สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 954 สกุลสิง
บทที่ 954 สกุลสิง
บทที่ 954 สกุลสิง
รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าร้านขายเต้าฮวย
แม่นมเฒ่าผู้หนึ่งลงมาจากรถม้าและเดินไปยังร้านขายเต้าฮวย
“คุณหนูห้า” แม่นมเฒ่าค้อมคำนับสิงเจียซือ
เมื่อสิงเจียซือเห็นแม่นมเฒ่า สีหน้านางพลันเย็นชาขึ้นมา “ท่านจำคนผิดแล้ว”
เสียงแก่ ๆ ดังขึ้นมาจากรถม้า “หลายปีนี้เจ้าบ้ามามากพอแล้ว ยามนี้แม้กระทั่งตัวตนของตนเองก็จำไม่ได้หรือ?”
สิงเจียซือเอ่ยอย่างเย็นชา “นับตั้งแต่เท้าข้าออกจากสกุลสิงมา ข้าก็ไม่ได้เป็นคนสกุลสิงอีกต่อไปแล้ว”
“เว้นเสียแต่เจ้าจะกรีดเลือดทั้งร่างออกมา อย่างไรเจ้าก็ยังเป็นคนสกุลสิงเรา”
ฮูหยินผู้เฒ่าสิงเดินลงมาจากรถม้า ก่อนจะจ้องมองสิงเจียซือด้วยสายตาเข้มงวด
สิงเจียซือลุกขึ้นยืนทันที นางไม่แสดงท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อย “เช่นนั้นท่านก็ฆ่าข้าเสียสิ!”
ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ “ถึงแม้คุณหนูสิงจะแซ่สิง ในร่างกายก็มีเลือดสกุลสิงไหลเวียน ทว่าหากสกุลสิงฆ่าคนตรงหน้าข้าจริง ๆ เช่นนั้นข้าก็สามารถจับกุมฆาตกรส่งไปประหารชีวิตได้ทันที”
“ใต้เท้า” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงกล่าว “นี่เป็นเรื่องภายในบ้านเรา ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องข่มขู่ พยัคฆ์ร้ายไม่กินลูกตนเอง พวกเราย่อมไม่ทำร้ายลูกหลาน”
สิ้นคำก็หันไปเอ่ยกับสิงเจียซือ “หลายปีมานี้เจ้าบ้า ๆ บอ ๆ ผู้เฒ่าผู้นี้ก็ปล่อยให้เจ้าบ้า ถือเสียว่าก่อนหน้านี้ข้าติดค้างเจ้าจึงปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระ เพียงแต่ตอนนี้เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ควรคิดเรื่องแต่งงานเสียที”
“นั่นเป็นเรื่องของข้า”
“นั่นเป็นเรื่องของสกุลสิง”
“ข้าออกจากสกุลสิงมานานแล้ว”
“ต่อให้เจ้าออกจากสกุลสิง เจ้าก็ยังเป็นสตรีสกุลสิง การแต่งงานของเจ้าย่อมต้องให้ผู้อาวุโสตัดสินใจ”
“ข้ากับน้องชายตระเวนไปทุกหนแห่งมานานหลายปี ข้าไม่เห็นว่าท่านอยากจะตัดสินใจแทนเรา ยามนี้ท่านกลับร้อนรนอยากตัดสินใจแทนข้า หรือคิดว่าข้าจะขายได้ราคาดีจึงคิดจะใช้แลกกับผลประโยชน์บางอย่าง?”
“เจ้า… เจ้าคนเนรคุณ!”
“แม่นางสิง…” ลู่ฉาวอวี่เรียกนาง “เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมที่ภัตตาคาร ข้าต้องพาเจ้ากลับไปสอบสวน”
“ใต้เท้า นางเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จะเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมได้อย่างไร?” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงไม่พอใจ “แม้ใต้เท้าคิดจะพานางไป นั่นก็ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างเช่นนี้”
“หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อ เช่นนั้นก็มากับเราเถอะ ดูว่าข้าจะพานางไปไต่สวนที่กรมอาญาหรือไม่” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยเสียงราบเรียบ “หากท่านยังไม่เชื่อ สามารถเข้าร่วมการพิจารณาคดีได้ และหากสกุลสิงต้องการไถ่ถอนตัวนางออกไปก็สามารถทำได้เช่นกัน”
สิ้นคำ ลู่ฉาวอวี่ก็เอ่ยกับผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองที่อยู่ข้าง ๆ “พาแม่นางสิงไป”
รถม้าสกุลสิงตามมาด้านหลังดังคาด
ลู่ฉาวอวี่พาสิงเจียซือกลับไปยังกรมอาญา
“ใต้เท้า รถม้าสกุลสิงไปแล้วขอรับ”
“เรื่องเมื่อครู่นี้ขอบคุณใต้เท้ามาก” สิงเจียซือเอ่ย “ข้ารบกวนท่านอีกแล้ว”
“เจ้ากับน้องชายออกจากเมืองหลวง ห่างเหินจากสกุลสิงเพราะจิตใจบอบช้ำ ทว่าในความเป็นจริง ทะเบียนบ้านของพวกเจ้าพี่สาวน้องชายยังอยู่ในสกุลจึงยังนับว่าเป็นคนสกุลสิง หากสกุลสิงให้พวกเจ้ากลับไป พวกเจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธ ต่อจากนี้เจ้าจะทำอย่างไร? การหลบลี้หนีหน้าหรือการเผชิญหน้ากับพวกเขาตรง ๆ ล้วนไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา อย่างไรเจ้าก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
“ใต้เท้า เรื่องในตอนนั้นท่านก็กระจ่างแก่ใจ ครอบครัวเช่นนั้นข้าไม่อยากกลับไป” สิงเจียซือเอ่ย “ข้าจะออกจากเมืองหลวงทันที หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภายหน้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ขอเพียงข้าและน้องชายไม่กลับมา พวกเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ ข้ามั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือการที่พวกเขามาหาข้าไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน”
หากเป็นห่วงกันจริง ๆ คงไม่รอกระทั่งถึงบัดนี้ ที่พวกเขาบอกว่าเป็นห่วงนั้น อันที่จริงก็แค่หน้าซื่อใจคด
“ได้ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่รบเร้าเจ้าอีก หากภายหน้าเจ้ามีปัญหาอะไร สามารถใช้ป้ายนั้นขอความช่วยเหลือจากกิจการสกุลลู่ของเราได้”
“ใต้เท้า ข้าไม่รู้ว่าควรตอบแทนความดีของท่านอย่างไรจริง ๆ”
“เจ้าก็ช่วยข้าไม่น้อยเช่นกัน หากเจ้ารู้สึกติดค้าง ภายหน้ามีสิ่งใดน่าสนใจก็เขียนจดหมายถึงข้าได้เช่นเคย หรือหากพบเจอหินที่น่าสนใจก็ให้คนนำมาให้ข้าดังแต่ก่อนได้เช่นกัน”
“ขอบคุณใต้เท้า”
ลู่ฉาวอวี่ให้จางอี้ไปส่งสิงเจียซือ
สิงเจียซือหันกลับมามองเงาร่างของลู่ฉาวอวี่ทุก ๆ ก้าวที่เดินจากไป
นางไม่รู้ว่าเหตุใด ภายในใจจึงรู้สึกฝาดเฝื่อนยิ่งนัก
ในสายตาของนาง ลู่ฉาวอวี่เป็นดั่งดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนฟากฟ้ายามราตรี ทั้งกระจ่าง บริสุทธิ์ และไกลเกินเอื้อม
หลายปีมานี้ ในความทรงจำของนางมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจไขว่คว้ามาได้ นางไม่กล้าทำให้เขาแปดเปื้อน รู้สึกว่ามีสหายเช่นนี้ก็ดีมากพอแล้ว
“แม่นางสิง หากตัดใจไม่ได้ เช่นนั้นก็อย่าไปเลยขอรับ” จางอี้เอ่ย “ข้างกายใต้เท้าพวกเราก็ไม่มีแม่นางคนอื่น มีเพียงท่านที่สามารถพูดคุยกับเขาได้ หากท่านไปแล้ว เขาจะโดดเดี่ยวเพียงใดกัน! ”
ใบหน้าของสิงเจียซือทอสีแดงเรื่อขึ้นมา
“ท่านอย่ากล่าววาจาเลื่อนเปื้อนไป โชคดีที่ที่นี่ไม่มีผู้อื่น มิเช่นนั้นจะไม่เข้าใจผิดกันหรือ?”
“ข้าไม่ได้กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนนะขอรับ ทุกสิ่งที่ข้ากล่าวล้วนเป็นความจริง” จางอี้เอ่ย “ใต้เท้าของเราหน้าตาหล่อเหลา แต่กลับไม่ค่อยยิ้มแย้ม ไม่เพียงไม่ยิ้มเท่านั้น กระทั่งนักโทษเหล่านั้นยามเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขายังถึงกับกลัวจนฉี่ราดกางเกง หลายปีมานี้สตรีที่แสดงท่าทีพึงใจต่อเขาไม่ใช่ไม่มี มิหนำซ้ำยังมีมากเกินไปด้วย ทว่าไม่มีแม้เพียงคนเดียวที่กล้ายืนใกล้เขาเกินสามก้าว”
สิงเจียซือพลันนึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา “ใต้เท้าลู่น้อยน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ? ข้าว่าเขาอ่อนโยนทีเดียว!”
“อ่อนโยนหรือ? ท่านเป็นสตรีคนแรกที่บอกว่าเขาอ่อนโยน”
“ถึงแม้ใต้เท้าจะไม่ชอบยิ้มแย้ม ทว่าคำพูดคำจาของเขากลับอ่อนโยน แววตาก็อ่อนโยนมากเช่นกัน” สิงเจียซือกล่าว “คราก่อนข้าอยู่ในชนเผ่าคนป่า ผู้คนที่นั่นไม่เชื่อวิชาแพทย์ ทว่าเชื่อใน ‘เทพแห่งแผ่นดิน’ เท่านั้น ไม่ว่าป่วยเป็นอะไรล้วนกินดินดำชนิดหนึ่ง เด็กหญิงตัวน้อยผู้หนึ่งป่วย มีของบางอย่างอยู่ในท้อง ท้องจึงนูนใหญ่เป็นพิเศษ ใต้เท้ายังแนะนำให้พวกเขารักษาด้วยวิธีปกติอย่างอดทน ทั้งยังให้ท่านหมอในขบวนตรวจรักษาให้ชาวบ้านเปล่า ๆ ด้วย”
“ที่ท่านกล่าวถึงเป็นใต้เท้าของเราจริง ๆ หรือ? ครานั้นข้ามีเรื่องต้องจัดการจึงไม่ได้ไป ได้ยินเพียงสหายกลับมาเล่าว่าใต้เท้าพบเจออันตรายบางอย่าง โชคดีที่แม่นางมาช่วยทันจึงไม่ได้ถูกคนในชนเผ่ากิน”
สิงเจียซือนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น
ครั้งนั้นลู่ฉาวอวี่ได้รับบาดเจ็บ คนของเขาไม่ปฏิบัติตามแผนการเดินทางที่วางไว้ หลังจากนั้นจึงพลัดหลงกันไป
พอดีกับยามนั้นนางและสหายคนอื่น ๆ ผ่านมา จึงช่วยเขาเอาไว้
สิงเจียซือพึมพำกับตนเอง “ใต้หล้านี้กว้างใหญ่ มีชนเผ่ามากมายเพียงนั้น เหตุใดข้าจึงพบเขาอยู่ร่ำไปเล่า?”
“แม่นางสิง… แม่นางสิง…”
“อ๊ะ?” สิงเจียซือรู้สึกตัวจึงกล่าว “ขออภัย ข้ากำลังนึกถึงเรื่องอื่นอยู่ ท่านไม่ต้องส่งแล้ว ข้ายังมีสหายคนอื่น ๆ อีก ตอนนี้ข้าจะเดินเที่ยวเล่นรอบเมืองหลวงกับพวกเขาสักหน่อย”
“เช่นนั้นข้าไม่ส่งแล้ว”
สิงเจียซือกล่าวขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นจึงตรงไปยังเรือนที่นางอาศัย
อย่างไรก็ตาม…
ทั่วทั้งเรือนกลับว่างเปล่า
ไม่เพียงว่างเปล่าเท่านั้น แต่ยังมีร่องรอยของการต่อสู้ที่นั่น หมายความว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน ที่นี่ได้เปิดฉากการต่อสู้ขึ้นแล้ว
สิงเจียซือเปิดประตูออก จึงเห็นรถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่ตรงนั้น ภายในรถม้ามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่
“ขึ้นรถ” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงเอ่ยเสียงเย็น