สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 937 ฉู่หนิงจูกลับมายังเมืองหลวง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 937 ฉู่หนิงจูกลับมายังเมืองหลวง
บทที่ 937 ฉู่หนิงจูกลับมายังเมืองหลวง
บทที่ 937 ฉู่หนิงจูกลับมายังเมืองหลวง
ฉีเจินแม่ทัพรักษาชายแดนกลับมายังเมืองหลวง เวินเหวินซงเสนาบดีกรมพิธีการจึงนำเหล่าอาลักษณ์จากกรมพิธีการมาต้อนรับเขาที่ประตูเมือง อีกทั้งยังตระเตรียมที่ทางให้กองกำลังทหารและม้าที่เขานำกลับมาด้วย
ฉีเจินเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉีเซียวและเป็นบุตรชายคนโตบ้านใหญ่ ส่วนฉีเซียวเป็นบุตรชายคนโตของบ้านรอง หากกล่าวแล้วหลายปีมานี้ จวนฉีถ่อมตนมาโดยตลอด มองไม่ออกว่ามีขุนนางที่เก่งกล้าอยู่ในราชสำนักถึงสองคนแม้แต่น้อย
กองทัพกลับมาอย่างเกรียงไกร ผู้คนรายล้อมสองข้างทาง รอต้อนรับการกลับมาของวีรบุรุษ
ถึงแม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาจะไร้ซึ่งสงคราม ทว่าชายแดนยังคงเป็นสถานที่หนาวเย็นและยากลำบาก ทหารที่ดูแลที่นั่นล้วนทำงานหนัก ควรได้รับความชื่นชมและความรักจากราษฎร
ฉีเจินควบขี่อยู่บนหลังม้า เขายังคงดูแข็งแกร่งทั้งยังสง่างามน่าเกรงขาม แม้ว่าจะล่วงเลยเข้าวัยกลางคนแล้วก็ตาม
เขาโน้มศีรษะลงมองรถม้าข้าง ๆ แล้วเอ่ยกับผู้ที่อยู่ด้านใน “ฮูหยิน เจ้ากลับจวนก่อนเถิด ข้าต้องเข้าวังไปพบพระพักตร์ฝ่าบาทเสียก่อน”
เสียงเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านใน “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉีเจินเข้าวังไปพร้อมกับคนของเขา รถม้ากลับไปยังซอยหนึ่ง
ไม่นานนัก รถม้าก็หยุดลงหน้าประตูจวนฉี
ฉีเซียวได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนฉีอีกต่อไป จวนของฉีเซียวมีชื่อว่าจวนป๋อเจวี๋ยฉี
ประตูจวนฉีเปิดออก บ่าวรับใช้จำนวนมากกรูกันออกมาเข้าแถวเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย กล่าวคำทักทายฮูหยินที่กำลังลงมาจากรถม้า “คารวะฮูหยินท่านแม่ทัพ คุณหนู คุณชาย”
สตรีผู้นั้นหรือก็คือฉู่หนิงจู สตรีที่แต่งออกนอกหน้าของฉีเจิน นางมองดูจวนตรงหน้าแล้วเอ่ยกับเด็กหญิงและเด็กชายที่อยู่ข้าง ๆ นาง “ที่นี่คือบ้านของเราในเมืองหลวง”
“เมืองหลวงงามจริง ๆ นะเจ้าคะ” ฉีซืออี้เอ่ยเบา ๆ “ท่านแม่ ข้าชอบที่นี่”
“ข้าไม่ชอบ” ฉีเว่ยฟางกล่าว “ข้ายังคงชอบชายแดนที่มีอิสระเสรี ที่นี่คนพลุกพล่านเกินไป ถนนก็แคบยิ่งนัก”
“เอาละ ไม่เอ่ยเรื่องเหลวไหลแล้ว” ฉู่หนิงจูกล่าว
ฮูหยินผู้เฒ่าฉีมีบ่าวรับใช้คอยพยุงเดินออกมา
“หลานชายคนดีของข้ากลับมาแล้ว รีบมาให้ข้าดูเร็วเข้า”
“ท่านแม่…” ฉู่หนิงจูทำความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่าฉีโบกมือให้ ไม่ได้สนใจนางอีก หากแต่มองไปทางฉีซืออี้และฉีเว่ยฟาง
นางดึงมือของฉีเว่ยฟางมากุม หัวเราะฮ่า ๆ พลางเอ่ยว่า “นี่คือเว่ยเจี๋ยกระมัง?”
ฉีเว่ยฟางถอนมือตนออกอย่างหมดความอดทน พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าฉีเว่ยฟาง ฉีเว่ยเจี๋ยอยู่ด้านหลัง”
ฉีเว่ยเจี๋ยเป็นลูกชายคนโตของฉีเจิน ก่อนที่ฉู่หนิงจูจะให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวจากภรรยาเอกให้ฉีเจิน ฉีเจินได้ให้กำเนิดลูกชายคนโตกับสาวชาวบ้านผู้หนึ่ง ต่อมาภายหลังฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้เขา ฉีเจินก็ไม่กล้าละเลย ทำได้เพียงแต่งตั้งแม่นางผู้นั้นเป็นอนุ ฉู่หนิงจูแต่งงานไปได้สองปีก็ให้กำเนิดธิดาคนโต และในปีที่สามนางก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายตามมา
“ท่านย่า ข้าคือเว่ยเจี๋ย” ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งเดินเข้าไปค้อมคำนับฮูหยินผู้เฒ่าฉี
ฮูหยินผู้เฒ่าฉีมองไปทางชายหนุ่ม จากนั้นจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ดี ท่าทางดูดีจริง ๆ พ่อของเจ้ามักจะเอ่ยถึงเจ้าในจดหมาย ย่าอยากพบเจ้าตั้งนานแล้ว”
สิ้นคำ นางก็หันไปมองฉีเว่ยฟางแล้วกล่าว “เว่ยฟางก็ดูสง่างามเช่นกัน”
ฉีเว่ยฟางคารวะ แล้วยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ฉีเว่ยเจี๋ยดูแลเรื่องชายแดนกับบิดาของเขาตั้งแต่ยังเยาว์ ฉีเจินล้วนมีแต่คำชมเชยให้เขา ขณะอยู่ที่ชายแดน ทุกคนรู้เพียงว่าฉีเว่ยเจี๋ยมีความสามารถมากมาย แล้วพวกเขาจะจดจำฉีเว่ยฟางได้อย่างไร? ฉีเว่ยเจี๋ยไม่เคยคิดกลับมาเมืองหลวง คนที่นี่รู้จักเพียงบุตรชายคนโตที่เกิดจากอนุ ไม่สนใจเขาที่เป็นบุตรจากภรรยาเอกเสียด้วยซ้ำ
“คารวะฮูหยินผู้เฒ่า” อนุเซี่ยกล่าวทักทายฮูหยินผู้เฒ่าฉี
“ไม่ต้องมากพิธี”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้สนใจอนุ เพียงแต่รักบ้านก็ต้องรักอีกาที่อยู่บนหลังคา เมื่อนึกได้ว่านางให้กำเนิดหลานชายชื่อฉีเว่ยเจี๋ยผู้นี้จึงยังส่งยิ้มให้
ฮูหยินบ้านรองหรือก็คือแม่เลี้ยงของฉีเซียวยิ้มแย้มแล้วกล่าว “ท่านแม่ มีอะไรพวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้ยืนอยู่ข้างนอกอีกเลย”
“ใช่แล้ว พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
ฉู่หนิงจูเหลือบมองท้องถนนที่ไม่คุ้นตาทว่าให้ความรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
นางกลับมาแล้ว
ผ่านมาหลายปีเพียงนี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงราวกับภาพฝัน แม้กระทั่งนางยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องลวง
ตอนที่นางจากไปนางยังเป็นหญิงสาว ทว่าเมื่อกลับมา นางเป็นคนที่มีผมหงอกแซมรอบหูผู้หนึ่ง ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของจวนฉู่ผู้ที่เต็มไปด้วยภาพฝันถึงอนาคตและความรักผู้นั้นอีกแล้ว
ฉีเจินประสบความสำเร็จในทางการรบ แม้เขาจะไม่ได้กลับมานานหลายปี เรือนของพวกเขาก็ยังคงว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดกล้าฉกฉวยประโยชน์จากมัน
เพียงแต่ผ่านไปหลายปีย่อมทรุดโทรมเล็กน้อย เมื่อหันไปมองดูสวนก็เต็มไปด้วยวัชพืชและดอกไม้ป่าจำนวนมากขึ้นอยู่ทุกหนแห่ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขากลับมากะทันหันเสียจนคนภายในจวนไม่ทันได้ดูแล
“ฮูหยิน คุณชาย คุณหนู พวกบ่าวได้เตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว พวกท่านอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนหรือไม่เจ้าคะ?”
“จัดเตรียมเถอะ!” ฉู่หนิงจูกล่าว
“เจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่เพิ่งกลับมาจากเรือนพักผ่อนบนภูเขาก็ได้ยินว่าซูจือหลิ่วมาหา นางจึงถอดเสื้อคลุมออกแล้วตรงไปหาที่ศาลาในสวนหลังเรือน
นางชอบศาลาหลังนั้นมากที่สุด ทุกครั้งที่นางมาก็มักจะนั่งอยู่ตรงนั้น ดื่มด่ำกับภาพวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบ
“หมู่นี้เจ้ามาหาข้าที่นี่ค่อนข้างบ่อยทีเดียว”
“หนิงจูกลับมาเมืองหลวงแล้ว” ซูจือหลิ่วกำลังตกอยู่ในภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงของมู่ซืออวี่จึงหันกลับมาเอ่ย
มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “ท่านแม่ทัพฉีถูกเรียกตัวกลับมาเมืองหลวงแล้วหรือ?”
“ใช่”
“นั่นก็เป็นเรื่องดี”
“หนิงจูกับข้าเป็นสหายที่ดีต่อกัน แต่เรื่องในตอนนั้นท่านก็รู้…”
“ประการแรก เจ้ายังกล่าวว่าเป็นเรื่องในตอนนั้น ประการที่สอง เจ้าและน้องสามีแต่งงานกัน นั่นเป็นเรื่องที่ทั้งสองสกุลเห็นดีเห็นงาม ก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน นอกจากนั้น นี่ผ่านไปหลายปีเพียงนี้แล้ว ทุกคนล้วนมีลูกชายลูกสาว เจ้ายังคิดถึงเรื่องในอดีต นี่น่าขันเกินไปแล้ว”
“ข้าก็คิดว่ามันน่าขันเช่นกัน เพียงแต่เมื่อได้ยินว่านางกลับมา ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย” ซูจือหลิ่วกล่าว “เรื่องสำคัญเช่นนี้ ท่านอ๋องลู่ของพวกท่านไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าบ้างเลย”
“กับท่านอ๋องลู่ของเรา เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องในราชสำนัก ข้าที่เป็นสตรีผู้หนึ่งไม่เคยสนใจ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้า นอกจากนั้น เขาคงนึกไม่ถึงว่าน้องสะใภ้จะยังคงพะวงกับเรื่องที่ผ่านมานับสิบปี เด็ก ๆ โตถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ายังกังวลว่าหนิงจูจะคิดบัญชีกับเจ้าหรือ? ถึงแม้นางจะคิดบัญชีกับเจ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลไป ตอนนั้นเป็นพวกเขาที่มีบุพเพ แต่ไร้วาสนาต่อกันเอง”
ซูจือหลิ่วกอดแขนมู่ซืออวี่ “ยังดีที่มีพี่สะใภ้ช่วยข้า ไม่เช่นนั้นข้าคงทุกข์ใจเป็นแน่”
“ช่วงนี้เจ้าว่างเกินไปแล้วหรือไม่?” มู่ซืออวี่เอ่ย “ตอนยังสาวเจ้าเป็นคนใจกว้างผู้หนึ่ง บัดนี้เจ้านับวันยิ่งเหมือนแม่สามีมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
“ฉาวอวี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“บาดแผลหายดี เขาลุกจากเตียงเดินไปรอบ ๆ ได้แล้ว ทั้งยังเดินจนไม่เห็นแม้แต่เงา” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยความโกรธ “ข้าไม่ได้ให้กำเนิดลูกชายผู้หนึ่ง ข้าให้กำเนิดผู้ช่วยบิดาของเขาต่างหาก ท่านอ๋องลู่ของเราใจไม้ไส้ระกำยิ่งนัก งานสกปรกงานเหน็ดเหนื่อยอะไรล้วนมอบหมายให้กับลูกชายตนเอง ไม่กลัวว่าบ่าเล็ก ๆ นั่นจะทนแบกรับภาระหนักอึ้งที่เขาโยนมาให้ไม่ไหว”
มู่ซืออวี่เห็นบ่าวรับใช้นำชาและของว่างมาก็เหลือบมองซูจือหลิ่วแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ยกของว่างออกไป”
ซูจือหลิ่วผู้ที่กำลังจะกินขนมชิ้นหนึ่งมองตามขนมที่วิ่งหนีไปแล้ว
“พี่สะใภ้ แม้กระทั่งขนมท่านก็ไม่ให้ข้ากินแล้วหรือ?”
“เจ้าดูเอวของเจ้าสิ” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยความรังเกียจ “แม่ทัพฉีกลับมาแล้ว ทางวังจะต้องจัดงานเลี้ยงให้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นพวกเราต้องเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง เจ้าอยากพบหนิงจูด้วยสภาพนี้หรือ?”