สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 949 ความขัดแย้งภายใน
บทที่ 949 ความขัดแย้งภายใน
บทที่ 949 ความขัดแย้งภายใน
“ในเมื่อไม่มีเรื่องใดแล้ว นายท่านรองก็กลับไปที่หอหมิงหนิงเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ยเตือน
หอหมิงหนิงเป็นสถานที่รับรองแขกบุรุษ
ลู่เซวียนจึงเอ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นข้ากลับก่อนแล้ว”
หลังจากลู่เซวียนจากไป ฉู่หนิงจูก็เอ่ยขึ้น “ข้าจะไปดูที่ห้องครัวเสียหน่อย พวกท่าน…”
“ท่านไปจัดการเถอะ พวกเราเพียงแค่เดินเล่นเท่านั้น สวนของท่านค่อนข้างงามทีเดียว ไม่ทันรู้สึกตัวก็มาถึงที่นี่เสียแล้ว”
“พูดถึงสวนแล้ว อันที่จริงข้ายังอยากจะรบกวนพระชายาบางอย่าง” ฉู่หนิงจูเอ่ย “ข้าคิดจะปรับเปลี่ยนสวนใหม่ พระชายาเชี่ยวชาญด้านนี้ ไม่รู้ว่ามีคำแนะนำใดหรือไม่?”
“วันนี้วุ่นวายเกินไป เช่นนั้นวันหลังค่อยพูดคุยกันเถิด” มู่ซืออวี่เอ่ย “เรื่องเช่นนี้ไม่อาจอธิบายได้ชัดเจนเพียงสองสามประโยค”
“ได้ เช่นนั้นข้าต้องรบกวนวันหลังแล้ว”
หลังจากฉู่หนิงจูไปแล้ว ซูจือหลิ่วก็มองตามเงาร่างนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “พวกท่านสุภาพใส่กันเช่นนี้ ข้าไม่ชินเอาเสียเลย ก่อนหน้านี้พวกเราเคยแลกเปลี่ยนจดหมายกัน ตอนนั้นยังไม่รู้สึกห่างเหินเช่นนี้”
“หลายปีมานี้ไม่ได้พบกัน เกิดหลาย ๆ อย่างขึ้น สถานะของเราก็เปลี่ยนไป จะใกล้ชิดกันดังแต่ก่อนได้อย่างไร ถึงแม้นางยินดี เจ้าจะไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนหรือ? เรื่องเมื่อครู่นี้ เจ้าเห็นแล้วเหตุใดต้องซ่อนตัวเล่า? หรือไม่ใช่เพราะเจ้ากำลังกังวลอะไร?” มู่ซืออวี่เอ่ยแทงลงกลางใจซูจือหลิ่ว “ในชีวิตของเราจะต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย ระหว่างทางย่อมมีบางคนแยกย้ายกันไป หากยังสนิทสนมกันได้ก็ดีมากแล้ว สนิทสนมกันเพียงผิวเผินก็นับว่าสนิทสนมกัน เหตุใดต้องโลภมากเพียงนั้น”
“ร่างกายท่านพี่…”
“ไม่ต้องกังวล จะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน เพียงแค่รออีกสองสามวัน”
มู่ซืออวี่และซูจือหลิ่วเดินเล่นไปรอบ ๆ จากนั้นก็กลับไปที่สวนซึ่งเป็นที่รับรองแขกสตรี
เมื่อฮูหยินคนอื่น ๆ เห็นพวกนางกลับมาก็มอบที่นั่งสำคัญให้ทั้งคู่
“ละครเรื่องนี้ค่อนข้างดีทีเดียว” ฮูหยินผู้เฒ่าโม่เอ่ย “พวกท่านไม่ฟังงิ้ว ไปที่ใดมาหรือ?”
“เดินเล่นรอบ ๆ น่ะ สัดส่วนของจวนหลังนี้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว ข้าจึงสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย”
“นิสัยนี้ของท่านผ่านไปกี่ปีล้วนเป็นเช่นเคย ยามเห็นบ้านเรือนใหม่ ๆ ก็มักจะศึกษาการวางสัดส่วนบ้านของผู้อื่นเสมอ” ฮูหยินผู้เฒ่าโม่หัวเราะน้อย ๆ
ฉีซืออี้และพี่หญิงน้องหญิงหลายคนพูดคุยหัวเราะกัน
นางเพิ่งมายังเมืองหลวง ไม่มีสหายที่รู้จักมักคุ้น งานเลี้ยงครั้งนี้เป็นโอกาสให้นางได้ทำความรู้จักกับสหาย
คุณหนูผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายล้วนอยู่ในแวดวงเดียวกัน ปกติมักจะทะนงตน หากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันกับทุกคน นางย่อมสามารถหลอมรวมเข้าสู่แวดวงนี้ได้เร็วขึ้น
“นั่นผู้ใดหรือ?” ฉีซืออี้ถามหยางเข่อเจีย คุณหนูภรรยาเอกของจวนหยางกั๋วกงน้องหญิงคนใหม่ของนาง
หยางเข่อเจียเหลือมองแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “พี่หญิงหลี่เยียนหรานแห่งจวนเสนาบดีหลี่”
“เหตุใดนางดูไม่มีความสุขถึงเพียงนั้น? ข้ารับรองนางไม่ดีพอหรือ?” ฉีซืออี้รู้สึกงุนงง
“ได้ยินว่าที่จวนกำลังหารือกันเรื่องงานแต่งงานของนาง” หยางเข่อเจียกระซิบเสียงเบา “ทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดีว่านางต้องตาใต้เท้าลู่น้อย เพียงแต่ใต้เท้าลู่น้อยเสมือนกับเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ ไม่ใช่ผู้ที่คนธรรมดาอย่างเราจะแตะต้องได้ ฮูหยินหลี่ไม่ได้สนใจว่านางจะร้องไห้โวยวายเพียงใด ตอนนี้กำลังหารือเรื่องการแต่งงานกับฮูหยินอีกหลายท่านแล้ว”
“ใต้เท้าลู่น้อย…” ฉีซืออี้เหลือบมองหลี่เยียนหรานอีกสองสามครั้ง
หลี่เยียนหรานนับได้ว่าสะสวย เพียงแต่ไม่ได้โดดเด่นมากมาย อย่างน้อยในความคิดของฉีซืออี้ รูปร่างหน้าตาของตนก็ดียิ่งกว่านาง
“ใต้เท้าลู่น้อยอายุอานามไม่น้อยแล้ว เหตุใดยังไม่หมั้นหมายเล่า? หรือว่าเขามีคนรักแล้ว?”
“มีสิ!”
ฉีซืออี้ “…”
ก่อนหน้านี้เคยได้ยินพระชายาลู่เอ่ยถึงแล้ว เพียงแต่นางยังไม่คิดยอมแพ้ ยังคิดจะสอบถามดูอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่า…
เป็นดังคาด เขาโดดเด่นถึงเพียงนั้น จะไม่มีคนรักได้อย่างไร?
เพียงแต่อายุวัยนี้ยังไม่ได้แต่งงาน หรือว่าคนรักผู้นั้นมีปัญหาอะไร?
“คนรักของเขาก็คือคดีของเขานั่นแล” หยางเข่อเจียเอ่ย “ท่านอย่าได้เห็นว่าเขาหน้าตาหล่อเหลา มีสกุลรุนชาติ ทั้งยังเก่งกาจไปเสียทุกอย่าง เพราะอย่างไรเขาก็เหมือนกับพระพุทธเจ้าในวัดนั่นแหละ มีใจเพียงจะช่วยเหลือผู้คน ไม่มีใจจะใช้ชีวิตบนโลกนี้”
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ก็น่าขันเกินไปแล้ว” ฉีซืออี้ปิดปากด้วยผ้าเช็ดหน้า แล้วหัวเราะเบา ๆ
คุณหนูผู้สูงศักดิ์สองคนเดินไปหาหลี่เยียนหราน
คุณหนูผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “เยียนหราน พี่ชายข้าก็นิสัยไม่เลวทีเดียว เจ้าอย่าได้ทุกข์ใจไปเลย”
หลี่เยียนหรานขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้ทุกข์ใจ”
“ยังจะปฏิเสธอีก ดูสีหน้าอึมครึมนี้ของเจ้าสิ หากไม่รู้ยังจะคิดว่าเป็น…” คุณหนูผู้นั้นนั่งลงข้างนาง “จิตใจของเจ้า ทุกคนล้วนรู้ดี แม่เจ้าก็สู้เพื่อเจ้าแล้ว เพียงแต่ไม่สำเร็จก็คือไม่สำเร็จ เจ้าอย่าได้ดื้อรั้นไปเลย”
คุณหนูอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้า “ใช่แล้ว!”
“เมื่อใดลู่จื่อชิงจะกลับมาเมืองหลวง?”
พี่หญิงน้องหญิงทั้งสอง “…”
นางชอบลู่ฉาวอวี่หรือลู่จื่อชิงกันแน่?
หลายปีเพียงนี้ หลี่เยียนหรานกับลู่จื่อชิงสนิทสนมกันบ้างแล้ว
จู่ ๆ ไกลออกไปก็มีเสียงทะเลาะกันดังแว่วมา
ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียงที่กำลังโหวกเหวกโวยวาย
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉู่หนิงจูเดินเข้ามา
จากนั้นจึงพบสตรีผู้หนึ่งนอนอยู่บนพื้น หว่างขามีเลือดไหลออกมา คนอีกผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้านางอย่างโง่เขลา สีหน้าดูหวาดกลัว
“ข้าไม่ได้แตะต้องนาง…”
ฮูหยินผู้เฒ่าโม่เห็นฉากนี้ สีหน้าพลันไม่น่าดูชมขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น?” หญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นลูกสะใภ้ของฮูหยินผู้เฒ่าโม่ หรือก็คือภรรยาของโม่ชิงเหยียน
ส่วนผู้ที่นอนอยู่บนพื้นคือภรรยาของเจียงหว่านเฉิน
ยามนี้เจียงหว่านเฉินเข้ามารับตำแหน่งต่อจากบิดาของเขาและกลายเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม
บัดนี้ผู้หนึ่งยืนอยู่ อีกผู้หนึ่งนอนอยู่ อีกทั้งฮูหยินของเจียงหว่านเฉินเห็นได้ชัดว่ากำลังตั้งครรภ์ บัดนี้กลับมีเลือดออก นี่เป็นสัญญาณของการตกเลือด
“เมื่อครู่นี้ฮูหยินสองท่านนี้ทะเลาะกันเล็กน้อย จากนั้นฮูหยินโม่ก็ผลักฮูหยินเจียง”
“เหลวไหลทั้งเพ!” ฮูหยินผู้เฒ่าโม่โมโห “รีบเชิญท่านหมอมาเร็วเข้า”
ท่านหมอรุดมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงทำการฝังเข็มให้ฮูหยินเจียงตรงนั้น
“เด็กคนนี้เกรงว่า…” ท่านหมอส่ายหัว “ไม่มีวิธีช่วยเอาไว้แล้ว”
มารดาของเจียงหว่านเฉิน หรือก็คือฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเมื่อครู่ไปเข้าห้องสุขา พอกลับมาก็ได้ยินข่าวนี้ นางจึงหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าโม่ด้วยความโกรธทันที
“สกุลเจียงของพวกเราดูเหมือนจะไม่ได้ล่วงเกินสกุลโม่ของพวกท่านกระมัง? ผู้ใดไม่เห็นว่าลูกสะใภ้ของข้ากำลังตั้งครรภ์บ้าง ยังจะรีบร้อนเดินเข้ามาผลักนางอีก? นี่จงใจทำให้สกุลเจียงเราขาดทายาทหรือ!”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ท่านอย่าเพิ่งโมโห พวกเรามาพูดกันให้ชัดเจนก่อนเถิดแล้วค่อยว่ากัน…”
“พูดคุยให้ชัดเจนอะไร? ไม่ว่าจะพูดชัดเจนเพียงใด ลูกสะใภ้ข้าเสียลูกไปก็เป็นความจริงไม่ใช่หรือ? หลานชายที่สกุลเจียงเราได้มาอย่างยากลำบากไม่อยู่แล้ว นี่เป็นความจริงไม่ใช่หรือ?”
ฉู่หนิงจูพยายามคลี่คลายสถานการณ์ “ตอนนี้ช่วยรักษาฮูหยินเจียงก่อนเถิด คงไม่อาจปล่อยให้นางนอนอยู่ตรงนี้กระมัง มิเช่นนั้นจะไม่ดีต่อสุขภาพ ในฐานะเจ้าบ้าน ข้าไม่ได้ดูแลฮูหยินเจียงให้ดี ข้าก็มีความผิดเช่นกัน”
“ฮูหยินฉี เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน เมื่อครู่พวกเขาบอกแล้ว ทั้งสองคนมีเรื่องไม่ลงรอยกัน โต้เถียงกันไม่กี่คำ ไม่ว่าจะทะเลาะเพียงใด นั่นก็ไม่อาจลงมือ!” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเอ่ยอย่างเยือกเย็น “เรื่องนี้สกุลเจียงเรากับสกุลโม่ของพวกท่านไม่จบง่าย ๆ แน่”
“ฮูหยินทั้งสองท่านใจเย็นก่อนเถิด” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นมา “ฮูหยินฉีกล่าวไม่ผิด ยามนี้พาฮูหยินเจียงไปรักษาก่อน ไม่ว่าอย่างไร สุขภาพของผู้ใหญ่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เรื่องอื่น พวกท่านค่อยนั่งลงพูดจากัน”
ที่นี่มู่ซืออวี่มีศักดิ์สูงสุด หากนางไม่ออกหน้าคงไม่ดี แน่นอนว่าทั้งสองสกุลมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง นางย่อมไม่เข้าข้างผู้ใดจึงทำได้เพียงแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อน