สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 938 เป็นสหาย อีกทั้งยังเป็นศัตรู
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 938 เป็นสหาย อีกทั้งยังเป็นศัตรู
บทที่ 938 เป็นสหาย อีกทั้งยังเป็นศัตรู
บทที่ 938 เป็นสหาย อีกทั้งยังเป็นศัตรู
ซูจือหลิ่วก้มลงมองเอวตนเอง
ดูเหมือน…
นางจะอ้วนขึ้นแล้ว
“ถึงแม้ไม่กินตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วเจ้าค่ะ!” ซูจือหลิ่วทำหน้าบูดบึ้ง
“ไม่เป็นไร วันนี้ไม่กิน อีกประเดี๋ยวเอวของเจ้าก็จะเล็กลง” มู่ซืออวี่เอ่ย “สภาพผิวของเจ้าก็ไม่ดีเช่นกัน ข้าจะทำมาส์กหน้าให้ แล้วเจ้าค่อยแต่งหน้าสักหน่อย”
ซูจือหลิ่วถูกมู่ซืออวี่เบี่ยงเบนความสนใจไปดังคาด บัดนี้สมองของนางเต็มไปด้วยการมาส์กหน้าและการแต่งหน้าอย่างไร้ที่ติ
สามชั่วยามถัดมา ทั้งสองคนก็มาส์กหน้า แต่งเล็บมือ จากนั้นบรรจงแต่งหน้าอย่างประณีต
เมื่อลู่เซวียนมารับนางที่จวน ซูจือหลิ่วถึงได้เข้าใจความตั้งใจของมู่ซืออวี่
นางทำเช่นนี้เพื่อให้ซูจือหลิ่วผ่อนคลาย ไม่ต้องกังวลกับเรื่องไร้ความหมายเหล่านั้น อย่างไรเสียก็ผ่านมาหลายปีเพียงนี้ หลายสิ่งหลายอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
งานเลี้ยงในวังยามเย็นจัดขึ้นเพื่อต้อนรับแม่ทัพฉีเจินที่เดินทางกลับมา ขุนนางขั้นสี่ขึ้นไปล้วนพาภรรยาและลูก ๆ มาร่วมงานเลี้ยง
มู่ซืออวี่สวมชุดเก้ามิ่งของพระชายานั่งอยู่ข้างกายลู่อี้ ลู่ฉาวอวี่วันนี้อยู่ในเมืองหลวงจึงเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังกับบิดามารดา อย่างไรก็ตาม ลู่ฉาวอวี่เป็นขุนนางมีตำแหน่ง ดังนั้นจึงทำได้เพียงนั่งตามตำแหน่งขุนนางของเขาเท่านั้น
เมื่อทั้งคู่ปรากฏตัว ทุกคนล้วนค้อมคำนับพวกเขา
สถานะของลู่อี้และภรรยาในราชสำนักนั้นอยู่ใต้คนผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น ผู้ใดจะกล้าไม่ไว้หน้าพวกเขาเล่า?
“ท่านอ๋องลู่…” ฉีเจินเดินเข้ามาทักทายพร้อมกับภรรยาและบุตร
ลู่อี้หันกลับไปมองฉีเจินแล้วเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งขรึม “แม่ทัพฉี เดินทางลำบากแล้ว”
“ครานี้กลับมายังเมืองหลวงได้ ล้วนต้องขอบคุณท่านอ๋อง” ฉีเจินกล่าว “อีกประเดี๋ยวข้าขอดื่มให้กับท่านอ๋องสักสองจอก ท่านอ๋องจะต้องรับไว้นะขอรับ!”
เหล่าบุรุษพูดคุยกันเรื่องราชการ สายตาของมู่ซืออวี่จึงไปหยุดอยู่ที่ภรรยาและลูก ๆ ข้าง ๆ ฉีเจิน
ไม่ได้พบเจอกันหลายปี แม่นางน้อยผู้นั้นในความทรงจำได้กลายเป็นสตรีเต็มตัวแล้ว ทว่ายังคงมองเห็นเค้าโครงในตอนนั้นของนางได้อย่างรางเลือน
ฉู่หนิงจูค้อมคำนับมู่ซืออวี่ ดูแล้วเรียบร้อยมีแบบแผน เหมือนกับฮูหยินขุนนางทั่วไป
“สองคนนี้เป็นลูกของพวกเจ้ากระมัง?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พระชายา นี่คือลูกสาวคนโตซืออี้ ส่วนนี่คือเว่ยเจี๋ย เว่ยฟาง”
“คารวะพระชายา…”
เด็ก ๆ เหล่านั้นค้อมคำนับอีกครั้ง
ฮ่องเต้และฮองเฮาปรากฏกายออกมาแล้ว
ทุกคนจึงกลับไปยังที่นั่งของตน
ฉีเจินเป็นตัวเอกของวันนี้ ที่นั่งจึงอยู่แถวหน้า ตรงข้ามกับลู่อี้และภรรยา
ตอนนี้ลู่เซวียนก็เป็นขุนนางขั้นสองแล้วเช่นกัน เขาและซูจือหลิ่วนั่งอยู่ไม่ไกลออกไป ลูกฝาแฝดของพวกเขาโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่มีเด็กคนใดในสกุลลู่หน้าตาน่าเกลียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นฝาแฝด
ฉู่หนิงจูเห็นครอบครัวของพวกเขาแล้ว
ซูจือหลิ่วสังเกตเห็นสายตาที่มองมาของฉู่หนิงจู พลันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
นางดึงมุมเสื้อของลู่เซวียน
ลู่เซวียนหันกลับไปมองนางด้วยความสงสัย
ซูจือหลิ่วลดเสียงลงกล่าว “หนิงจู…”
ลู่เซวียนไม่ได้มองไปฝั่งตรงข้าม แต่กลับรินน้ำให้ซูจือหลิ่วแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าเป็นสหายเก่ากัน มีอะไรให้ทำตัวไม่ถูก?”
“แต่…”
“เอาละ ไม่ต้องคิดมากไป” ลู่เซวียนกล่าว “พวกเราล้วนแก่แล้ว”
ซูจือหลิ่วมองใบหน้าที่ยังคงหล่อเหลาของลู่เซวียน “แก่ที่ใดกัน? ที่แก่มีเพียงสตรีเราเท่านั้น”
“ท่านแม่ ลูกสาวของแม่ทัพฉีงามจริง ๆ เจ้าค่ะ” ลู่จื่อฮั่วกล่าว
ซูจือหลิ่วมองไปทางฉีซืออี้
รูปโฉมของฉีซืออี้นั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ ทั้งยังดูคล้ายคลึงกับใต้เท้าฉีเซียวอยู่หลายส่วน
งานเลี้ยงในพระราชวังคึกคักมีชีวิตชีวา ทั้งขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารในราชสำนักต่างแสดงความยินดีต่อการกลับมาของฉีเจิน
ในฐานะลูกพี่ลูกน้องของฉีเจิน ฉีเซียวย่อมไว้หน้าเขา ฉีเจินไม่ได้นำทัพกลับเมืองหลวงมาเป็นเวลานาน ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ เขาก็เข้าใจสถานการณ์ในราชสำนักได้อย่างรวดเร็ว
ในฐานะฮูหยินของแม่ทัพ ฉู่หนิงจูได้พบปะสังสรรค์กับฮูหยินขุนนางจากจวนต่าง ๆ เห็นได้ว่าในด้านการเจรจาพูดคุย นางทำได้อย่างคล่องแคล่ว วางตัวเป็นฮูหยินแม่ทัพได้อย่างดีเยี่ยม
“พระชายา ข้าเพิ่งกลับมาเมืองหลวง สำหรับเรื่องราวในเมืองหลวงแล้วข้าไม่รู้อะไรมากนัก ข้าคิดจะจัดงานเลี้ยง ทำความรู้จักกับพี่หญิงทุกท่าน ได้ยินว่าเรือนพักผ่อนบนภูเขาของพระชายาเป็นสถานที่ที่น่าสนใจยิ่ง ไม่รู้ว่าข้าสามารถไปจัดงานเลี้ยงที่นั่นได้หรือไม่?”
“ขอเพียงเจ้าชอบ แน่นอนว่าข้าย่อมยินดี” มู่ซืออวี่กล่าว
“เช่นนั้น็ดียิ่งนัก” ฉู่หนิงจูยกจอกสุราขึ้นมา “ข้าขอคารวะพระชายาหนึ่งจอก”
มู่ซืออวี่ยกจอกของนางขึ้น แล้วดื่มสุราลงไป
ก่อนหน้านี้ ฉู่หนิงจูเปิดปากหนึ่งคำก็เรียกนางพี่หญิง บัดนี้ไม่ได้พบกันหลายปี ตัวตนของพวกนางได้เปลี่ยนไปแล้ว อีกทั้งพวกนางล้วนไม่ใช่หญิงสาวอีกต่อไป ลักษณะท่าทีย่อมเปลี่ยนไปด้วย นางเรียกมู่ซืออวี่ว่าพระชายาด้วยท่าทีสุภาพ แน่นอนว่ามู่ซืออวี่ย่อมรับน้ำใจไว้
หากอีกฝ่ายอยากเรียกนางว่าพี่หญิงเหมือนก่อนหน้านี้ นางก็ยอมรับเช่นกัน
“ได้ยินว่าพระชายามีบุตรธิดาสี่คน นอกจากธิดาคนโตที่แต่งงานไปเป็นฮองเฮาที่อาณาจักรเฟิ่งหลิงแล้ว ที่อยู่ข้างกายยังมีบุตรธิดาอีกสามคน ไม่รู้ว่าเป็นสามท่านใดเจ้าคะ?”
“ฉาวอวี่เจ้าเคยพบแล้ว” มู่ซืออวี่ชี้ไปทางลู่ฉาวอวี่ “ชิงเอ๋อร์และฉาวจิ่งระยะนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง”
“เช่นนั้นก็ช่างน่าเสียดายยิ่ง” ฉู่หนิงจูเอ่ย
ฉีซืออี้มองไปทางลู่ฉาวอวี่
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ลู่ฉาวอวี่นั้นโดดเด่นจริง ๆ
“นี่…” ฉีเว่ยฟางผลักฉีซืออี้
“เขาหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก” ฉีซืออี้โน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ หูของฉีเว่ยฟางแล้วกระซิบเบา ๆ
“ใต้เท้าลู่น้อย บุรุษที่หล่อเหลาที่สุดในเมืองหลวง ทุกคนล้วนรู้จักเขา หน้าตาดีก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาหรือ?”
“เจ้าไปคารวะสุราสิ”
“เหตุใดข้าต้องไป?”
“ฉีเว่ยเจี๋ยไปแล้ว เจ้าไม่ไปหรือ?” ฉีซืออี้กล่าว “หรือเจ้าอยากถูกบุตรนอกสมรสผู้นั้นข่มจริง ๆ?”
ฉีเว่ยฟางเห็นฉีเว่ยเจี๋ยเดินไปทางลู่ฉาวอวี่จึงเดินตามเขาไปอย่างไม่เต็มใจ
ผู้ใดบ้างไม่อยากประจบประแจงคนสกุลลู่? ขอเพียงได้เกาะคนสกุลลู่ อยู่ในราชสำนักย่อมประสบความสำเร็จมหาศาล
ฉู่หนิงจูพาลูกสาวของนางกลับมาที่นั่ง
“เมื่อครู่นี้เจ้ากล่าวอะไรกับน้องชาย?”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”
“แม้ข้าไม่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมองไม่เห็น”
“ท่านแม่ ท่านคุ้นเคยกับพระชายาลู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ฉีซืออี้เอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ท่านเคยอยู่ในเมืองหลวง คงรู้จักนางกระมัง?”
“รู้จัก” ฉู่หนิงจูกล่าว “เจ้าคิดจะวางแผนอะไร?”
“ใต้เท้าลู่หล่อเหลายิ่งนัก” ฉีซืออี้เหลือบมองไปทางลู่ฉาวอวี่
“เจ้า…” ฉู่หนิงจูขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ต้องคิดแล้ว”
“เหตุใดเล่าเจ้าคะ?”
“เป็นบุรุษจากสกุลลู่ไม่ได้” ฉู่หนิงจูกล่าว “เจ้ายังเล็ก อีกไม่กี่ปี ข้าจะหาคู่ครองดี ๆ ให้เจ้า”
“ในอาณาจักรฮุ่ยนี้ นอกเหนือจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ยังมีคู่ครองคนใดดีกว่าสกุลลู่อีกหรือเจ้าคะ?”
สิ่งสำคัญที่สุดคือใต้เท้าลู่น้อยหน้าตาหล่อเหลายิ่ง ตอนที่นางเห็นเขาครั้งแรก นางรู้สึกว่าหากได้แต่งงานกับเขา เช่นนั้นชีวิตของนางคงคุ้มค่าแล้ว
“ธรณีประตูสกุลลู่สูงลิ่ว พวกเราไม่อาจเอื้อม” ฉู่หนิงจูกล่าว “เจ้ารีบล้มเลิกความคิดเหล่านั้นเสีย ไม่เช่นนั้นผู้ที่ต้องทุกข์ใจที่สุดจะเป็นตัวเจ้าเอง”
“เจ้าค่ะ” ฉีซืออี้ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
งานเลี้ยงนี้ ทั้งแขกและเจ้าภาพล้วนสังสรรค์กันอย่างครื้นเครง
ในงานเลี้ยง ฮ่องเต้กล่าวยกย่องชมเชยฉีเจินต่อหน้าทุกคน สำหรับการที่เขาลำบากตรากตรำทำหน้าที่เป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งยังเลื่อนขั้นและมอบจวนแห่งใหม่ให้เขา
ทุกคนในสกุลฉีคุกเข่าลงขอบพระทัย
ฮูหยินผู้เฒ่าฉีเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุด เพราะหลายปีที่ผ่านมา สกุลฉีไม่ได้รับความสนใจเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ถึงแม้ฉีเซียวจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ทว่าก็ไม่ได้สร้างประโยชน์ใด ๆ ให้กับสกุลฉี เห็นได้ว่าสกุลฉียังคงต้องการจวนหลังใหญ่สักหลัง