สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 974 ข้าไม่เคยสนใจชื่อเสียง
บทที่ 974 ข้าไม่เคยสนใจชื่อเสียง
บทที่ 974 ข้าไม่เคยสนใจชื่อเสียง
“ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” ฮูหยินรองสิงกล่าว
“ข้ารู้สึกไม่สบายตัว” กงซื่อกุมอกตนเอง “อูย… ปวดยิ่งนัก… ท่านหมอเล่า? ข้าเป็นมารดาแท้ ๆ ของเจ้า เจ้าไม่เชิญท่านหมอมาให้ข้า นี่อยากเห็นข้าตายหรือไร?”
เมื่อครู่นี้ฮูหยินรองสิงตื่นตระหนกจริง ๆ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นมารดานาง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากกงซื่อสิ้นชีวิตในสกุลสิง สกุลซ่งจะไม่เขมือบนางเอาหรือ? ด้วยนิสัยใจคอเลวร้ายของคนสกุลซ่งเหล่านั้น หากไม่ได้ถลกหนังสกุลสิงคงไม่ยอมลดละ
สกุลสิงยามนี้จะยืนหยัดต้านการถลกหนังของพวกเขาได้อย่างไร ถึงยามนั้นสถานะฮูหยินรองสิงของนางคงรักษาไว้ไม่ได้ ไม่แน่ว่ายังจะกลายเป็นหนามทิ่มแทงสายตาทางฝั่งสามี
นายท่านรองสิงเดิมทีก็แทบไม่กลับบ้าน เลี้ยงบ้านเล็กบ้านน้อยอยู่ข้างนอก มีสตรีรู้ใจอยู่ในหอบุปผา หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าตาสกุลสิง แม้กระทั่งที่กลับบ้านสองสามวันครั้งนี้คงไม่กลับมาด้วยซ้ำ
นางจัดการเรื่องภายในบ้านได้ไม่ดีนัก ฮูหยินผู้เฒ่าเดิมทีก็เริ่มไม่พอใจนางแล้ว หากไม่ใช่เพราะสกุลเดิมของน้องสะใภ้สามก็ยากจนจึงมักจะมาหยิบยืมขอเงินจากทางนี้ เกรงว่าสิทธิ์ในการดูแลบ้านจะตกอยู่ในมือของน้องสะใภ้สามแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของกงซื่อ ฮูหยินรองสิงก็กังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านแม่วางใจ ข้าให้คนไปเชิญท่านหมอแล้ว”
“ท่านหมอมาแล้ว” สาวใช้เดินนำท่านหมอเข้ามา
เมื่อท่านหมอเห็นสภาพยุ่งเหยิงตรงหน้า เขาก็วางล่วมยาลง จากนั้นจึงจับชีพจรกงซื่อ
“ท่านหมอ ข้าอึดอัดที่อกนัก” กงซื่อเอ่ยเสียงแผ่ว “หัวก็ปวด ท้องก็ปวด ขาก็ปวด ปวดไปทั้งตัว ท่านหมอ ข้าบาดเจ็บสาหัสใช่หรือไม่?”
ท่านหมอขมวดคิ้วพลางกล่าว “ชีพจรของท่านปกติดี นอกจากความอ่อนแอที่เกิดจากการจมน้ำ และน้ำสกปรกเข้าไปในท้องแล้วก็ไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร กล่าวกันตามหลัก ควรไม่มีอาการอะไรมากมายเพียงนี้”
ฮูหยินรองสิงเอ่ย “ท่านหมอ ขอบคุณมาก ท่านแม่ไม่เป็นไร แม้กระทั่งยายังไม่ต้องกิน”
“ผู้ใดบอกว่าข้าไม่เป็นไร” สิ้นคำ กงซื่อก็เหลือบมองสิงเจียซือ “แม่นางห้าสกุลสิง เจ้าทำให้ข้าตกน้ำ ข้าจะหารือเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้า”
“ได้! เช่นนั้นท่านก็ไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเถอะ” สิงเจียซือกล่าว
“เจ้า… หากเจ้าไม่อยากให้ข้าสร้างปัญหาให้เจ้าก็ย่อมได้ บัญชีร้านนั้นเจ้าก็ให้แล้วกันไป ถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น แล้วเรื่องที่ข้าตกน้ำเกือบตายในวันนี้ก็จะแล้วไปเช่นกัน มิเช่นนั้น ข้าจะออกไปป่าวประกาศกับทุกคนว่าคุณหนูห้าสกุลสิงร้ายกาจเพียงใด นึกไม่ถึงว่าจะผลักผู้อาวุโสสกุลอาสะใภ้รองตกน้ำ มิหนำซ้ำยังทำให้ข้าเกือบตาย” กงซื่อชี้หน้านางด้วยความโกรธ
“ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้” สิงเจียซือเอ่ย “ข้ายากจะเชื่อฟัง”
“เจ้าไม่กลัวว่าชื่อเสียงของเจ้าจะเสียหายหรือ?”
“ข้ามีอะไรให้กลัว?” สิงเจียซือกล่าว “เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะข้า ยามนี้ท่านคงตายไปนานแล้ว หากอาสะใภ้รองกลับขาวเป็นดำต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ เช่นนั้นสกุลสิงเกรงว่าจะทนนางไม่ไหว หากสกุลซ่งไม่มีสกุลสิง ท่านว่าจะเป็นอย่างไร? อีกอย่าง ของอย่างชื่อเสียง หากข้าสนใจ หลายปีมานี้คงกลับจวนแล้ว แม้คนทั่วหล้าห่วงชื่อเสียงหน้าตา แต่ข้าคุณหนูห้าสกุลสิงไม่สนใจ”
กงซื่อชี้หน้าสิงเจียซือและหันไปเอ่ยกับฮูหยินรองสิงอีกครั้ง “เจ้าฟังคำพูดคำจาของนาง เจ้าเป็นอาสะใภ้รองนาง ยังไม่ควบคุมเจ้าคนไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนนี่อีกหรือ?”
“ข้าอยากรู้นักว่าอาสะใภ้รองมีสิทธิ์อะไรมาควบคุมข้า? ข้าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน นั่นหมายความว่าสกุลสิงอบรมสั่งสอนไม่ดีหรือ! เช่นนั้นสิงเจียเวยหลานสาวท่านก็ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเช่นกันอย่างนั้นสิ? ที่แท้ฮูหยินซ่งดูแคลนสกุลสิงเราเพียงนี้นี่เอง! เช่นนั้นท่านมาที่นี่ทุกสองสามวันเพื่อขอเข็มไปปักผ้า นี่นับเป็นอะไรหรือ? มาขอทานถึงหน้าประตูบ้านหรือไร?”
“นังเด็กชั่วคนนี้ ข้าจะฉีกปากเจ้าซะ…”
สิงเจียซือเอ่ยกับท่านหมอ “ทางนั้นยังมีคนตกน้ำอีกคน รบกวนท่านตรวจดู หากเขาต้องรับยา คนในจวนจะรับผิดชอบ”
“ย่อมได้” ท่านหมอเอ่ย
สิงเจียซือเดินผ่านกงซื่อไป
“โอ๊ยยยยยย” กงซื่อร้องลั่น
สิงเจียซือขยับออกแล้วเอ่ยว่า “ขออภัย ข้าไม่เห็น อาสะใภ้รอง ฮูหยินซ่งมาร้องตะโกนอยู่ในจวนสกุลสิง ฟังดูไม่มีมารยาทเอาเสียเลย หมวกไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนนี้สวมให้นางเถอะ! ข้าบ้านใหญ่สกุลสิงไม่สู้รบปรบมือกับนางอยู่ที่นี่แล้ว นอกจากนี้ เหตุใดนางจึงตกน้ำ ฟ้ารู้ดินรู้ แม่นมเฒ่าผู้นั้นของนางก็รู้ อย่าได้คิดจะใส่ร้ายป้ายสีข้า ข้าสิงเจียซือไม่เคยรับผิดแทนผู้อื่น”
“พอแล้ว นางตกน้ำ สมองเลอะเลือนไปบ้าง เจ้าจะมายุ่งวุ่นวายกับนางอยู่ไย?” ฮูหยินรองสิงเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นผู้อาวุโส เจ้าผู้เยาว์คนหนึ่งคิดเล็กคิดน้อยไม่ยอมมองข้ามไป นั่นเป็นการไม่เคารพกฎเกณฑ์ ข้าคิดว่ามามาสอนมารยาทยังอบรมเจ้าได้ไม่ดีพอ เจ้าเรียนรู้กฎเกณฑ์มารยาทกับมามาให้ดีเถอะ!”
“ช่วงนี้อาสะใภ้รองไม่ยุ่งหรือ? ดูเหมือนจะไม่ยุ่ง นึกไม่ถึงว่าจะยังมีเวลาว่างมาห่วงเรื่องการอบรมสั่งสอนกฎเกณฑ์ข้า เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว!” สิงเจียซือกล่าว “เป็นดังคาด อาสะใภ้รองมอบร้านให้ข้า ข้าแบ่งเบาภาระให้ท่านเป็นเรื่องชาญฉลาด บัดนี้ท่านโยนความยุ่งเหยิงก้อนนี้ให้ข้า ข้าก็ไม่ต้องถูกเรียกว่าเด็กก้าวร้าวเพราะบีบบังคับอาสะใภ้รองให้ชดเชยสินเดิมให้ นั่นไม่ใช่ทุกคนล้วนมีความสุขกันถ้วนหน้าหรือ?”
“เจ้าห้า ข้ามองไม่ออกจริง ๆ ว่าเจ้าเติบใหญ่มาแล้วจะมีฝีปากคมคายเช่นนี้ มารดาเจ้ามีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล ผู้ใดในเมืองหลวงล้วนชื่นชมนิสัยดี ๆ ของนาง เจ้าไม่เหมือนนางแม้แต่นิด” ฮูหยินรองสิงเยาะเย้ย
“นั่นเป็นเพราะนิสัยดีเกินไปอย่างไรเล่าจึงถูกคนขยำเป็นกระดาษก้อนหนึ่ง ตอนที่แม่ข้ายังอยู่ นางอยู่ที่บ้านต้องทนได้รับความไม่เป็นธรรมเพียงใด ข้าล้วนเห็นทั้งสิ้น! นับตั้งแต่ตอนนั้นข้าก็สาบานแล้วว่า ข้าจะไม่เป็นเหมือนท่านแม่”
เมื่อเอ่ยถึงมารดาของสิงเจียซือ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป แววตาของนางพลันเยือกเย็นลง
หลังจากสิงเจียซือไปแล้ว ฮูหยินรองสิงก็จัดเตรียมบ่าวรับใช้หลายคนอุ้มกงซื่อกลับไปที่เรือนตนเอง วางนางไว้ที่ห้องรับรองแขกด้านข้าง
อีกด้านหนึ่ง บ่าวรับใช้พบเจอเรื่องตลกร้ายเช่นนี้ แต่ละคนหวาดหวั่นขวัญผวา แม้กระทั่งกลับไปทำงานทำการยังไม่กล้า เกรงว่าจะมีผลที่ตามมารออยู่ พวกเขาที่เกี่ยวข้องเหล่านี้คงได้รับผลกระทบ
“พวกเจ้าสองคนมานี่” ฉิงโหรวเดินมาชี้บ่าวรับใช้สองคน
บ่าวรับใช้ทั้งสองจำฉิงโหรวได้จึงรีบเดินออกมาข้างหน้า เอ่ยอย่างประจบประแจง “แม่นางฉิงโหรว มีอะไรจะกำชับหรือ?”
“คุณหนูกำชับแล้ว บอกว่าพวกเจ้าช่วยคน มีความชอบ ตกรางวัลห้าตำลึงเงินให้ทั้งคู่” ฉิงโหรวควักเงินออกมา
บ่าวรับใช้นึกไม่ถึงว่าจะได้รับเงินจริง ๆ แต่ละคนล้วนตื่นเต้นดีใจ
“แม่นางฉิงโหรว พวกบ่าวสถานะต่ำต้อย ไม่กล้ารบกวนคุณหนู รบกวนแม่นางกล่าวขอบคุณคุณหนูแทนพวกเราด้วย”
“คุณหนูบอกแล้ว เรื่องที่นางรับปากไว้ย่อมต้องทำตาม” ฉิงโหรวกล่าว “ภายหน้าทำหน้าที่ให้ดีเถอะ”
“ขอรับ”
หลังจากฉิงโหรวจากไป บ่าวรับใช้หลายคนก็ห้อมล้อมเข้ามา
“เป็นเงินห้าตำลึงจริง ๆ”
“คุณหนูห้าใจกว้าง กล่าวตามหลักแล้วนางไม่มีคนหนุนหลัง อยู่ที่สกุลนี้ก็เป็นเด็กกำพร้า เหตุใดจึงมั่งคั่งเพียงนี้?”
“ได้ยินว่าหลายปีมานี้คุณหนูห้าทำกิจการอยู่ข้างนอก เป็นเจ้าของทรัพย์สินมากมาย นอกจากนี้นางเพิ่งได้รับสินเดิมมารดากลับคืนมา แน่นอนว่ายิ่งไม่ขาดเงิน หากจะกล่าวว่าเจ้านายทั้งสกุลสิงไม่รวยเท่านาง ก็ยังไม่เกินจริง”
“จริงหรือ? เช่นนั้นหากได้รับใช้ในเรือนนาง นั่นไม่เท่ากับโชคดีแล้วหรือ?”
“พวกเราอยากโชคดีก็พอมีโอกาส คุณหนูห้าเพิ่งกลับมา ไม่ทันมีคนให้ใช้สอย หากพวกเราภักดีต่อนาง…”