้งท่ารับร่างของนางที่พุ่งเข้ามาทันที “โตเพียงนี้แล้ว ยังไม่ระมัดระวังเช่นเคย”
“ท่านพ่อ พวกเราไม่ได้พบกันหนึ่งปีกว่าแล้วนะเจ้าคะ ท่านไม่คิดถึงข้าหรือ?”
หากจะนับกันตามจริงแล้วมากกว่าสองปีเสียอีก
การเดินทางทั้งไปและกลับใช้เวลาเจ็ดถึงแปดเดือน อีกทั้งยังรั้งอยู่กับลู่จื่ออวิ๋นในอาณาจักรเฟิ่งหลินนานกว่าหนึ่งปี ดังนั้นลู่จื่อชิงจึงไม่ได้พบกับลู่อี้สองปีแล้ว
ลู่อี้เหลียวมองไปรอบ ๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่กำลังหารือเรื่องการค้ากับพ่อค้าจากที่อื่น ยามนี้นางไม่อยู่ที่นี่ขอรับ” ลู่ฉาวจิ่งที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นมา
“ไหนเข้ามาให้พ่อดูซิ”
เมื่อลู่อี้ได้พบเด็กน้อยทั้งสอง ถึงได้รู้สึกว่าในที่สุดพวกเขาก็กลับมาแล้วจริง ๆ
ลู่จื่อชิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่ไม่ได้พบกันให้ลู่อี้ฟัง เมื่อเห็นได้ว่านางเล่าด้วยสีหน้าเบิกบานใจ ยิ่งเล่ายิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทราบได้ทันทีว่านางมีความสุขมากเพียงใด
ลู่อี้ทราบเรื่องที่พวกเขาประสบพบเจอในอาณาจักรเฟิ่งหลินจากรายงานแล้ว ทว่าก็ยังสนใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำบอกเล่าโดยละเอียดจากลู่จื่อชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสถานการณ์อันตรายเหล่านั้นที่หลุดออกมาจากปากนาง ดูเหมือนว่าการหลบหนีมาได้อย่างหวุดหวิดจะเป็นเพียงเรื่องโกหก ความมีไหวพริบและความกล้าหาญในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องจนทำให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงครั้งแล้วครั้งเล่าต่างหากที่เป็นเรื่องจริง
“คารวะผู้สำเร็จราชการแทน” ซ่งหานจือประกบมือคำนับลู่อี้
“เจ้าเด็กคนนี้สูงใหญ่ขึ้นแล้ว” ลู่อี้มองซ่งหานจือด้วยความชื่นชม
จากนั้นสายตาของเขาจึงไปหยุดอยู่ที่ฉินโม่ถงที่อยู่ข้าง ๆ
ฉินโม่ถงประกบมือคำนับตาม
“นี่คือโม่ถง สหายที่เราพบเจอระหว่างทางเจ้าค่ะ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ท่านพ่อ หมู่นี้เมืองหลวงมีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นหรือไม่? ข้ากลับไปแล้วไม่ต้องเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวงอีกครั้งแล้วกระมัง? เฮ้อ ข้าไม่อยากเล่าเรียนแล้ว”
“พวกเจ้าไม่อยู่ เมืองหลวงไม่ได้วุ่นวายนัก สามัคคีกลมเกลียวกันอย่างหาได้ยากเชียวละ” ลู่อี้เอ่ย “หากเจ้ากลับไปยังเมืองหลวงอีกครั้ง เกรงว่าจะเกิดคลื่นอีกระลอกแล้ว”
หลังจากหารือเรื่องการค้าเสร็จ มู่ซืออวี่ก็กลับมายังเรือนย่อย นางเอ่ยถามพ่อบ้าน “คุณหนูรองกับนายน้อยรองเล่า?”
“คุณหนูรองกับนายน้อยรองกำลังเล่นอยู่ที่สวนหลังเรือนขอรับ”
มู่ซืออวี่พยักหน้าน้อย ๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังสวนด้านหลัง
ยังไม่ทันได้เข้าไปในสวนก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างในจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว มิสู้พาพวกเจ้าไปกินของอร่อย ๆ ดีหรือไม่? เมืองซานหลินมีภัตตาคารเปิดใหม่แห่งหนึ่ง เราไปลองชิมกันเถอะ”
“ไม่รู้ว่ามีที่ว่างสำหรับข้าหรือไม่?” ลู่อี้เดินออกมาจากในห้อง
มู่ซืออวี่มองเขาด้วยความประหลาดใจ “ท่านมาได้อย่างไร?”
ลู่อี้กางแขนออกกว้าง ทำท่าทางขอกอด
หากยังเป็นหนุ่มสาว บางทีมู่ซืออวี่อาจกระโจนเข้าใส่เขาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยามนี้นางอายุมากขึ้น เมื่อเห็นดังนี้แก้มของนางจึงเปล่งสีแดงเรื่อขึ้นมา นางเอ่ยอย่างเคือง ๆ “อายุมากแล้ว จะทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าเด็ก ๆ ได้อย่างไรกัน?”
“ท่านแม่ พวกเราไม่เห็นเจ้าค่ะ” ลู่จื่อชิงเอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง “ท่านเข้าไปกอดท่านพ่อเถอะ! เขาไม่ได้พบท่านมามากกว่าสองปีแล้ว เขาเร่งเดินทางมาจากเมืองหลวงมาที่นี่ก็เพื่อจะได้เจอท่านเร็วขึ้นอีกหน่อย”
ลู่ฉาวจิ่งลากลู่จื่อชิงออกไปแล้ว
ลู่จื่อชิงลากซ่งหานจือตามไปอีกที
หลังจากเด็กสามคนนั้นออกไปแล้ว ฉินโม่ถงก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตามสามคนนั้นไปอย่างว่องไว “รอข้าด้วย”