สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 962 แผนการของสกุลสิง
บทที่ 962 แผนการของสกุลสิง
บทที่ 962 แผนการของสกุลสิง
สิงเจียซือทะเลาะกับสิงเจียเวย นางรู้สึกว่าห้องโดยสารอึมครึม จึงหาข้ออ้างออกไปสูดอากาศ
สิงเจียเวยกินผลไม้แห้งแล้วเอ่ยกับตนเองอย่างภาคภูมิใจ “คุณชายสกุลหัวตกหลุมรักเจ้า เจ้าต้องแต่งงานกับเขาแม้ว่าจะไม่อยากแต่งก็ตาม”
“คุณหนู” เซียงเสวี่ยกระซิบแผ่วเบา “คุณหนูห้าไม่ใช่คนอารมณ์ดี หากเรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต ฮูหยินผู้เฒ่าอาจคล้อยตามนางและให้ท่านแต่งไปก็ได้นะเจ้าคะ”
“ถึงแม้ท่านย่าคิดจะปกป้องนาง นั่นก็ต้องดูว่าสกุลหัวเห็นด้วยหรือไม่ เมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ยินแล้ว เห็นได้ชัดว่าคุณชายสกุลหัวต้องตานาง”
“เมื่อครู่นี้คุณชายหัวยังดูแคลนนาง เหตุใดจู่ ๆ เขาจึงเปลี่ยนใจแล้วเล่า?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร? คุณชายประเภทนี้อาจเคยเห็นของนุ่มนวลมามากเกินไป จึงชอบของแข็งกระด้างเช่นนี้ขึ้นมา” สิงเจียเวยปิดปากยิ้ม “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เราอยากเห็นแล้ว”
หยางเซียงจวินตระเตรียมงานนี้มาเป็นอย่างดี แรกเริ่มนางจัดนักดนตรีมาบรรเลงเพลง เมื่อเห็นว่านักดนตรีไม่อาจปลุกเร้าความสนใจของลู่ฉาวอวี่ได้ นางจึงเตรียมละครเงามา
แน่นอนว่าลู่ฉาวอวี่ต้องการลงจากเรือ ทว่าเรือแล่นออกมาไกลแล้ว หากขอให้พวกเขากลับในยามนี้ ย่อมไม่อาจเลี่ยงการทำให้เสียบรรยากาศ ถึงแม้เขาจะไม่สนใจงานพบปะเช่นนี้ แต่ก็ไม่คิดจะทำให้หมดสนุก จึงทำได้เพียงอดทนไว้เป็นการชั่วคราว
ฟ่านซู่เห็นว่าลู่ฉาวอวี่ไม่สนใจหยางเซียงจวินจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงหยุดจับคู่ให้ทั้งสอง หากหยางเซียงจวินคิดจะตามตอแยลู่ฉาวอวี่อีกครั้ง เขาคงต้องหาวิธีหยุดเอาไว้
สีหน้าของลู่ฉาวอวี่ถึงได้ดูดีขึ้นมา
“ใต้เท้าลู่ เมื่อไหร่ชิงเอ๋อร์จะกลับเมืองหลวงหรือ?” ฟ่านซู่กล่าว “เมืองหลวงที่ไม่มีนางช่างขาดชีวิตชีวายิ่งนัก”
ลู่ฉาวอวี่เลิกคิ้ว “ขาดชีวิตชีวา? ควรกล่าวว่า ไม่มีคนคอยสร้างปัญหาจึงพลันรู้สึกขาดสีสัน วันคืนน่าเบื่อหน่ายแล้วต่างหาก”
ฟ่านซู่หัวเราะเบา ๆ “สร้างปัญหาไม่ดีหรือ? คนในสกุลลู่ล้วนเป็นคนกฎเกณฑ์เหนือฟ้า ไม่กล่าวถึงท่าน ที่ทั้งเข้มงวดและน่ากลัวประหนึ่งเป็นท่านอ๋องลู่คนที่สอง คุณหนูใหญ่ลู่ยิ่งสมบูรณ์แบบราวกับเป็นเทพเซียน ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ฉาวจิ่งก็เฉลียวฉลาดน่ารัก ยังคงเป็นบุตรที่ดีที่สุดที่สกุลลู่ให้กำเนิดมา ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปเช่นกัน มีเพียงชิงเอ๋อร์เท่านั้นที่เป็นอิสระเสรี เพียงแต่นางใจร้อน นางจากไปเช่นนี้ ราษฎรในตรอกหลิวอวิ๋นล้วนหมดสนุกแล้ว”
“ตอนนี้ชิงเอ๋อร์กำลังยุ่ง นางจะกลับมายามที่อยากกลับเอง” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “เจ้าไม่ต้องเอาแต่กังวลเรื่องนางทั้งวันหรอก ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทตั้งใจจะให้เจ้าดูแลกรมโยธาธิการ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
“ของเช่นนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
“ไม่รู้ก็เรียนรู้ได้” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ฝ่าบาทให้เจ้าดูแลกรมโยธาธิการ นั่นเป็นเพราะเห็นความสามารถของเจ้า หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งใด มาหาข้าได้ ข้าติดตามท่านแม่มานาน แม้จะไม่ได้ตั้งใจเรียนรู้อะไร แต่ก็เข้าใจมากกว่าผู้อื่น”
“ใช่ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่านายน้อยลู่มีความสามารถชาญฉลาด ไม่เหมือนคนทั่วไป” ฟ่านซู่เอ่ย “ขอเพียงท่านชอบข้า ข้าย่อมสามารถทำงานได้อย่างสะดวกราบรื่น”
ฟ่านซู่พาดแขนลงบนไหล่ลู่ฉาวอวี่
หากกล่าวถึงอายุลู่ฉาวอวี่และฟ่านซู่แล้ว ทั้งคู่ห่างกันเป็นอย่างมาก เด็กน้อยน่าสงสารและถูกรังแกในยามนั้น กลายมาเป็นชายหนุ่มรูปหล่อผู้หนึ่ง
บางทีอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์อันดีของเขากับลู่จื่อชิง ฟ่านซู่ถึงได้มีโอกาสพูดคุยกับลู่ฉาวอวี่บ่อยครั้ง พวกเขาจึงค่อย ๆ คุ้นเคยกันในที่สุด
“เสียงดังเกินไปแล้ว” ลู่ฉาวอวี่ลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอก
หยางเซียงจวินเห็นดังนั้นจึงคิดจะตามเขาไป หากแต่ถูกฟ่านซู่ขวางเอาไว้
“คุณหนูหยางไม่ควรกดดันเกินไป ไม่เช่นนั้นจะยิ่งเกิดการต่อต้าน จนทำให้เขาเบื่อเอาได้ง่าย ๆ สิ่งที่คุณหนูหยางต้องการคือหัวใจ ไม่ใช่การบีบบังคับเขาให้ลำบากใจกระมัง?”
“ข้าเพียงแค่อยากให้เขารู้จักข้ามากขึ้น หากเขาไม่ยินดีทำความรู้จักข้า เขาจะรู้ข้อดีของข้าได้อย่างไร?” หยางเซียงจวินเริ่มหงุดหงิด
“การจะรู้จักก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป” ฟ่านซู่เอ่ย “วันนี้ท่านได้ทำให้เขารับรู้ความรู้สึกของท่านที่มีต่อเขา ภายหลังย่อมมีโอกาสได้ใกล้ชิดกันอีกหลายครั้ง เช่นนี้ก็จะดึงดูดความสนใจเขาได้”
“ตอนนี้เขาจะไปที่ใด?”
“เขาไปหาที่พักผ่อน”
ลู่ฉาวอวี่ออกมาจากห้องโดยสาร ตั้งใจว่าจะหาห้องพักผ่อน รอให้เรือเทียบท่าก่อนค่อยลุกออกไป เช่นนี้จะได้ไม่ต้องรับมือกับคนและเรื่องน่าเบื่อเหล่านั้น
ทันทีที่เปิดห้องพักห้องหนึ่งออกก็เห็นเงาร่างหนึ่งกำลังหันหลังเปลื้องผ้า เมื่อได้ยินเสียงเขา อีกฝ่ายจึงหันกลับมาด้วยความตื่นตระหนก
“ใต้เท้า… ลู่” สิงเจียซือกำลังปลดผ้าคาดเอว เมื่อเห็นว่าเป็นเขา ความตื่นตระหนกของนางจึงหายไป ทว่ายังเขินอายอยู่บ้าง
นางรัดผ้าคาดเอวกลับคืน
โชคดีที่เพิ่งถอดจึงยังไม่ได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น
ลู่ฉาวอวี่เอ่ย ‘ขออภัย’ แล้วถอยออกมา
เขายืนอยู่นอกประตู มองดูบุรุษหลายคนเดินผ่านไปผ่านมา
“อยู่ที่ใด?”
“เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้”
“นั่นเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณหนูหยาง หาให้เจอเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวต้องถูกลงโทษเป็นแน่”
คนงานเหล่านั้นกำลังหาบางอย่างด้วยความกระวนกระวาย เมื่อเดินผ่านลู่ฉาวอวี่ พวกเขาต่างรีบร้อนค้อมคำนับ ไม่กล้าเข้ามาใกล้และเดินไปหาที่อื่นต่อ
ประตูเปิดออก สิงเจียซือเดินออกมา
“เมื่อครู่ข้าเจอแมวตัวหนึ่ง แมวตัวนั้นกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนข้า ปลาในปากมันตกลงในเสื้อข้า ข้าจึง…”
นางหน้าแดงก่ำ รีบร้อนอธิบายว่าเหตุใดนางถึงทำเรื่องหยาบคายเช่นนี้
ลู่ฉาวอวี่เห็นคนเดินผ่านมา คนผู้นั้นรั้งคนงานผู้หนึ่งไว้แล้วเอ่ยถาม “เห็นใต้เท้าลู่หรือไม่?”
ลู่ฉาวอวี่ขมวดคิ้ว คว้าแขนของสิงเจียซือเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู
สิงเจียซือมองเขาด้วยความงุนงง “ใต้เท้า?”
ลู่ฉาวอวี่ส่งสัญญาณให้นางเงียบ รอจนคนผู้นั้นเดินจากไป เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าตนยังจับข้อมือสิงเจียซือไว้
“ขออภัย”
“ใต้เท้าช่างลำบากจริง ๆ” สิงเจียซือกล่าว
ลู่ฉาวอวี่มองนางอย่างสงสัย
สิงเจียซือกับลู่ฉาวอวี่อยู่ใกล้กันเป็นอย่างมาก
ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันเช่นนี้ ดวงตาคู่นั้นของลู่ฉาวอวี่มองมา ราวกับได้เห็นอัญมณีที่ได้แต่วาดหวัง ทว่าไม่อาจใกล้ชิดอยู่เบื้องหน้า ทำได้เพียงชื่นชมความงามแต่ไม่อาจเอื้อมหยิบขึ้นมา
“เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่?”
“ข้ากลับจวนสิงแล้ว”
ลู่ฉาวอวี่นึกถึงฮูหยินผู้เฒ่าสิง จากนั้นก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ต้องการให้ช่วยหรือไม่?”
สิงเจียซือลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ยังไม่จำเป็น หากข้าต้องการความช่วยเหลือจากใต้เท้า ย่อมไม่เกรงใจอย่างแน่นอน”
สหายของนางยังอยู่ในเงื้อมมือของฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นนางไม่อาจแตกหักกับพวกเขาจนกว่าจะพบที่อยู่ของสหาย มิเช่นนั้น ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะทำเรื่องเช่นใดออกมา
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง…
ใต้เท้าลู่ช่วยนางมามากแล้ว นางไม่อาจเอาแต่พึ่งพาความช่วยเหลือจากเขาตลอดเวลา
คนข้างนอกยังคงหาลู่ฉาวอวี่ คนข้างในออกไปยามนี้คงไม่ดีนัก
ลู่ฉาวอวี่คุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้นานแล้ว เพียงแต่เขาไม่เคยปล่อยให้ตนตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนอย่างตอนนี้มาก่อน
หลายปีมานี้ ผู้ที่คิดจะทิ้งตัวใส่อ้อมแขนเขา แสดงความรักต่อเขา มอบหญิงงามเป็นของขวัญให้เขา ชายหนุ่มพบเจอมาไม่น้อย
“เจ้า… คอของเจ้า…” ลู่ฉาวอวี่ชี้ไปที่คอของสิงเจียซือ
สิงเจียซือรู้สึกคันเล็กน้อยจึงออกแรงเกา
ลู่ฉาวอวี่คว้าข้อมือของนางไว้ ส่ายหน้าเบา ๆ พลางกล่าวว่า “ไม่ต้องเกาแล้ว คอเจ้ามีผื่นแดงทั่ว ต้องไปให้ท่านหมอตรวจดู”
สิงเจียซือมองไปรอบ ๆ เห็นกระจกบานหนึ่งภายในห้อง นางชี้ไปที่คอในกระจกแล้วมองดู
“นี่อะไร? เมื่อครู่ยังไม่มีเลย?”
“คันหรือไม่?”
“คันมาก”
“ไม่ต้องเกาแล้ว ไปถามพวกเขาดูก่อนว่ามีท่านหมออยู่บนเรือหรือไม่ เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะตามออกไปทีหลัง”