สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 948 สถานการณ์ของนายท่านรองลู่
บทที่ 948 สถานการณ์ของนายท่านรองลู่
บทที่ 948 สถานการณ์ของนายท่านรองลู่
เหตุการณ์ทั้งสองด้านเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน
มู่ซืออวี่เชิญซูจือหลิ่วมาที่บ้านของนาง เทชาดอกจวี๋ฮวาให้แล้วนั่งลงข้าง ๆ
ซูจือหลิ่วเห็นว่าท่าทีของนางดูผิดแปลกไป ใบหน้าที่มักประดับด้วยรอยยิ้มก็หายไปแล้วเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? ท่านอย่าเป็นเช่นนี้เลย ข้าชักกลัวขึ้นมาแล้ว”
มู่ซืออวี่มองอีกฝ่าย “เรื่องที่ข้าจะบอกต่อไปนี้ เจ้าอย่าได้ตกใจไป เพียงแค่เตรียมใจให้พร้อม หากเจ้าพร้อมแล้วก็บอกข้า ข้าจะได้เข้าเรื่อง”
“ท่านบอกมาเถิด ไม่ว่าจะเป็นข่าวอะไร ข้าก็ไม่อยากชักช้าแล้ว เพียงแค่อยากรู้โดยเร็วที่สุด”
“นี่เกี่ยวกับสามีของเจ้า”
มู่ซืออวี่เล่าเรื่องสภาพร่างกายของลู่เซวียนให้อีกฝ่ายฟัง
ซูจือหลิ่วหยิบถ้วยชาขึ้นจิบด้วยนิ้วมือที่สั่นเทา เมื่อไม่รับรู้รสใด ๆ ทั้งสิ้น นางจึงวางกลับลงไป
“เขารู้หรือไม่?”
“พี่ชายเขาจะบอกเอง”
“เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร?”
“ที่จวนพวกเจ้าจะต้องมีปัญหาแน่ ในฐานะนายหญิงของบ้าน เจ้าหาตัวคนผู้นั้นออกมาเถอะ ต่อหน้าสามีเจ้า อย่าทำตัวเปราะบางจนเกินไป เจ้าต้องคอยปลอบใจเขา อย่าได้เพิ่มความกังวลใจให้เขา ข้าได้เขียนจดหมายถึงน้องสะใภ้อิ๋งจู๋แล้ว ทางนางจะต้องมีวิธีแก้ไขอย่างแน่นอน”
“ข้าฟังท่าน”
“ตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ซูจือหลิ่วคว้าแขนของมู่ซืออวี่มากอดไว้แล้วพิงไหล่นาง “ข้าจะต้องใจเย็น ท่านให้ข้ายืมไหล่ท่านพิงสักประเดี๋ยวเถอะ”
นับตั้งแต่มู่ซืออวี่กับซูจือหลิ่วพูดคุยกัน ซูจือหลิ่วแทบไม่ได้ออกจากจวน นางอยู่ที่จวนทั้งวัน หากไม่ดูแลเรือนก็ดูแลสุขภาพร่างกายให้ลู่เซวียนด้วยตนเอง
ข่าวจากหุบเขาเทพโอสถกลับมาอย่างรวดเร็ว
พวกเขาจัดเตรียมคนยี่สิบคนส่งมายังเมืองหลวง ประการหนึ่งมาเพื่อรักษาร่างกายของลู่เซวียน ประการที่สองเพื่อมาสั่งสมประสบการณ์ แน่นอนว่าเหตุผลหลักเป็นเพราะลู่อี้ทางนี้มีความเคลื่อนไหว อาจต้องใช้กำลังคน
ตามจดหมาย อีกฝ่ายกำลังเร่งเดินทาง ใช้เวลาสิบวันจึงจะมาถึงเมืองหลวง ภายในสิบวันนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ อย่าปล่อยให้ร่างกายของลู่เซวียนทรุดหนักไปมากกว่าเดิมและอย่าได้ถูกคนปองร้ายอีก
ณ จวนแม่ทัพฉี ฉู่หนิงจูและลูกสาวของนางรับรองแขกเหรื่อสตรี ขณะที่ฉีเจินและลูกชายของภรรยาเอกและลูกชายนอกสมรสรับรองแขกบุรุษที่มาแสดงความยินดีต่อพวกเขา
วันนี้เป็นวันที่แม่ทัพฉีและคนในสกุลย้ายเข้ามาอยู่ในจวนใหม่ จวนใหม่แห่งนี้ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ จึงมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของจวนเดิมก่อนหน้านี้ นอกจากฉีเจินกับภรรยาและลูก ๆ ที่อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าฉีและบ้านอื่น ๆ ในสกุลฉีก็ย้ายมาที่นี่แล้วเช่นกัน
“บ้านรองไม่ใช่ครอบครัวฉีป๋อเจวี๋ยหรือ?”
“ใช่น่ะซี”
“ฉีป๋อเจวี๋ยได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท่านป๋อ มีจวนแล้ว เหตุใดไม่ย้ายบ้านรองไปอยู่ที่นั่นเล่า?”
“ฮูหยินรองฉีคนปัจจุบันไม่ใช่มารดาแท้ ๆ ของท่านป๋อ นั่นเป็นฮูหยินคนใหม่ของนายท่านผู้เฒ่ารองฉี ฉีป๋อเจวี๋ยผู้เย็นชาห่างเหินเช่นนั้นจะอยู่ร่วมกับแม่เลี้ยงได้อย่างไรกัน?”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่า ท่านป๋อฉีหลายปีเพียงนี้ไม่แต่งงานมีลูก จวนฉีทางนั้นก็ไม่ได้ร้อนใจแม้แต่น้อย ที่แท้ไม่ได้ให้กำเนิดเองจึงไม่อาจห่วงใยเขาอย่างจริงใจได้”
“ท่านอยากตายหรือไร? เรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ก็กล้ากล่าวออกมาข้างนอก ด้วยนิสัยของนายท่านฉี แม้ฮูหยินรองฉีอยากทำดีกับเขา นางก็คงไม่มีโอกาสนี้กระมัง? ได้ยินว่าท่านป๋อฉีกับสกุลทางท่านลุงมีความสัมพันธ์ไม่เลวทีเดียว”
“อะแฮ่ม….” มู่ซืออวี่เดินผ่านมาพร้อมกับซูจือหลิ่ว
สตรีหลายคนที่พูดคุยกันอยู่เมื่อครู่นี้เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“คนเหล่านี้ไม่รู้จริง ๆ หรือว่ากำแพงมีหู”
“การนินทาเป็นธรรมชาติของมนุษย์” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไม่อาจโทษพวกเขา”
“จวนหลังนี้งามทีเดียว”
“ฝ่าบาทปรึกษาหารือกับท่านอ๋องลู่ของเรามานานแล้ว จวนในวังหลวงมีที่ว่างจำนวนมาก ที่นี่เป็นหลังที่ใหญ่ที่สุด จะไม่ดีได้หรือ?”
“ดูเหมือนฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับแม่ทัพฉีเจินทีเดียวนะเจ้าคะ!”
“แทนที่จะเห็นคุณค่าของแม่ทัพฉีเจิน ไม่สู้กล่าวว่าเห็นคุณค่าของทหารที่อยู่ข้างหลังจะเหมาะกว่า แม่ทัพฉีเจินอยู่ในสนามรบมาก็นานหลายปี ประสบความสำเร็จใหญ่หลวง หากไม่ตอบแทนอย่างดี นั่นจะไม่ทำให้ทหารที่อยู่ด้านหลังพระองค์หนาวเหน็บหัวใจหรือ?”
“กล่าวได้มีเหตุผล”
“หมู่นี้นายท่านรองเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าเก็บกวาดบ่าวรับใช้ในจวนแล้ว” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ขอเพียงพวกเขามีพิรุธ ข้าก็จะขายพวกเขาทั้งหมด เหลือไว้เพียงผู้ที่เชื่อใจได้”
“บางครั้งก็อย่าเชื่อเพียงสายตาตนเองอย่างมืดบอด คนที่เจ้าเชื่อใจ ไม่แน่ว่าอาจเป็นผู้ทรยศได้ เอาอย่างนี้ เพื่อความปลอดภัย บ่าวรับใช้ภายในจวนนั้นให้เปลี่ยนทั้งหมดเถิด แน่นอนว่าไม่อาจปฏิบัติต่อคนก่อนหน้าอย่างย่ำแย่ จัดพวกเขาไปไว้ที่จวนบนเขาก็พอแล้ว เจ้าเพิ่งซื้อจวนมาหลายที่ไม่ใช่หรือ มากเพียงนั้นก็ต้องมีคนดูแล หากผู้ใดมีปัญหา จะต้องเผยตนออกมาอย่างแน่นอน”
“เจ้าค่ะ”
“คำนวณเวลาดู อีกไม่กี่วันพวกเขาคงมาถึงแล้ว”
“หมอหลวงหลี่บอกว่าสามีของข้า ทางที่ดีไม่ควรดื่มสุราอีก โอกาสเช่นวันนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะควบคุมตนเองได้หรือไม่”
“หากเขาควบคุมไม่ได้ก็ยังมีพี่ใหญ่ของเขาอยู่ไม่ใช่หรือ?”
มู่ซืออวี่และซูจือหลิ่วเดินเล่นรอบจวนอยู่พักหนึ่ง หลังจากคำนวณดูก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว จึงจะกลับไปรวมตัวกับคนอื่น ๆ
ขณะที่เดินผ่านทะเลสาบ ทั้งสองก็หยุดฝีเท้าลง
ที่นั่นมีคนสองคนยืนอยู่
สองคนนั้นล้วนรู้จัก ผู้หนึ่งคือฉู่หนิงจู อีกผู้หนึ่งคือลู่เซวียน
มู่ซืออวี่หันกลับไปมองซูจือหลิ่ว
ซูจือหลิ่วบีบฝ่ามือแน่น นางหลุบตาลงแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
“ไปที่ใด? ฟังดูว่าพวกเขาจะพูดคุยอะไรกันเถอะ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าเชื่อพวกเขา เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วฟังสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันให้ชัดเจนเถอะ จะได้ไม่ต้องกลับไปคิดฟุ้งซ่านเพียงผู้เดียว พวกเจ้าล้วนแต่งงานกันมาหลายปี เขานิสัยอย่างไรยังไม่รู้หรือ?”
“แน่นอนว่าข้าเชื่อพวกเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฟังว่าพวกเขากล่าวอะไรกัน ไม่เช่นนั้นหากถูกพวกเขาพบเข้า พวกเราไม่กระอักกระอ่วนหรือ?”
“เจ้าไม่ฟัง แต่ข้าฟัง” มู่ซืออวี่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่มีทีท่าว่าจะจากไป
เรื่องที่ฉู่หนิงจูและลู่เซวียนพูดคุยกันนั้นไม่ได้ไม่สามารถให้ผู้อื่นฟังได้
เมื่อครู่นี้ลู่เซวียนเกือบหมดสติไป ทว่าฉู่หนิงจูบังเอิญผ่านมาจึงช่วยเรียกสติเขาไว้
ทั้งสองคนเป็นคนรู้ใจเก่า ความสัมพันธ์ยังค่อนข้างอึดอัดอยู่บ้าง พวกเขาไม่อยากให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ดังนั้นจึงหาสถานที่เงียบสงบมาพูดคุยกันสักสองสามคำ
ลู่เซวียนกล่าวขอบคุณฉู่หนิงจู
“ท่านเป็นลมอีกแล้วหรือ?” ซูจือหลิ่วได้ยินว่าลู่เซวียนเป็นลมก็ไม่สนใจว่าตนเองจะถูกจับได้อีกต่อไป นางรีบก้าวเข้าไปหาทันที “เป็นอย่างไรบ้าง? ไม่เช่นนั้น พวกเราไปหาหมอหลวงหลี่กันเถิด!”
“ข้าไม่เป็นไร” ลู่เซวียนคว้ามือซูจือหลิ่วมากุม แล้วเขี่ยจมูกนางเบา ๆ “เอาละ ไม่ต้องร้อนใจ ผ่อนคลายเถอะ”
“แต่…”
ฉู่หนิงจูมองทั้งสองคน แววตาเย้ยหยันปรากฏขึ้นมาชั่วขณะ
ลู่เซวียนยังคงเป็นลู่เซวียน ยังคงอ่อนโยนเช่นเคย ทว่าความอ่อนโยนที่นางเคยนึกถึงกลับแสดงต่อสตรีอื่นแล้ว
ฉู่หนิงจูรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย
นางเป็นอะไรไป?
เรื่องนั้นก็ผ่านมาหลายปี พวกเขาล้วนแก่แล้ว นึกไม่ถึงว่านางจะยังคงใส่ใจอยู่
“ฮูหยินฉี ขอบคุณเจ้าแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “น้องรองหมู่นี้เป็นไข้หวัด มักจะรู้สึกไม่ค่อยดี หากไม่ใช่เพราะเจ้า อาการของเขาคงจะทรุดลงแล้ว”
“เพียงแค่ต้องลมหนาวหรือ? เมื่อครู่นี้สีหน้าเขาดูน่ากลัวทีเดียว เชิญหมอหลวงมาตรวจดูให้ชัดเจนจะดีกว่า” ฉู่หนิงจูเอ่ย “ในเมื่อไม่เป็นไรก็ดีแล้ว หากเกิดอะไรขึ้น ข้าคงไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร!”