สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 932 แบบแผนของลู่ฉาวจิ่ง
บทที่ 932 แบบแผนของลู่ฉาวจิ่ง
บทที่ 932 แบบแผนของลู่ฉาวจิ่ง
“เดิมทีเขาไม่อยากแต่งงาน ข้าเองก็ไม่อยากบังคับเขา ทว่าหลายปีมานี้เขาสืบคดี นับวันยิ่งไม่ห่วงชีวิตตนมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเมืองหลวงเราจะมีบุรุษหยกงามที่ยังไม่ได้แต่งงานคนที่สองเป็นแน่”
“บุรุษ… หยกงามคืออะไรเจ้าคะ?”
“บุรุษที่มีสถานะสูงส่ง อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเพียบพร้อม ทว่าไม่อยากแต่งงานมีลูก” มู่ซืออวี่เอ่ย “ใต้เท้าฉีก็เป็นหนึ่งในนั้น สกุลลู่ของเราไม่นานเกรงว่าจะมีเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว”
ฉานอีหัวเราะเบา ๆ “นายน้อยคุณสมบัติครบถ้วนเช่นนี้ ขอเพียงเขายินดี ไม่รู้ว่ามีบุตรสาวสกุลขุนนางกี่มากน้อยที่จะฟาดฟันเพื่อแต่งเข้าสกุลลู่นะเจ้าคะ”
“นั่นไม่แน่นอน…” มู่ซืออวี่พึมพำ “หน้าตาหล่อเหลานั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงเรื่องฆ่าฟันของเขาก็แทบตามทันใต้เท้าฉีแล้ว เจ้าคิดว่าบุรุษหน้าตาหล่อเหลาล้วนเป็นเทพอสุราหรือ?”
รูปโฉมของฉีเซียวนับได้ว่าเป็นที่หนึ่งในเมืองหลวง แม้กระทั่งอายุปูนนี้แล้วก็ยังมีเสน่ห์ดึงดูดสตรีนับพัน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาจึงเริ่มไว้หนวดเครา
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องหนวดเครา มู่ซืออวี่ก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา
คราแรกเมื่อฉีเซียวเริ่มไว้หนวดเครา ทุกคนยังไม่ชินเท่าใดนัก หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อมองดูหน้าตาที่มีหนวดเครานั่น กลับรู้สึกว่าเขาหล่อเหลาไปอีกแบบ ทั้งยังมีเสน่ห์ที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
ด้วยเหตุนี้ ฉีเซียวจึงพยายามโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
หากคิดจะปิดบังเสน่ห์ของเขาไว้ เช่นนั้นก็ต้องสวมหน้ากากอย่างเมื่อก่อน ทว่า ทุกคนล้วนรู้ว่าเขามีหน้าตาอย่างไร การสวมหน้ากากในยามนี้จึงไร้ผล ทำได้เพียงโผล่หน้าออกมาให้น้อยลงเท่านั้น
“ท่านแม่…” เสียงของลู่ฉาวจิ่งดังมาจากข้างนอก
ในเวลานี้ลู่ฉาวจิ่งเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งแล้ว แน่นอนว่าเครื่องหน้ายังคงหลงเหลือความเป็นเด็กอยู่บ้าง
“เป็นอะไร?” มู่ซืออวี่มองไปที่รอยเขียวช้ำบนใบหน้าของลู่ฉาวจิ่ง “นี่ถูกผู้ใดจับมา? เหตุใดจึงได้มีรอยข่วนมากมายเช่นนี้?”
ลู่ฉาวจิ่งขมวดคิ้ว “ท่านแม่ ข้าขอไปเล่าเรียนที่สำนักบัณฑิตถงหยางได้หรือไม่?”
“เจ้าอยู่สำนักศึกษาหลวงดี ๆ เหตุใดจึงอยากไปไกลถึงเพียงนั้น?” มู่ซืออวี่เอ่ย “อาจารย์ในสำนักศึกษาหลวงก็มีอาจารย์จากสกุลหวังเช่นกัน เจ้าเรียนอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้ย่ำแย่ไปกว่าที่อื่น”
“ข้ารู้ เพียงแต่… สำนักศึกษาหลวงมีบัณฑิตหญิง นี่…” ลู่ฉาวจิ่งใจร้อนขึ้นมา “สตรีเหล่านั้นวุ่นวายจริง ๆ ข้าเพียงอยากอ่านตำราอย่างเงียบ ๆ สักพัก พวกนางก็เอาแต่พูดคุยจ้อกแจ้กจอแจอยู่ข้างหู ทั้งยังแสร้งทำเป็นพบกันโดยบังเอิญอีก เท่านี้ก็แล้วไปเถิด แต่จู่ ๆ ก็มักเป็นลม ทั้งยังล้มอยู่ข้าง ๆ ข้า หากข้าไม่ช่วยพวกนาง เกรงว่าจะยิ่งอาการหนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงไม่ได้เล่าเรียนอย่างปกติแล้ว”
“นี่เป็นปัญหาจริง ๆ” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าอยากไปเรียนที่สำนักบัณฑิตถงหยางย่อมได้ เพียงแต่ทันทีที่เจ้าจากไป พ่อแม่ของเจ้าจะถูกทิ้งให้อ้างว้าง พี่ใหญ่ของเจ้าแต่ละวันล้วนไม่อยู่บ้าน พี่หญิงใหญ่ของเจ้าก็ออกเรือนแล้ว พี่หญิงรองของเจ้าก็ไม่เคยหยุดอยู่กับที่ เอาแต่เที่ยวเตร่อยู่ด้านนอก เจ้าเป็นคนเดียวที่ยังอยู่ข้างกายพ่อแม่ หากเจ้าออกเดินทางไกล พ่อแม่คงพบเพียงบ้านที่ว่างเปล่า”
“ท่านแม่ ข้า…”
“เอาเถอะ แม่เพียงแค่หยอกเจ้า เจ้าอยากไปก็ไปเถอะ ในเมื่อไปแล้วก็อย่าได้ใช้ตัวตนของสกุลลู่เลย เปลี่ยนตัวตนเถิด! ใบหน้านี้ของเจ้าดึงดูดเกินไปแล้ว ข้างกายพ่อเจ้ามีคนเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม ให้เขาเปลี่ยนโฉมหน้าให้เจ้า เปลี่ยนตัวตนแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งเถิด เช่นนี้ก็ไม่มีปัญหากวนใจเหล่านั้นแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย
“ท่านแม่รับปากแล้วจริง ๆ หรือ?”
“หากข้าไม่รับปาก ครั้งหน้าใบหน้าเจ้าคงไม่ได้มีเพียงรอยข่วนไม่กี่รอย เกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าเดิม” มู่ซืออวี่กล่าว
“ขอบคุณท่านแม่ ตอนนี้ข้าต้องไปเตรียมตัวแล้ว” ลู่ฉาวจิ่งวิ่งออกไปอย่างมีความสุข
มู่ซืออวี่มองเงาร่างเขาด้วยความเศร้า
“พระชายาตัดใจแยกจากกันไม่ได้กระมังเจ้าคะ?”
“ฉาวจิ่งเป็นลูกคนสุดท้อง บัดนี้เขากลับกลายเป็นนกอินทรีกางปีกบินหนีไป ไม่ใช่นกน้อยในอ้อมแขนพ่อแม่แล้ว ข้าจะตัดใจได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่เอ่ย “เพียงแต่ ลูกเติบใหญ่ ย่อมต้องจากอ้อมแขนพ่อแม่โผบินไปสู่ท้องฟ้าสีครามข้างนอก นี่เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น อย่างไรสุดท้ายวันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่ดี”
เมื่อลู่อี้กลับมา เขาเห็นมู่ซืออวี่นั่งตัดแต่งกิ่งดอกไม้อยู่ตรงนั้น ทั่วทั้งร่างแผ่รังสีความโดดเดี่ยวอ้างว้างออกมา จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าหมู่นี้ตนเองงานยุ่งเกินไปจนกระทั่งละเลยภรรยา ปล่อยให้นางอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บเพียงลำพัง
“พระชายา…” ลู่อี้หยุดอยู่ข้าง ๆ นาง “ดอกไม้กระถางนี้เติบโตได้ไม่ดีหรือ? เหตุใดเจ้าจึงตัดมันจนกลายเป็นอย่างนั้นเล่า?”
เท่านั้นเองมู่ซืออวี่จึงได้รู้สึกตัวว่านางตัดมากเกินไป ดอกไม้ทั้งกระถางแทบไม่เหลือแล้ว เพราะมัวตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ทันดู ตอนลู่อี้เรียก นางถึงได้สติกลับคืนมา
“ท่านไปนอกเมืองหลวงไม่ใช่หรือ?”
“เพิ่งกลับมา”
“ในเมื่อกลับมาแล้ว เหตุใดไม่ไปอาบน้ำเล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ย “ทั่วกายมีแต่กลิ่นเหงื่อ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวยิ่งนัก”
ลู่อี้พิจารณาสีหน้านาง “เจ้ามีเรื่องกังวลใจหรือ?”
“ไม่นี่”
“จะไม่มีได้อย่างไร?” ลู่อี้เอ่ย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ผู้ใดทำให้เจ้าโกรธ? แต่ก่อนล้วนเป็นชิงเอ๋อร์นังหนูคนนั้นที่ก่อปัญหาให้ หมู่นี้นางไม่อยู่ คงไม่ใช่ความผิดของนาง ที่บ้านเหลือลูกเพียงผู้เดียว ทว่าฉาวจิ่งว่านอนสอนง่ายมาโดยตลอด กล่าวกันตามเหตุผลไม่ควรเป็นเขา หรือว่าเป็นเรื่องกิจการที่ทำให้เจ้าอารมณ์ไม่ดี?”
“วันนี้ฉาวจิ่งบอกว่าเขาอยากไปสำนักบัณฑิตถงหยาง” มู่ซืออวี่เอ่ย “เขามักจะถูกบัณฑิตหญิงในสำนักศึกษาหลวงตามตอแยอยู่เสมอ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงเรียนไม่ได้”
“หากกังวลว่าจะถูกคนรบกวน ข้าสามารถไปที่สำนักศึกษาหลวงเพื่อพบผู้ดูแลที่นั่น ในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง เผชิญหน้ากับเรื่องเช่นนี้ควรคิดว่าต้องแก้ปัญหาอย่างไร ไม่ใช่คิดจะหลบหนี”
“ในฐานะบุตรชายของท่านอ๋องลู่ หากท่านออกหน้าแก้ปัญหา นั่นไม่ใช่ว่าใช้อำนาจข่มผู้อื่นหรือ? เขาเองก็รู้ว่าอาศัยเพียงไม่กี่คำพูดของเขา สตรีเหล่านั้นย่อมไม่กล้ารบกวน เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นคิดว่าสกุลลู่ใช้กำลังรังแกคน ท้ายที่สุดแล้วสตรีเหล่านั้นเพียงทำเรื่องเช่นนั้นยามพบกันโดยบังเอิญ ไม่ได้ทำอะไรมากเกินขอบเขต”
“ฉาวจิ่งเป็นคนใจอ่อนเกินไป ปัญหาเหล่านี้ต้องให้เขาจัดการเอง ความคิดรักหยกถนอมบุปผาเหล่านี้มาจากที่ใดกัน?” ลู่อี้ขมวดคิ้วมุ่น
มู่ซืออวี่ “…”
นั่นน่ะสิ! เมื่อเทียบกับลู่อี้และลู่ฉาวจิ่งแล้ว ลู่ฉาวจิ่งนั้นจิตใจดีและอ่อนโยนมากเกินไปจริง ๆ หากเป็นบิดาและพี่ชายของเขา สตรีเหล่านั้นคงไม่มีโอกาสแม้กระทั่งได้เรียนที่นั่น ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องมาตามตื๊อเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม มู่ซืออวี่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงนิสัยของลู่ฉาวจิ่งมากเกินไป ยามเด็กเป็นช่วงที่อารมณ์กำลังก่อตัว ในเวลานี้ ควรปล่อยให้เขาได้ชนกำแพงด้วยตัวเอง จะได้รู้ว่าเส้นทางใดดีที่สุดสำหรับตนเอง
ลู่อี้และลู่ฉาวอวี่มีแบบแผนในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ของตัวเอง ลู่ฉาวจิ่งก็มีแบบแผนของเขาเช่นกัน ลู่ฉาวจิ่งไม่จำเป็นต้องกลายเป็นลู่ฉาวอวี่คนที่สอง
“เจ้าหมายความว่า…” ลู่อี้สังเกตเห็นสีหน้าของมู่ซืออวี่จึงเอ่ยถาม “เจ้ารับปากเขาแล้วหรือ?”
“ข้ารับปากแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “เขาเติบใหญ่ ถึงเวลาที่เขาต้องยืนหยัดเพียงลำพัง ท่านมีลูกน้องที่รู้วิชาแปลงโฉมไม่ใช่หรือ? ท่านให้คนผู้นั้นเปลี่ยนโฉมหน้าให้ฉาวจิ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งเถิด”