สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 96 ต้องการอะไรกันแน่
บทที่ 96 ต้องการอะไรกันแน่
บทที่ 96 ต้องการอะไรกันแน่
หลังจากได้ยินคำพูดของถังเหยียนจื้อแล้ว มู่ซือเจียวและแม่เฒ่าเจียงก็แสดงสีหน้าพิลึกพิลั่นออกมา
“เจ้าบอกว่า… มู่ซืออวี่นังชั่วคนนั้น… ขายหมูตุ๋นให้ร้านอาหาร วันหนึ่งมีรายได้หลายร้อยอีแปะงั้นรึ?”
แม่เฒ่าเจียงรู้สึกราวกับว่านางหูฝาดไป ไม่เช่นนั้นจะได้ยินคำพูดน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ถูกแล้ว พวกท่านไม่รู้หรือ?” ถังเหยียนจื้อแปลกใจ
มู่ซือเจียวเหลือบมองแม่เฒ่าเจียงอย่างตัดพ้อต่อว่า
“ข้าอยู่สกุลหลี่ แน่นอนว่าไม่รู้ เหตุใดท่านย่าถึงไม่พูดอะไรเลย?”
“ใครจะสนใจว่านางจะทำอะไร?” แม่เฒ่าเจียงปากแข็ง
อย่างไรนางก็ควบคุมมู่ซืออวี่ไม่ได้แล้ว
“เช่นนั้นท่านอยาก…”
ถังเหยียนจื้อยิ้มแย้ม “ข้าเป็นตัวแทนของเถ้าแก่ภัตตาคารหมายเลขหนึ่งมาต่อรองการค้า ภัตตาคารหมายเลขหนึ่งยินดีซื้อหมูตุ๋นของนางด้วยราคาที่สูงกว่า”
มู่ซือเจียวเบ้ปาก “แล้วเกี่ยวอันใดกับข้า?”
“เจียวเอ๋อร์…” ถังเหยียนจื้อมองอีกฝ่ายอย่างลุ่มหลง “ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า แต่เกี่ยวกับข้า ข้าทำการค้าร่วมกับภัตตาคารหมายเลขหนึ่ง ในเมื่อรับภาระหน้าที่นี้มาแล้วก็อยากจะทำออกมาให้ดี”
มู่ซือเจียวแทบทนสายตาเร่าร้อนของถังเหยียนจื้อไม่ไหว นางก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
“แต่ว่า… นางไม่ฟังคำข้าแล้วน่ะสิ”
“แต่ก่อนเคยได้ยินว่าซืออวี่เชื่อฟังท่านย่าที่สุด หากมีท่านย่าคอยชักใยจะต้องราบรื่นขึ้นแน่” ถังเหยียนจื้อเอ่ยกับแม่เฒ่าเจียง
แม่เฒ่าเจียงทำหน้าพิลึกกึกกือ
เชื่อฟังนางที่สุด?
นั่นมันเมื่อก่อน ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะไม่ได้มาที่หมู่บ้านของพวกเขาเสียนาน ถึงได้ไม่รู้ว่าทิศทางลมของหมู่บ้านว่าเปลี่ยนไปนานแล้ว
แล้วนางควรทำอย่างไรดี เมื่อครู่เพิ่งรับของกำนัลจากคนอื่นเขา หากปฏิเสธออกไปในตอนนี้ เกรงว่าจะล่วงเกินคนแล้ว
….
มู่ซืออวี่ตากเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เช็ดมือให้แห้ง และพูดกับลู่ฉาวอวี่ว่า “เตรียมพร้อมหรือยัง? ข้าจะลองบรรยายให้พวกเจ้าฟังก่อน หากพวกเจ้ารู้สึกว่าไม่เข้าทีก็ลองเปลี่ยนดู”
เดิมทีอยากทำงานกับลู่เซวียน เพราะในเมื่อเปลี่ยนเป็นลู่ฉาวอวี่ ก็ไม่อาจเล่าเรื่องราวรัก ๆ ใคร่ ๆ อะไรเทือกนั้นได้ นางคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายจึงเล่าเรื่องราวการแก้แค้นเรื่องราวหนึ่งแทน
“ถังอวี้และถังชิงเป็นบุตรชายของท่านผู้นำแห่งป้อมปราการตระกูลถัง ทั้งสองคนอาศัยอยู่ในป้อมปราการตระกูลถังด้วยกัน พวกเขาเป็นอิสระไร้กังวลใด ๆ ห่างไกลจากเรื่องทางโลก ทว่าในราตรีที่พระจันทร์ไร้แสง สายลมโหมกระหน่ำ ชายในชุดดำกลุ่มหนึ่ง…”
ลู่เซวียนนั่งอยู่ข้างประตูหน้าต่าง ได้ยินเสียงดังเข้ามาจากในลาน ความคิดของเขาหลุดลอยไกลออกไป
พี่น้องสองคนมีอิสระ ไร้กังวลใด ๆ ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลก ทั้งยังเป็นพี่น้องกัน… เรื่องนี้มันก็เหมือนเขาและพี่ชาย
เขาฟังราวกับต้องมนต์สะกดอยู่ครู่หนึ่ง
เด็กทั้งสามก็รู้สึกพิศวงเช่นเดียวกัน
ทันทีที่ได้ยินว่าพี่น้องทั้งสองเห็นคนในครอบครัวถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ก็ยกมือขึ้นปิดปากคนแล้วคนเล่า แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
สีหน้าของลู่เซวียนซีดเผือด
นี่….
เขาและพี่ชายของเขาก็เห็นกลุ่มโจรเข้ามาบุกปล้นบ้านเดิมของพวกเขาต่อหน้าต่อตาเช่นกัน ทั้งยังฆ่าบิดามารดาที่พวกเขารักอีก
“เรื่องเล่านี้… ข้าจะเขียนเอง” เสียงของลู่เซวียนลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
มู่ซืออวี่เพิ่งกล่าวถึงซิงชี ครั้นได้ยินลู่เซวียนพูดขึ้นเช่นนี้ก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ “ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่เขียนหรือ? ข้ายังอยากให้ฉาวอวี่เขียนอยู่เลย!”
“ท่านเปลี่ยนให้เขาเขียนอีกเรื่อง เรื่องนี้ข้าจะเขียน” ลู่เซวียนหลุบตาลง
เขาอยากรู้ว่าต่อมาเด็กหนุ่มสองคนนั้นเป็นเช่นไร
มู่ซืออวี่เพียงแค่เลือกเรื่องเล่ามาสักเรื่องลวก ๆ นึกไม่ถึงว่าจะไปทับซ้อนกับลู่เซวียน คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ
แต่เมื่อมานึกใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว เรื่องเล่านี้ราวกับถูกถักทอมาเพื่อพวกเขาสองพี่น้อง ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเขาถึงหวั่นไหว
“นังหนูอวี่ อยู่บ้านหรือไม่?” น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นมาจากประตู
มู่ซืออวี่ไม่ได้ยินชื่อเรียกนี้มานานแล้ว ผู้คนในหมู่บ้านเรียกนางว่าสะใภ้ใหญ่ลู่ ภรรยาลู่อี้ หรือไม่ก็เรียกแม่ฉาวอวี่ แม่อวิ๋นเอ๋อร์ มีเพียงแม่เฒ่าเจียงที่เรียกนางว่านังหนูอวี่
ลู่ฉาวอวี่ก้าวไปเปิดประตู
ครั้นเห็นรอยยิ้มซีดเซียวบนใบหน้าแก่ ๆ ของแม่เฒ่าเจียงแล้ว ถึงแม้เขาจะทำตัวแก่แดดแก่ลมไปบ้างก็ยังรู้สึกอับจนปัญญา
เขาหันหน้าไปพูดกับมู่ซืออวี่ “แม่มู่ต้าซานมาหา”
มู่ซืออวี่ “…”
ดูเรียกเข้า ช่างกระชับรัดกุม มองปราดเดียวก็รู้ได้ สมกับเป็นลักษณะเฉพาะตัวของลู่ฉาวอวี่จริง ๆ
แม่เฒ่าเจียงเบะปาก เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ข้าเป็นย่าของแม่เจ้า เจ้าควรเรียกข้าว่าย่าใหญ่สิ ไร้มารยาทจริง ๆ!”
“มีเรื่องอะไร?” มู่ซืออวี่เดินออกมายืนแทนที่เดิมของลู่ฉาวอวี่
คนในครอบครัวลู่ล้วนไม่อยากให้แม่เฒ่าเจียงก้าวเข้าไปในบ้านของพวกเขา ไม่แม้แต่อึดใจเดียว ดังนั้นจึงต้องคุยอยู่ตรงประตู
“เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”
แม่เฒ่าเจียงคิดจะเข้าไปด้านใน
“คุยกันตรงนี้แหละ” มู่ซืออวี่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามา
แม่เฒ่าเจียงไม่พอใจ “อย่างไรข้าก็เป็นย่าของเจ้า ตอนเจ้ายังเล็กก็เป็นข้าที่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเจ้า นี่เจ้าอยากจะเด็ดบัวไม่เหลือใยงั้นรึ?”
“ไม่ผิด เด็ดบัวไม่เหลือใยเป็นคำยาก แต่ท่านยังรู้จักใช้ ดูเหมือนคนที่เรียกท่านมาจะขบคิดเป็นอย่างดี” มู่ซืออวี่พูดเรียบ ๆ “บอกจุดประสงค์มาตรง ๆ เถอะ!”
“เจ้าพูดอะไร? ข้าฟังไม่เข้าใจ ไม่มีใครให้ข้ามาทั้งนั้นแหละ” แม่เฒ่าเจียงเฉไฉหลบสายตา
มู่ซืออวี่ร้องเหอะเหอะออกมาสองเสียง แสดงท่าทีว่าตนเกือบจะเชื่อแล้ว
“เอาเถอะ! ข้าเอาเงินมาให้เจ้า” แม่เฒ่าเจียงยืดอกขึ้นมา “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นย่าแท้ ๆ ของเจ้า ยังจะทำร้ายเจ้าได้หรือ? ก่อนหน้านี้เราแค่เพียงความเห็นไม่ลงรอยกัน นั่นก็เพราะพูดด้วยอารมณ์โมโหเท่านั้นเองไม่ใช่หรือไร?”
มู่ซืออวี่มองอย่างหวาดระแวง
ในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม แม่เฒ่าเจียงจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดจาแต่กับคนจากบ้านใหญ่และบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนเล็กเท่านั้น
“เจ้ามานี่….” แม่เฒ่าเจียงหันหน้ากลับไป กวักมือไปทางหัวมุมถนน “ข้าจะแนะนำพวกเจ้า”
ถังเหยียนจื้อเยื้องย่างอย่างสง่างามออกมา ค้อมศีรษะให้มู่ซืออวี่หนึ่งครั้ง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มไร้ที่ติ “ซืออวี่ ข้าขอรบกวน”
มู่ซืออวี่รู้สึกผะอืดผะอม แทบจะพ่นอาหารเมื่อเย็นวานนี้ออกมา
หากไม่มีเพชร อย่าริคิดทำเครื่องลายคราม*[1]
ถึงแม้ชายหนุ่มคนนี้จะค่อนข้างรูปงาม แต่บรรยากาศรอบตัวกลับล้อมไปด้วยลักษณะของบัณฑิตทรงภูมิไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ยังเลียนแบบผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย ประหนึ่งหัดเดินแบบชาวหานตัน*[2] หัวมังกุท้ายมังกรสินะ
“ข้าไม่มีพี่ชาย”
ครอบครัวตรงหน้านี้เป็นปลิงดูดเลือด ไม่ได้สนใจไยดีอะไรถงซื่อตั้งนานแล้ว
“นี่เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า” มู่ซือเจียวไม่อาจทนดูอีกต่อไป นางเอ่ยขึ้นอย่างโมโห “พี่ชายข้าทำกิจการใหญ่โต เป็นถึงเจ้าของกิจการ”
เมื่อครู่นี้ถังเหยียนจื้อถึงกับยิ้มให้นังมารมู่ซืออวี่ ยิ้มได้น่ามองอีกต่างหาก หญิงชั่วมู่ซืออวี่ช่างไร้อย่างอาย ไม่แน่ว่าอาจจะคิดไม่ซื่อกับญาติผู้พี่ของนางแล้วก็ได้
ฝันไปเถอะ!
ท่านพี่เป็นของนางต่างหาก
ถึงตรงนี้เห็นได้ชัดว่านางหลงลืมไปแล้วว่าตนเองอยากจะไปเป็นอนุคนโปรด เป็นธรรมดาที่จะกินอยู่ในจาน มองอยู่ในหม้อ*[3] ไม่แม้แต่มองว่าที่อยู่ในหม้อเป็นของที่คนอยากแย่งชิงหรือไม่
“เช่นนั้นมาหาข้าทำไม? พวกเจ้าไปสนิทสนมครื้นเครงกันเองเถอะ อย่ามาทำลายความสงบของครอบครัวเรา”
มู่ซืออวี่กล่าวจบก็ปิดประตู นางไม่มีเวลามาฟังพวกเขาพูดพล่ามหรอก
“ช้าก่อน ซืออวี่ ข้ามีข้อเสนอชิ้นใหญ่มาหารือกับเจ้า เจ้าเชื่อข้า อย่าปล่อยให้น้ำอันอุดมสมบูรณ์ไหลเข้านาคนอื่นเลย ให้แค่คนของตนสิถึงจะดี ข้าคิดเช่นนี้ก็เพื่อเจ้านะ”
“อ้อ แล้ว?” มู่ซือวี่ยืนพิงประตู ฟังพวกเขาคุยโว
ถังเหยียนจื้อมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่น่าเอ็นดูนั่น จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหญิงคนนี้… มีลักษณะเฉพาะตัวที่พิเศษยิ่งนัก นางพิงประตูอยู่อย่างเกียจคร้าน สีหน้าจะยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้ม ดูราวกับสุนัขจิ้งจอกตัวน้อย มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ว่ามาสิ มัวฉงนอะไรอยู่ได้?”
มู่ซือเจียวหยิกแขนของถังเหยียนจื้อ
“โอ๊ย!” ถังเหยียนจื้อถึงได้รู้สึกตัว ปรายตามองมู่ซือเจียวอย่างไม่พอใจ “เหตุใดถึงหยิกข้าเล่า?”
“ท่าน!” มู่ซือเจียวมองเขาอย่างขุ่นเคือง “ท่านจะมองนางไปเพื่ออะไร นางมีอะไรน่ามอง? ทั้งอ้วนทั้งอัปลักษณ์ ยังจะมองนางด้วยสายตาน่าสะอิดสะเอียนอยู่อีก!”
มู่ซืออวี่ “…”
ไม่ใช่ว่ามาพูดเรื่องกิจการหรอกหรือ?
นางกำลังรอดูลูกไม้ของเขาอยู่เชียว
[1] หากไม่มีเพชร อย่าริคิดทำเครื่องลายคราม หมายถึง หากไม่มีความสามารถมากพอ อย่าได้คิดทำเกินกว่าความสามารถของตนเอง
[2] หัดเดินแบบชาวหานตัน หมายถึง เลียนแบบคนอื่น จนหลงลืมจุดเด่นที่ตนเคยมี
[3] กินอยู่ในจาน มองอยู่ในหม้อ หมายถึง โลภมาก