สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 925 คนคุ้นเคยจะจำไม่ได้เชียวหรือ?
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 925 คนคุ้นเคยจะจำไม่ได้เชียวหรือ?
บทที่ 925 คนคุ้นเคยจะจำไม่ได้เชียวหรือ?
บทที่ 925 คนคุ้นเคยจะจำไม่ได้เชียวหรือ?
“พวกเราไปกันเถอะ” คุณชายอี้หรานคว้าแขนของลู่จื่อชิงแล้วพานางออกมาจากที่นั่น
อย่างไรก็ตาม สตรีชาวเหมียวได้ล้อมพวกเขาไว้แล้ว
คุณชายอี้หรานเหวี่ยงกระบี่ของเขาออกไป
ลู่จื่อชิงลงมือในทันที นางร่วมมือกับคุณชายอี้หรานจัดการกับสตรีชาวเหมียวเหล่านั้น
เมื่อกระบี่ถูกชักออกมา ขลุ่ยไม้ไผ่ที่สตรีชาวเหมียวบรรเลงก็เปลี่ยนทำนอง เสียงกึกกักดังขึ้นมาจากพื้นดิน งูพิษมากมายพุ่งเข้ามาหาลู่จื่อชิงและคุณชายอี้หราน
ลู่จื่อชิงนึกถึงวิชากระบี่ที่ฉีเซียวเคยสอนขึ้นมาได้ วิชากระบี่นั้นเหมาะที่จะรับมือกับการต่อสู้กับคู่ต่อสู้กลุ่มใหญ่เช่นนี้
คุณชายอี้หรานใช้วิชากระบี่ที่คล้ายคลึงกัน สอดประสานกับลู่จื่อชิงได้อย่างลงตัว วิชากระบี่ของทั้งสองผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ งูพิษถูกปราณกระบี่ซัดจนบาดเจ็บ ค่อย ๆ กลายเป็นเศษซากทีละตัว
“ไป” คุณชายอี้หรานดึงลู่จื่อชิงเข้าโจมตีสตรีชาวเหมียวที่เป็นหัวหน้า
สตรีผู้นั้นถูกกระบี่แทง ปล่อยให้พวกเขาใช้โอกาสนี้หลบหนีไปได้
ลู่จื่อชิงหันกลับไปฟันกระบี่ของนางอีกครั้ง
สตรีชาวเหมียวอีกคนได้รับบาดเจ็บจากปราณกระบี่ดังกล่าว
เมื่อออกมาไกลจากตรงนั้นแล้ว ในที่สุดเสียงขลุ่ยที่ขวางไว้ก็หายไป ลู่จื่อชิงชะลอฝีเท้าลง นางดึงแขนของคุณชายอี้หรานแล้วกล่าวว่า “พวกนางตามไม่ทันแล้ว หาที่หยุดพักเถอะ ข้าจะทำแผลให้ท่าน”
“แผลเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไม่นับเป็นอะไร”
“ไม่ได้ ต้องทำแผล”
จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่เห็นคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าจะมีคนไม่มากที่ฝ่าวงล้อมของสตรีชาวเหมียวเหล่านั้นมาได้
ลู่จื่อชิงหยิบยาผงออกมาจากแขนเพื่อทำแผลให้คุณชายอี้หราน จากนั้นก็ฉีกกระโปรงของตนออกแล้วพันแผลให้เขา
“เอาละ พวกเราพูดคุยกันได้แล้ว”
“พูดคุยอะไร?” คุณชายอี้หรานงุนงง
“ท่านถอดหน้ากากออกได้หรือไม่?” ลู่จื่อชิงจ้องมองเขา
“ข้า…”
“มีคนเคยเห็นหน้าตาท่านหรือไม่?”
“แน่นอนว่ามี”
“เช่นนั้นข้าขอดูหน้าท่านหน่อยไม่ได้หรือ?”
อย่างไรก็ตาม คุณชายอี้หรานยังคงนิ่งเงียบ
ลู่จื่อชิงไม่ได้บังคับ เพียงกล่าวต่อไปว่า “หากท่านไม่ยินดี ข้าก็ไม่บังคับ เช่นนั้น ได้โปรดอธิบายด้วยว่า เมื่อครู่นี้เหตุใดท่านถึงได้ใช้วิชากระบี่เดียวกันกับข้า?”
“ข้าความจำไม่เลว ใช้วิธีการจำเป็นรูปภาพ” คุณชายอี้หรานเอ่ย “ตอนนั้นข้าเห็นวิชากระบี่ของท่านใช้ได้ผลกับงูจึงรีบปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวิชากระบี่ของท่าน ข้าเข้าใจว่าไม่ควรเลียนแบบวิชากระบี่ของผู้อื่นอย่างหุนหันพลันแล่น ภายหน้าข้าจะใส่ใจให้มากกว่านี้ จะไม่ทำอีก”
“เป็นอย่างนั้นจริงหรือ?” ลู่จื่อชิงจ้องเขา “ท่านไม่ใช่คนรู้จักข้าจริง ๆ หรือ?”
คุณชายอี้หรานเผยอปากแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่”
“ดี หากท่านบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ในเมื่อยามนี้เราพ้นอันตรายแล้ว ไม่จำเป็นต้องร่วมทางกันต่อ อย่างไรเสียพวกเราก็เพิ่งพบกัน ข้าไม่ควรรบกวนท่าน”
“พวกเราไม่ใช่สหายหรือ?”
“ในเมื่อไม่รู้จักกัน เช่นนั้นก็ไม่ใช่สหาย ทั้งยังไม่จำเป็นต้องเป็นสหายแล้ว” ลู่จื่อชิงประกบมือ “ข้าขอตัว หากมีโชคชะตาค่อยพบกันใหม่”
คุณชายอี้หรานคิดจะรั้งนางไว้ ทว่าลู่จื่อชิงจากไปทันที โดยไม่ทันให้เขาได้เอ่ยปาก
คุณชายอี้หรานมองเงาร่างของลู่จื่อชิงแล้วถอนหายใจ “นางคงจำได้แล้ว อีกทั้งยัง…”
โกรธแล้วด้วย
“คุณชาย” ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขารุดมา “คุณชาย ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง? สตรีชาวเหมียวพวกนั้นร้ายกาจยิ่งนัก พวกเราเกือบตกอยู่ในกำมือพวกนางแล้ว ทว่ายังดี พวกนางมีคนได้รับบาดเจ็บ ค่ายกลก่อนหน้าจึงได้ผลเพียงครึ่งหนึ่ง พวกเราจึงหลบการโจมตีนี้มาได้”
“ข้าก็โชคดีที่รอดมาได้เช่นกัน” คุณชายอี้หรานเอ่ย “พวกเราไปกันเถอะ หากพบแม่นางลู่ระหว่างทาง พวกเจ้าจะต้องรับรองความปลอดภัยของนาง”
“คุณชาย ท่านก็ยอมรับเสียเถอะว่ารู้จักแม่นางลู่ ตอนนี้ท่านต้องคอยปกป้องนางลับ ๆ แต่ท่านยังมีเรื่องอื่นที่ต้องเสี่ยงอันตราย นั่นจะไม่ทำให้วอกแวกหรือ? หากท่านเป็นคนรู้จักแม่นางลู่ นางย่อมช่วยเหลือท่านอย่างแน่นอน”
“ไม่ได้” คุณชายอี้หรานเอ่ย “เรื่องของข้าไม่อาจบอกนาง มิเช่นนั้นนางจะเป็นกังวล เอาละ ไปต่อเถอะ”
ลู่จื่อชิงโมโหมาก
การเคลื่อนไหวของกระบี่คุ้นเคยและสายตาที่คุ้นเคยเช่นนั้น นางไม่ได้ตาบอดหรือโง่เขลา แล้วจะจำไม่ได้ได้อย่างไรกัน?
แม้กระทั่งจี้ซ่งเฉิงนางยังจำได้ คนที่คุ้นเคยยิ่งกว่าจะจำไม่ได้เชียวหรือ?
“เขาเปลี่ยนไปแล้ว!” ลู่จื่อชิงแค่นเสียงในลำคออย่างเย็นชา “มิน่าเล่า เหตุใดจึงไม่ติดต่อข้ามาหลายปี ที่แท้เขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับข้านั่นเอง”
ลู่จื่อชิงกำลังคับข้องใจจึงจงใจเมินเฉยต่อความจริงที่ว่ามีคนเต็มใจทำร้ายตนเองเพื่อช่วยนาง นางรู้เพียงแค่นางไม่มีความสุข ในเมื่อไม่มีความสุขแล้ว เช่นนั้นก็หันเหความสนใจไปทำเรื่องอื่น
“เหตุใดเจ้าวิ่งเร็วเช่นนี้?” จี้ซ่งเฉิงวิ่งตามมา “เจ้าพบสตรีชาวเหมียวเหล่านั้นหรือไม่? สตรีเหล่านั้นบ้าไปแล้วจริง ๆ ไม่ว่าผู้ใดล้วนฆ่าทั้งสิ้น”
“เหตุใดมีเพียงเจ้าคนเดียว? ฉินโม่ถงเล่า?” ลู่จื่อชิงถาม
“เขาไปตามหาเจ้าแล้ว”
“สตรีชาวเหมียวเหล่านั้นยังขวางผู้อื่นอยู่หรือไม่?”
“ยามนี้คงถอนตัวไปแล้ว อย่างไรเสียก็มีคนได้รับบาดเจ็บ ค่ายกลที่พวกนางตั้งไว้ก่อนหน้าจึงล้มเหลว แม้จะขวางอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้ผลอะไร กลับกันพวกนางจะกลายเป็นศัตรูของทุกคน เพียงแต่ สตรีเหล่านั้นช่างมีพิษสงจริง ๆ ข้าเกือบจะตกอยู่ในห้วงปีศาจจนออกมาไม่ได้แล้ว”
“เจ้าก็มีปีศาจในใจด้วยหรือ?”
“สาวน้อย ขอเพียงเป็นมนุษย์ย่อมมีปีศาจในใจ คนเราจะไม่มีปีศาจในใจได้อย่างไร?”
ลู่จื่อชิง “…”
ดูเหมือนนางจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย
“เจ้าไม่มีปีศาจในใจหรือ?” จี้ซ่งเฉิงมองนางอย่างสงสัย “เจ้าคงไม่ได้ไร้ใจกระมัง?”
“นับตั้งแต่เล็ก ข้าไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินหรือของใช้ ขอเพียงข้าต้องการสิ่งใดก็แทบได้มาทุกอย่าง ข้าควรมีปีศาจในใจหรือ?”
จี้ซ่งเฉิงยกนิ้วโป้งให้นาง
บิดามารดาของนางไม่ธรรมดา พี่ชายของนางไม่ธรรมดา พี่หญิงและพี่เขยของนางก็ไม่เรียบง่าย ยังมีใต้เท้าฉีเซียวและฝ่าบาท พ่อบุญธรรมของนางที่เห็นนางเป็นเสมือนบุตรสาวด้วย ขอเพียงแค่เอ่ยปาก จะให้นางเป็นฮองเฮาก็ยังได้ แน่นอนว่าลู่จื่อชิงย่อมไม่มีปีศาจในใจอะไร
“พวกเราไปต่อเถอะ!” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ไม่รอโม่ถงแล้ว”
“หาได้ยากยิ่ง นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่รอผู้ติดตามตัวน้อยผู้นั้น” จี้ซ่งเฉิงเอ่ย “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
ลู่จื่อชิงสงสัยยิ่งนัก ‘คุณชายอี้หราน’ เร่งฝีเท้าสุดกำลัง เขาก็ต้องการเป็นประมุขพันธมิตรยุทธภพด้วยหรือ?
อันที่จริงคนผู้นั้นขาดการติดต่อไปนานแล้ว
ครั้งหนึ่งนางเคยเดินทางผ่านที่ที่เขาควรอยู่ แต่กลับได้ยินว่าเขาถูกปรมาจารย์ผู้หนึ่งพาตัวไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย
“มีเรื่องกังวลใจหรือ?” จี้ซ่งเฉิงมองนาง “เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มี ข้าเพียงแค่อยากรีบไปถึงด่านสุดท้ายโดยเร็วที่สุด”
ยิ่งพวกเขาเดินหน้าต่อไป ยิ่งอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เพียงแต่ต้องคอยระวังคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังต้องระวังกับดักและกลไกที่เขาหนึ่งกระบี่วางไว้ต้อนรับแขก
ลู่จื่อชิงอาศัยความเข้าใจอันเฉียบแหลมเกี่ยวกับกลไกของนางหลบเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุด อุปสรรคสุดท้ายก็อยู่ข้างหน้า
“เพียงแค่เข้าไปในหอคอยนั้น ปีนขึ้นไปถึงชั้นบนสุดก็เป็นด่านสุดท้ายแล้ว”
“จะมีการประมือครั้งสุดท้ายระหว่างผู้ที่เหลือรอดใช่หรือไม่?” จี้ซ่งเฉิงเอ่ย “ข้าไม่ชอบยอมจำนนต่อผู้อื่น ดังนั้นอันดับหนึ่งต้องคว้ามาให้ได้ แน่นอนว่าข้าไม่ได้สนใจตำแหน่งประมุขพันธมิตรยุทธภพ ถึงตอนนั้นข้าจะมอบให้เจ้า”
“หากข้าต้องการ ข้าต้องให้เจ้ามอบให้หรือ? ข้าจะคว้ามาเอง!”
ยามนี้ ผู้เหลือรอดคนแล้วคนเล่ารุดมาถึงด้านล่างหอคอย