สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 926 ด่านสุดท้าย
บทที่ 926 ด่านสุดท้าย
บทที่ 926 ด่านสุดท้าย
ลู่จื่อชิงหันกลับไปจึงเห็นว่าสตรีชาวเหมียวเหลือเพียงผู้เดียว คนแคระหายไป คิดว่าคงถูกกำจัดออกไปแล้ว ทว่าชายหนุ่มอาภรณ์ขาวขี้โรคนั่น นึกไม่ถึงว่าจะรอดมาได้
นอกจากนี้ ยังมีคนสองสามคนจากสำนักชิงซานและสำนักจ้งซานที่เหลืออยู่ สตรีผู้หนึ่งจากหอคอยย่ำหิมะ และเติ้งจิ่วอวี๋จากตำหนักเซิ่งหวาที่มาถึงด่านสุดท้าย
เมื่อนับรวมคุณชายอี้หรานที่ล่วงหน้ามาก่อน พวกเขายังเหลือถึงสิบห้าคน
ทุกคนรุดเข้าไปในหอคอยพร้อมกัน
พลั่ก! เกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง
ในยามนี้ พวกเขาแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ต่อสู้ภายนอก แล้วจึงต่อสู้ภายใน
“ชิงเอ๋อร์” ฉินโม่ถงมาถึงแล้ว
“มีมาเพิ่มอีกคน” เว่ยชิงอิง สตรีชาวเหมียวที่ยังเหลืออยู่กล่าว
ลู่จื่อชิงเห็นฉินโม่ถงจึงโบกมือให้เขา
ผู้อื่นเริ่มลงมือโจมตีฉินโม่ถง ไม่ให้เขาขึ้นไป
ลู่จื่อชิงฟันกระบี่ของนางฝ่าออกไปหาเขา ร่วมมือกับฉินโม่ถง ในขณะที่คนอื่น ๆ เริ่มต่อสู้กันอุตลุดอีกครั้ง
จี้ซ่งเฉิงเหลือบมองทุกคนแล้วกล่าวกับลู่จื่อชิง “เสี่ยวชิงเอ๋อร์ สหายผู้นี้จะไปรอเจ้าอยู่ข้างบน เจ้าวางใจ ข้าไม่สนใจตำแหน่งประมุขพันธมิตรยุทธภพ ถึงตอนนั้นหากข้าชนะแล้ว ข้าจะมอบให้เจ้าเล่น”
ลู่จื่อชิง “…”
คนอื่น ๆ “…”
คนผู้นี้เย่อหยิ่งจองหองเกินไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงมีหลายคนเข้าโจมตีจี้ซ่งเฉิงพร้อม ๆ กัน
จี้ซ่งเฉิงแสดงความสามารถ ‘ไม่รนหาที่ตายก็ไม่ตาย’ ออกมา
หากเขาถ่อมตัว ย่อมไม่สร้างความไม่พอใจให้คนหมู่มาก บัดนี้ทุกคนเห็นเขาเป็นเป้าหมายแล้ว ลู่จื่อชิงและฉินโม่ถงจึงปลอดภัย รุดไปที่หอคอยทันที
หอคอยนั้นสูงเป็นอย่างยิ่งจึงมีคนไม่น้อยใช้อุบายขัดขวางพวกเขา
“มีบางอย่างผิดปกติ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “คนเหล่านี้จับตามองเราโดยที่เราไม่ทันสังเกตเห็น ทว่าเราไม่รู้สึกถึงตัวตนพวกเขาแม้แต่น้อย กล่าวกันตามเหตุผลแล้ว หอคอยมีพื้นที่ไม่มากนัก หากมีคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เราไม่ควรไม่รู้สึกตัว เว้นเสียแต่ว่า…”
“เว้นเสียแต่ว่าที่นี่จะมีกลไกซ่อนพวกเขาไว้ พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืด รอให้พวกเราเข้าใกล้ก่อนจะโจมและฆ่าทิ้งโดยไม่ทันตั้งตัว” ฉินโม่ถงกล่าวเสริมสิ่งที่นางยังกล่าวไม่จบ
จากนั้น ลู่จื่อชิงจึงคอยสังเกตหากลไกเป็นอย่างแรกทุกครั้งก่อนขึ้นไปยังหอคอยชั้นถัดไป
เป็นดังคาด เมื่อนางสังเกตเห็นกลไกลเหล่านั้นแล้ว คนที่ซ่อนตัวอยู่จึงออกมาจากกลไกเพื่อโจมตี เนื่องด้วยลู่จื่อชิงระมัดระวังอยู่ก่อนแล้ว คนเหล่านั้นจึงไม่มีข้อได้เปรียบอะไรทั้งสิ้น
พวกเขาพบว่าลู่จื่อชิงและฉินโม่ถงรับมือได้ยากจึงหยุดโจมตี ทั้งคู่จึงขึ้นไปด้านบนได้อย่างราบรื่น
คุณชายอี้หรานและลูกน้องสองคนรออยู่ที่นั่นแล้ว
“พวกเราไม่สู้กันไม่ได้หรือ?” คุณชายอี้หรานตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เหตุใดจะไม่สู้เล่า?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้าอยากรู้ว่า ระหว่างท่านกับข้าผู้ใดอ่อนแอกว่ากัน”
“เช่นนั้น ไม่ใช่ว่าท่านรังแกคุณชายของพวกเราหรือ?” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“อย่าได้พูดจาเหลวไหล” คุณชายอี้หรานปรามลูกน้องผู้นั้น
ลูกน้องผู้นั้นพึมพำ “เดิมทีก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ! หากนางสู้กับท่าน ท่านจะต้องยอมแพ้อย่างแน่นอน!”
เสียงฝีเท้าของคนอื่น ๆ ใกล้เข้ามาแล้ว
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เพียงพวกเขาที่ทะลวงมาได้
หลังจากจี้ซ่งเฉิงขึ้นมาชั้นบน เขาก็นั่งลงข้าง ๆ ลู่จื่อชิง “เจ้าช่างเป็นสตรีที่โหดร้ายยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าจะไม่สนใจข้า”
“เมื่อครู่นี้ไม่ใช่เจ้าที่ไม่สนใจข้าหรือ?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้าคิดว่าพวกเราตกลงกันได้แล้วเสียอีก”
สุดท้ายเว่ยชิงอิงสตรีชาวเหมียว เติ้งจิ่วอวี๋สตรีอาภรณ์สีน้ำเงิน เจี่ยปู้สิงชายหนุ่มร่างผอมบางอาภรณ์ขาว หวงสยงจงสำนักชิงซาน และหลี่อีสิงสำนักจ้งซานคือผู้เหลือรอด
“ในเมื่อเหลือพวกเราเพียงไม่กี่คนแล้ว เช่นนั้นก็มาสู้กันเถอะ!” เติ้งจิ่วอวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้ชนะเป็นฮ่องเต้ ผู้แพ้เป็นโจร”
“สู้อย่างไร?”
“ข้าขอท้าเจ้า” เติ้งจิ่วอวี๋ชี้ไปยังเว่ยชิงอิงแล้วเอ่ยขึ้น
ดวงตาของเว่ยชิงอิงแผ่ประกายสังหาร “ดี! เช่นนั้นก็มาสู้กัน!”
ชายหนุ่มร่างผอมอาภรณ์ขาวชี้ไปยังคุณชายอี้หรานแล้วกล่าวว่า “ข้าขอท้าท่าน”
“ได้” คุณชายอี้หรานเหวี่ยงกระบี่ตอบรับคำท้า
สำนักชิงซานและสำนักจ้งซานมีความแค้นต่อกันมาโดยตลอด ทั้งสองสำนักเป็นสำนักที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุทธภพ ต่อสู้ห้ำหั่นชิงความเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด
ไม่จำเป็นต้องเอ่ย ลูกศิษย์ทั้งสองสำนักย่อมต้องต่อสู้กันอย่างแน่นอน
ลู่จื่อชิงหันไปมองจี้ซ่งเฉิง “เหลือเพียงพวกเราแล้ว มิสู้…”
จี้ซ่งเฉิงกลอกตาอย่างเฉื่อยชา “ข้าไม่สู้กับเจ้า ข้าสู้เจ้าไม่เท่ากับการทำร้ายตนเองหรือ?”
ฉินโม่ถงหัวเราะเบา ๆ “ข้าก็ไม่สู้เช่นกัน ข้ามาที่นี่เพื่อเล่นเป็นเพื่อนเจ้า ไม่สนใจตำแหน่งนั้น”
ลู่จื่อชิงนั่งลงข้างฉินโม่ถง หยิบห่อขนมออกมาจากแขนเสื้อแล้วเริ่มกิน
“เช่นนั้น พวกเราดูพวกเขาสู้กันเถอะ! ข้าก็เหนื่อยเช่นกัน พักประเดี๋ยวดีกว่า”
ตู้ม! หอคอยใกล้ถูกพวกเขาถล่มเต็มที
ในที่สุดคนของเขาหนึ่งกระบี่ก็ปรากฏตัวขึ้น
เขาหันไปมองคนที่กำลังต่อสู้กันแล้วกล่าวว่า “ทุกท่าน ได้โปรดหยุดการต่อสู้ พวกเรามาแข่งขันรอบสุดท้ายเถอะ!”
“หยางเอ้อร์เสีย แข่งขัน? ท่านหมายความว่าอย่างไร?” หลี่อีสิงเอ่ยถาม
“ตำราเคล็ดวิชาลับครึ่งเล่มอยู่ที่นี่” เจ้าสำนักหยางโบกตำราในมือไปมา “ข้าจะให้เวลาพวกท่านครึ่งก้านธูป ผู้ใดก็ตามที่จำได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย ตำแหน่งประมุขพันธมิตรยุทธภพก็จะเป็นของเขา”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร? หากความจำเราไม่ดี นั่นไม่เท่ากับแพ้แล้วหรือ?” หวงสยงจงกล่าวท้วง
“ทุกท่าน ตำราลับเล่มนี้ลึกซึ้งยิ่ง หากยากแก่การจดจำ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝึกฝน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดไม่ปล่อยให้ผู้มีความสามารถรับมันไปเล่า?” เจ้าสำนักหยางกล่าว “นี่เป็นกฎของด่านสุดท้าย หากทุกท่านไม่มีความมั่นใจในตนเอง สามารถยอมแพ้ในด่านนี้ได้ ในเมื่อพวกท่านมาถึงด่านสุดท้ายแล้ว ก็ยังนับว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แท้จริงของงานชุมนุมจอมยุทธ์ครานี้ สามารถเลือกอาวุธกลับไปได้ตามใจต้องการ”
“ในเมื่อเป็นกฎ พวกเราล้วนเป็นผู้ที่เคารพ แน่นอนว่าย่อมต้องปฏิบัติตาม” เจี่ยปู้สิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงขณะไอ
ไม่มีผู้ใดมีความเห็นเช่นกัน
หากมองเพียงแค่กำลัง พวกเขาอาจบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายในวันนี้ ทว่าท้ายที่สุดแม้มีคนชนะ คนผู้นั้นอาจไม่ได้รับประโยชน์อะไร
แต่หากใช้ความสามารถในด้านการรู้หนังสือแข่งกัน ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็เป็นความพยายามครั้งสุดท้าย ไม่มีอะไรต้องเสีย
เวลาเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ทุกคนหันไปมองตำราลับครึ่งเล่มที่อยู่ตรงหน้า
มีตำราลับหลายเล่ม เห็นได้ชัดว่าถูกคัดลอกออกมา
ลู่จื่อชิงเกลียดการท่องจำเป็นที่สุด ทว่านางยังคงสนใจเคล็ดวิชาลับเป็นอย่างมาก ขณะที่ท่องจำตำราลับเล่มนั้น ภายในสมองของนางเกิดความหวั่นไหวครั้งแล้วครั้งเล่า นางได้รับแรงบันดาลใจใหม่ในการเป็นนักกระบี่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หน้าผากเว่ยชิงอิงปกคลุมไปด้วยเหงื่อกาฬ ใบหน้าของนางซีดเซียว
พรวด! นางกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
“ตำราลับเล่มนี้มีปัญหา…”
“นี่เป็นวิธีฝึกจิต” เจ้าสำนักหยางกล่าว “หากเคล็ดวิชาที่ท่านฝึกฝนมาขัดแย้งกับวิธีฝึกจิตนี้ ย่อมคลุ้มคลั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ บัดนี้ดูเหมือนว่าตำราลับเล่มนี้ไม่เหมาะกับแม่นาง แม่นางไม่จำเป็นต้องแข่งกับพวกเขาแล้ว”
ไม่ว่าเว่ยชิงอิงจะไม่ยินยอมเพียงใดก็ทำได้เพียงยอมจำนนต่อโชคชะตา
ผ่านไปไม่นาน หลี่อีสิงก็ทนไม่ไหว เขาถึงกับนั่งยอง ๆ แล้วเอามือกุมหัวไว้