สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 965 เจ้าคงไม่เชื่อฟังกระมัง
บทที่ 965 เจ้าคงไม่เชื่อฟังกระมัง
บทที่ 965 เจ้าคงไม่เชื่อฟังกระมัง
“เรียบร้อยแล้วหรือ?” ลู่ฉาวอวี่ลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยนิ่ง ๆ “ขึ้นมาเถอะ”
เดิมทีสิงเจียซือคิดจะถามว่า ‘เหตุใดท่านยังไม่ไป’ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางก็ขึ้นรถม้าพร้อมกับแมวที่นางเพิ่งตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า ‘เจ้าสมบัติ’
ภายในรถม้ามีกลิ่นหอมจาง ๆ
“นี่กลิ่นอะไรหรือ?”
“ท่านหมอหลวงจัดเตรียมให้ บอกว่าขจัดความเจ็บป่วยได้” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “หมอหลวงให้ยาเจ้าแล้วหรือ?”
“ใต้เท้าหมอหลวงบอกว่าที่จวนเขามียาพอดีจึงเตรียมให้ข้าส่วนหนึ่ง ข้ากลับไปต้องอาบน้ำก่อน แล้วค่อยทายา ภายในสามวันจะดีขึ้น”
“ดูจากสถานการณ์ยามนี้แล้ว เจ้าคงไม่รีบร้อนหายดีกระมัง ดังนั้นคงไม่ยอมทายาแต่โดยดี” ลู่ฉาวอวี่จ้องนาง
สิงเจียซือรู้สึกอับอายที่ถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“ท่านก็รู้ สกุลหัวนั่นไม่ใช่ที่ที่ดีอะไร ข้าไม่อยากแต่ง”
“นั่นก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายตนเองเช่นนี้” ลู่ฉาวอวี่กล่าว
“พวกเขาไม่มีทางฟังข้า ในสายตาของพวกเขา สกุลสิงเราเกี่ยวดองกับผู้ที่สูงกว่าได้เป็นโชคดี ขอเพียงสกุลหัวต้องตา พวกเขาก็แทบจับพวกข้าใส่พานถวายให้ ความคิดของข้าสำคัญอะไร?”
“อยากให้…”
“เพียงแต่ข้าคิดว่าสกุลหัวไม่ชอบข้า” สิงเจียซือเอ่ย “เมื่อครู่ท่านก็เห็นท่าทีของคุณชายหัวแล้ว เขาปฏิบัติต่อข้าราวกับโรคระบาด อยากจะอยู่ให้ห่างจากข้าเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ข้าจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
ลู่ฉาวอวี่ยิ้มบาง ๆ “อาจจะ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่” สิงเจียซือลูบเจ้าสมบัติ “จริงสิ ข้าตั้งชื่อใหม่ให้มันแล้ว ภายหน้าก็เรียกมันว่าเจ้าสมบัติแล้วกัน”
ลู่ฉาวอวี่เลิกคิ้ว “ชื่อนี้ฟังแล้วดูโชคดีมาก”
“มันแพงถึงเพียงนี้ ช่างสอดคล้องกับชื่อสมบัติจริง ๆ” สิงเจียซือเอ่ย “ต่อไปข้าจะดูแลมันให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“แมวพันธ์ุนี้ทั้งราคาแพง ทั้งอ่อนแอ อาหารการกินของใช้ต้องเตรียมอย่างระมัดระวัง เจ้าแน่ใจหรือว่าคนรอบตัวเจ้าจะดูแลมันได้ดี” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถาม
“ใต้เท้า ท่านรู้วิธีเลี้ยงมันหรือ?”
“อืม เคยได้ยินมา”
“เช่นนั้น ท่านสอนให้ข้าเถอะ!” สิงเจียซือมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยถาม “ท่านมีพู่กันกับหมึกหรือไม่? ข้าอยากจดบันทึกไว้”
ลู่ฉาวอวี่เอื้อมมือออกไป
รถม้ากว้างขวาง ข้างในมีทุกสิ่งที่ต้องการ เพียงแต่ ของที่ลู่ฉาวอวี่ต้องการอยู่ข้าง ๆ ที่นั่งของสิงเจียซือ เขาจะหยิบของเหล่านั้นจึงต้องเข้าไปใกล้ ๆ นาง
สิงเจียซือมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม
ยามนี้เป็นช่วงต้นสารทฤดู ลู่ฉาวอวี่สวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม สวมเสื้อคลุมสีเดียวกัน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาไม่ได้แสดงสีหน้าใดเป็นพิเศษ ดูไม่ยี่หระยำเกรงต่อสิ่งใด ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาคู่นั้น นางพลันรู้สึกว่าแม้กระทั่งหิมะในเหมันต์ยังหลอมละลาย
ตึกตัก! ตึกตัก!
สิงเจียซือแนบมือลงบนอกตน
ลู่ฉาวอวี่หยิบพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่งฝนหมึกออกมา เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าแดงก่ำของสิงเจียซือ คิ้วพลันขมวดมุ่น ชายหนุ่มกล่าวว่า “ใบหน้าของเจ้าแดงยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก ต้องกลับไปให้ท่านหมอหลวงตรวจดูหรือไม่?”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ บางทียาอาจออกฤทธิ์แล้ว” สิงเจียซือเบือนหน้าหนี
ตอนนี้นางดูอัปลักษณ์ยิ่ง
เขาอยู่ใกล้เพียงนี้ ย่อมเห็นหน้าตาอัปลักษณ์นี่ของนางแล้ว
เมื่อครู่ผู้อื่นต่างกลัวว่าจะติดโรคจากนางถึงเพียงนั้น หลบลี้หนีห่างนาง เหตุใดเขาต้องเข้ามาใกล้เพียงนี้เล่า?
ลู่ฉาวอวี่วางพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่งฝนหมึกลงบนโต๊ะเตี้ยด้านข้าง “เข้ามาสิ ข้าจะบอก ส่วนเจ้าเขียน”
“อื้อ…”
สิงเจียซือขยับเข้าไป
รถม้ามั่นคงเป็นอย่างยิ่ง แม้จะวิ่งบนก้อนหินก็ไม่เกิดแรงสั่นสะเทือนอะไรมากนัก
ลู่ฉาวอวี่ฝนหมึก
สิงเจียซือเฝ้ามองมือที่ขยับฝนหมึกไปมาของเขา
นิ้วมือเขาเรียวยาวเพียงนี้เชียวหรือ?
ทั้งเรียวเสลา ทั้งยาว ดูแข็งแรงเพียงนั้น…
ดูดีเสียจริง
เหตุใดสวรรค์จึงไม่ยุติธรรมเพียงนี้ ถึงได้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในการสร้างเขาขึ้นมา สิ่งดีงามทั้งหลายล้วนแต่ใส่ไว้ในตัวเขา
ลู่ฉาวอวี่โบกมือไปมาเบื้องหน้านาง “เจ้าไม่เป็นไรจริง ๆ หรือ?”
หรือว่ายานั้นส่งผลต่อสมองเช่นกัน? วันนี้ถึงได้ดูโง่เขลาเล็กน้อย
“ข้าคิดว่าท่าทีเจ้าแปลก ๆ มิเช่นนั้นกลับไปให้ท่านหมอหลวงตรวจดูอีกครั้งเถอะ”
“เมื่อครู่ข้าเพียงแค่กำลังคิดอะไรบางอย่าง ข้าไม่เป็นไร” สิงเจียซือรู้สึกตัวขึ้นมา “ใต้เท้า เมื่อครู่นี้ท่านว่าอย่างไร?”
“ข้าจะบอกอีกครั้ง เจ้าจดลงไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
สิงเจียซือจดบันทึกสิ่งที่ลู่ฉาวอวี่บอกด้วยความระมัดระวัง
เขียนจนเต็มกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า หญิงสาวก้มลงมองเจ้าสมบัติที่นอนคุดคู้อยู่ในอ้อมแขน จู่ ๆ พลันรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมา
“นี่เป็นสมบัติที่ใดกัน เห็น ๆ อยู่ว่ามันเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง ต้องสักการะบูชามันจึงจะถูก” สิงเจียซือเอ่ย “แต่ก็ไม่ถูก เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งประทานความมั่งคั่งให้เรา ส่วนมันมาทวงหนี้เรา”
“สถานการณ์ยามนั้น หากเจ้าไม่พามันออกมา คุณหนูหยางท่านนั้นย่อมไม่ยอมอดทนต่อมัน ในเมื่อพามันมาแล้ว เช่นนั้นก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด”
“เป็นข้าที่ทำให้มันลำบาก มันป่วย โรคในตัวมันอาจส่งผลเสียต่อคน ทว่าไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ข้ากล่าว ข้ากล่าวเกินความจริง ทำให้ชีวิตของมันตกอยู่ในอันตรายถึงตาย ย่อมต้องรับผิดชอบ ใต้เท้าวางใจ ในเมื่อข้าพามันมาแล้ว ข้าจะต้องดูแลมันอย่างดีแน่นอน” สิงเจียซือเอ่ย “ขอบคุณใต้เท้าที่สอนเรื่องเหล่านี้ ใต้เท้าช่างมีพรสวรรค์และรอบรู้จริง ๆ แม้กระทั่งเรื่องเช่นนี้ท่านยังรู้”
“สืบคดีไร้สีสันยิ่งนัก”
“หืม?”
“ไม่มีอะไร”
เสียงของคนขับรถดังมาจากด้านนอก “นายท่าน ถึงสกุลสิงแล้วขอรับ”
“หาที่ที่ไม่มีคนแล้วค่อยจอด” สิ้นคำ ลู่ฉาวอวี่ก็หันมาเอ่ยกับสิงเจียซือ “เช่นนี้เจ้าจะได้ไม่มีปัญหา”
“ข้าเข้าใจ” สิงเจียซือเอ่ย “ใต้เท้าคิดได้ถี่ถ้วนเพียงนี้ เจียซือซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
“ยังเป็นถ้อยคำนั้น หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ เพียงแค่มาหาข้า” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “เจ้าไม่จำเป็นต้องลำบากใจ อย่างไรข้าก็เป็นหนี้ชีวิตเจ้าอยู่หลายครั้ง ยังคงต้องทดแทนบุญคุณเจ้า”
สิงเจียซือลงจากรถม้า เดินไปยังสกุลสิง
ลู่ฉาวอวี่มองดูนางเข้าประตูไปแล้ว ถึงได้เอ่ยกับคนขับรถม้า “ไปเถอะ!”
ทันทีที่สิงเจียซือเข้าประตูไปก็เห็นแม่นมเฒ่าสีหน้าเคร่งขรึมยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม นางเป็นคนข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้น
“ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญคุณหนูห้าไปหาเจ้าค่ะ”
สิงเจียซือเดินตามแม่นมเฒ่าไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า
สิงเจียเวยนั่งอยู่ข้าง ๆ ฮูหยินผู้เฒ่า คอยรินชาให้
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่านางโมโหมาก
“เจ้าคุกเข่า”
สิงเจียซือไม่ได้คุกเข่า
นางยืนอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “เหตุใดท่านย่าถึงโกรธเพียงนี้? ใบหน้าของหลานท่านได้รับบาดเจ็บ อัปลักษณ์แล้ว จึงทำให้ท่านอับอายขายหน้าหรือ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าสิงมองหน้านางแล้วถึงกับสะอึก
“หากท่านเป็นท่านย่าที่ห่วงใยหลานจริง ๆ ยามนี้ท่านควรเป็นห่วงใบหน้าข้าไม่ใช่หรือ? หลานท่านเกือบจะเสียโฉมแล้ว ใบหน้านี้ไม่รู้ว่าภายหน้าจะเป็นอย่างไร ท่านไม่แม้แต่ถามไถ่ ทันทีที่ข้าเดินเข้าประตูมา ท่านกลับจะกรีธาทัพมาถามโทษข้า เห็นชัดว่าจะลงโทษกันและตัดสินว่าข้ามีความผิดไปแล้ว ข้ากล่าวสิ่งใดล้วนไม่มีประโยชน์”
“หน้าของเจ้า…” สิ้นคำ ฮูหยินผู้เฒ่าสิงก็โบกมือ “ช่างเถิด เด็ก ๆ ไปเชิญท่านหมอมา”
“ไม่ต้องแล้ว” สิงเจียซือเอ่ย “ข้าไปหาท่านหมอแล้ว ท่านหมอบอกว่า ภายหน้าเกรงว่าโรคเก่าจะกลับมากำเริบอีกครั้ง”
“เจ้า… เจ้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงหายใจฮึดฮัดกล่าวอะไรไม่ออก
แววตาของสิงเจียซือหมดความอดทน
ฮูหยินผู้เฒ่าสิงอายุมากแล้ว หลายปีมานี้ล้วนคิดอ่านเพื่อสกุลสิง ทั่วทั้งสกุลสิงกล่าวไปแล้วนับว่ามีคุณอย่างใหญ่หลวง
เพียงแต่ นับจากบิดามารดาของนางจากไป สิงเจียซือก็ไม่รู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสกุลนี้อีก ความรู้สึกผิดทั้งหมดที่มีเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“หากท่านย่าไม่มีเรื่องอื่นจะกำชับแล้ว หลานขอกลับไปพักรักษาตัวก่อน อย่างไรเสียใบหน้านี้… ก็ช่างน่าอับอายจริง ๆ”