สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 935 สอบถาม
บทที่ 935 สอบถาม
บทที่ 935 สอบถาม
ลู่ฉาวอวี่เงียบไป
ปกติหรือไม่?
จนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่มีสตรีคนใดเข้าใกล้เขาได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงการแตะเนื้อต้องตัว อีกทั้งตำแหน่งของบาดแผลเมื่อครู่ก็ค่อนข้าง… นี่ไม่ปกติ
สมองของลู่ฉาวอวี่นึกถึงสิ่งที่เขาประสบพบเจอมากับสิงเจียซือตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งสองคนผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ประสบกับความยากลำบากต่าง ๆ นานา มาด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถึงขั้นเคยตกอยู่ในอันตรายเพื่อช่วยอีกฝ่าย…
หากต้องใช้คำหนึ่งเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคงเป็น… คนรู้ใจ
พวกเขามักจะเขียนจดหมายถึงกัน สิงเจียซือจะจดบันทึกสิ่งที่น่าสนใจทุกอย่างที่นางพบเห็นส่งมาให้ลู่ฉาวอวี่ นางเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่เขายินดีตอบกลับ อย่างไรเสียเขาก็ได้รับจดหมายรักทั้งที่ลงนามและไม่ได้ลงนามจากสตรีมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทว่าเขากลับไม่นึกสนใจจะอ่าน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะตอบกลับเลย
“ใต้เท้า…” เสียงลูกน้องดังมาจากด้านนอก
ความสงสัยในใจของลู่ฉาวอวี่เลือนหายไป เขาตะโกนออกไปด้านนอก “เข้ามา”
มู่ซืออวี่เหลือบมองเขาด้วยความโกรธแล้วกล่าวว่า “เจ้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว สำนักตรวจการนั่นของเจ้า หากเจ้าไม่อยู่ก็จะทำงานไม่ได้หรืออย่างไร? ได้ เช่นนั้นก็ทำงานของเจ้าไปเถอะ!”
ดูเหมือนท้ายที่สุดลูกชายนางก็จะได้ภรรยาผู้หนึ่งแต่งเข้าบ้านเสียที แต่บัดนี้ดูท่าว่าจะไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น แม้นจะมีแม่นางยินดีแต่งให้เขา เกรงว่าก็คงไม่อาจทนชีวิตคนบ้างานเช่นนี้ได้
ลู่ฉาวอวี่ล้มป่วยแล้ว
ก่อนหน้านี้เพียงได้รับบาดเจ็บ แต่บัดนี้กลับป่วยไข้
ท่านหมอมาตรวจดู บอกว่าปากแผลเขาติดเชื้อ สถานการณ์ค่อนข้างอันตรายทีเดียว
สิงเจียซือเดินวนไปวนมาอยู่ที่ประตูจวนลู่พักหนึ่ง ขณะที่นางกำลังลังเลว่าจะเข้าไปเยี่ยมลู่ฉาวอวี่ดีหรือไม่ รถม้าคันหนึ่งก็หยุดลงตรงหน้า
“แม่นางสิง?”
สิงเจียซือได้ยินเสียงจึงหันกลับมามองคนตรงหน้า
“ฮูหยินรองลู่?”
ซูจือหลิ่วเอ่ย “เหตุใดไม่เข้าไปเล่า?”
“ข้า…”
“ไม่ต้องงงแล้ว เข้าไปพร้อมกันเถิด!” ซูจือหลิ่วลงจากรถม้า
คนขับรถม้าเข้าไปข้างใน
ซูจือหลิ่วเอ่ยกับสิงเจียซือ “เจ้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมฉาวอวี่กระมัง?”
“ฮูหยินทราบได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“คราวก่อนคาราวานของเจ้าประสบปัญหา ฉาวอวี่พาเจ้าไปหาสามีของข้า ข้าก็อยู่ที่นั่น พวกเจ้าเป็นสหายกัน ยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งยังป่วยหนัก เจ้ามาเยี่ยมเขาก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“ใต้เท้าลู่ไม่เป็นไรกระมังเจ้าคะ? เมื่อวานเขายังอาการดี ๆ คงเป็นเพราะแผลปริทำให้เกิดการติดเชื้อ” สิงเจียซือตำหนิตนเอง “ล้วนเป็นความผิดข้า ข้าไม่ควรรบกวนเขา”
“เมื่อวานเจ้ามาเยี่ยมเขาแล้วหรือ?”
ทั้งสองเดินเข้าไปพลางพูดคุยกันไปพลาง
สิงเจียซือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ซูจือหลิ่วฟัง
ซูจือหลิ่วฟังแล้วกล่าวว่า “นี่ไม่โทษเจ้า เป็นบ่าวรับใช้เหล่านั้นที่จัดการไม่ดี พวกเขาไม่เพียงแต่ละเลยเจ้าที่เป็นแขก แต่ยังเกือบพลาดพลั้งทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่ฉาวอวี่ว่องไวจึงช่วยเจ้าไว้ได้ทัน”
มู่ซืออวี่กำลังกำชับบ่าวรับใช้ให้จัดการสิ่งต่าง ๆ เมื่อนางเห็นซูจือหลิ่วและสิงเจียซือเดินเข้ามาพร้อมกันจึงสั่งให้บ่าวรับใช้ถอยออกไป แล้วเข้าไปทักทายพวกนาง
“คารวะพระชายา”
“ไม่ต้องมากพิธี” มู่ซืออวี่แย้มยิ้มและพยุงสิงเจียซือขึ้นมา “เจ้ามาเยี่ยมฉาวอวี่กระมัง?”
“เจ้าค่ะ พระชายา ใต้เท้าลู่เขา…”
“บาดแผลติดเชื้อ ตอนนี้ยังมีไข้ ท่านหมอกำลังดูแลเขาอยู่” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าอยากไปดูเขาหรือไม่?”
“ได้หรือเจ้าคะ?”
“แน่นอนว่าได้” มู่ซืออวี่เรียกบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งมาให้พาสิงเจียซือไปหาลู่ฉาวอวี่
ซูจือหลิ่วมองตามหลังสิงเจียซือแล้วแตะแขนมู่ซืออวี่เบา ๆ “นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร? หนุ่มสาวสมัยนี้นับวันยิ่งเข้าใจยากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “เหตุใดเจ้ามาคนเดียว? เด็ก ๆ เหล่านั้นเล่า?”
“ท่านแม่ข้าพาพวกเขาออกไปเล่นว่าว” ซูจือหลิ่วกล่าว “ตอนนี้ก็มีเพียงพวกเขาแล้วที่เป็นที่พึ่งของแม่ข้า”
“เด็กทั้งสองอยู่ในสำนักศึกษาหลวงเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ค่อนข้างน่าพอใจกระมัง! ข้าและพ่อของพวกเขาไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาเก่งกาจมีพรสวรรค์เพียงนั้น เป็นอย่างตอนนี้ก็ดีทีเดียว”
“พอมีชิงเอ๋อร์ที่เป็นตัวก่อกวนผู้หนึ่งก็รู้สึกว่าเด็ก ๆ คนอื่นล้วนเป็นเทวบุตรแล้วใช่หรือไม่?”
ซูจือหลิ่วระเบิดหัวเราะออกมา
จำต้องกล่าวว่า สภาพจิตใจของพวกนางแข็งแกร่งได้เยี่ยงนี้ มากน้อยล้วนเกี่ยวข้องกับความสามารถในการก่อปัญหาของลู่จื่อชิง
ในบรรดาลูกหลานสกุลลู่ ลู่จื่อชิงเป็นผู้ที่ก่อปัญหามากที่สุด หลายปีมานี้ ทั้งเมืองหลวงล้วนเป็นตำนานของนาง ตอนนี้เมื่อนางไปจากเมืองหลวงจึงรู้สึกเงียบเหงาลงไป ทุกคนล้วนไม่คุ้นชินอยู่บ้างเล็กน้อย
“ชิงเอ๋อร์อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไร?”
“วางใจเถิด ปล่อยให้นางออกไปเผชิญโลกบ้าง ข้ากังวลเพียงว่าผู้อื่นจะเป็นอย่างไรเท่านั้น” มู่ซืออวี่เอ่ย
“แม่อย่างท่านก็มีด้วยหรือ?” ซูจือหลิ่วหัวเราะ “ยังมีฉาวอวี่อีก อาการบาดเจ็บของเขาคงไม่ร้ายแรงกระมัง?”
“เจ้าเห็นข้ายังพูดคุยหัวเราะอย่างสบายใจอยู่ที่นี่ คงรู้ว่าไม่มีอะไรร้ายแรงกระมัง” มู่ซืออวี่กล่าว “เพียงแต่เจ้าคิดว่าแม่นางสิงเป็นอย่างไร?”
“สกุลสิงตกต่ำแล้ว บัดนี้นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าผู้หนึ่ง”
“เจ้าคิดว่าข้าสนใจพื้นเพครอบครัวหรือ?”
“แน่นอน ข้ารู้ว่าท่านไม่ไม่สนใจ” ซูจือหลิ่วชี้ไปบนพื้นเพื่อบอกว่าตรงนั้นมีหลุมให้ระวัง “สกุลลู่แต่ไรมาไม่ได้อาศัยเกาะมังกรเกาะหงส์แต่ก็มีสถานะอย่างวันนี้ได้ หากท่านสนใจเรื่องพื้นเพครอบครัว เช่นนั้นข้าคงไม่ได้แต่งเข้ามาแล้ว”
“ฉาวอวี่หลายปีมานี้ไม่เคยนึกถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษสตรี หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้ากังวลจริง ๆ ว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะตายเพียงลำพัง ในบรรดาสตรี มีเพียงแม่นางสิงผู้นี้ที่ต่อฉาวอวี่แล้วแตกต่างจากผู้อื่น”
“ฉาวอวี่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยชมชอบสตรีที่ดูเหมือนต้นฝอยทอง*[1] แม่นางสิงผู้นั้นแตกต่างจากสตรีส่วนใหญ่ บางทีอาจพอมีทางเป็นไปได้”
สิงเจียซือเดินตามบ่าวรับใช้ไปที่ห้องของลู่ฉาวอวี่
ท่านหมอกำลังเช็ดเหงื่อให้เขาอยู่ข้าง ๆ
“ข้าจะไปต้มยา พวกเจ้าดูแลเขาให้ดี” ท่านหมอกล่าว “ใต้เท้าลู่เหงื่อออกเยอะมาก ไม่อาจปล่อยให้เขาเป็นหวัดได้ พวกเจ้าต้องคอยเช็ดเหงื่อออกจากร่างกายเขา”
“ขอรับ”
หลังจากท่านหมอออกไปแล้ว บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลก็เช็ดเหงื่อให้ลู่ฉาวอวี่
“เจ้าเบามือหน่อย” สิงเจียซือเอ่ยพลางขมวดคิ้วมุ่น ขณะเฝ้ามองท่าทางของบ่าวรับใช้
บ่าวรับใช้เอ่ยด้วยท่าทีประหม่า “เมื่อเช้านี้บ่าวข้อมือเคล็ดขอรับจึงควบคุมน้ำหนักมือไม่ค่อยได้ บ่าวไม่ได้จงใจนะขอรับ แม่นางได้โปรดอย่าบอกฮูหยินเลยนะขอรับ มิเช่นนั้นบ่าวคงต้องถูกลงโทษแล้ว”
สิงเจียซือเหลือบมองแขนของบ่าวรับใช้ผู้นั้น
ข้อมือของเขาเคล็ดจริง ๆ ดูเหมือนจะไม่ได้โกหก
“ให้ข้าทำเถอะ!”
“เช่นนั้นรบกวนแม่นางแล้ว”
สิงเจียซือมองลู่ฉาวอวี่ผู้ที่มีใบหน้าแดงเรื่อ มือยกขึ้นเช็ดเหงื่อของเขาด้วยความสั่น
บุรุษผู้นี้ปกติท่าทางน่าเกรงขาม บัดนี้กลับดูเหมือนเด็กน้อยอ่อนแอผู้หนึ่ง
เหตุใดผิวของเขาจึงดูสุขภาพดีเช่นนี้?
ผิวของนางที่เป็นสตรีผู้หนึ่งยังไม่อาจเทียบเขาได้
ริมฝีปากของเขาบาง ทั้งยังดูน่ามองยิ่ง
เพียงแต่ ยามนี้กลับดูแห้งผากไปเล็กน้อย
“เจ้านำน้ำมาให้ข้าสักถ้วยเถอะ” สิงเจียซือสั่งบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ
“ขอรับ”
บ่าวรับใช้ไปนำน้ำมาให้
สิงเจียซือป้อนน้ำให้ลู่ฉาวอวี่ด้วยความระมัดระวัง
หลังจากลู่ฉาวอวี่ดื่มลงไปแล้วก็เม้มริมฝีปากตนเล็กน้อย
“เอามาอีกถ้วย”
บ่าวรับใช้นำมาให้อีกสองสามถ้วย ริมฝีปากของลู่ฉาวอวี่ก็ไม่ได้ดูแห้งถึงเพียงนั้นอีก นางจึงได้หยุดป้อน
สิงเจียซือเห็นเหงื่อที่ไหลลงมาตามคอของเขา มือของนางที่กำลังถือผ้าเช็ดหน้าพลันหยุดลง
นางหันหน้ากลับมาหมายจะเรียกบ่าวรับใช้ เนื่องจากน้ำหมดแล้ว บ่าวรับใช้ผู้นั้นจึงหยิบกาน้ำออกไปเติม บัดนี้นางอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง
นางหลับตาลง เอื้อมมือไปเช็ดคอให้ลู่ฉาวอวี่
[1] ฝอยทอง เปรียบเปรยผู้หญิงที่เปราะบางต้องพึ่งพาผู้ชายเพื่อให้มีชีวิตที่ดี เหมือนต้นฝอยทองที่เป็นพืชกาฝากต้องคอยเกาะกินน้ำจากต้นไม้อื่น