สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 983 คุณหนู ไม่เป็นไรกระมัง
บทที่ 983 คุณหนู ไม่เป็นไรกระมัง
บทที่ 983 คุณหนู ไม่เป็นไรกระมัง
สิงเจียเวยตกลงมาจากข้างบน ขณะที่กำลังจะล้มลงไปบนแอ่งโคลน จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามารับไว้และกอดไหล่นางไว้ ก่อนจะค่อย ๆ วางนางลง
“คุณหนู ท่านไม่เป็นไรกระมัง?” เสียงกระด้างเสียงหนึ่งดังขึ้น
ครั้นสิงเจียเวยได้ยินเสียงนี้ ดวงตาที่เดิมหลับปี๋ด้วยความกลัวของนางก็ลืมขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าผู้ที่รับนางเอาไว้ที่แท้เป็นบุรุษมีหนวดเครา ดวงตาใหญ่ราวกับระฆังทองแดง เจ้าตัวก็ส่งเสียงกรีดร้อง ผลักเขาออกไปในทันที
“กรี๊ด! เจ้าปล่อยข้านะ!”
เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นท่าทีของสิงเจียเวย เขาก็ปล่อยนางอย่างหมดความอดทน
บนร่างเขาสวมชุดผู้บัญชาการทหาร ทว่าดูจากเสื้อผ้าบนร่างแล้ว ตำแหน่งทหารของเขาคงไม่สูงนัก คงราว ๆ ขั้นหกเห็นจะได้
เมื่อเหลียวมองอีกด้านหนึ่งพบว่า สิงเจียซือทะยานขึ้นไปบนรถม้าฝั่งตรงข้ามแล้ว ม้าตัวนั้นก็ตกใจ ทว่าไม่นานคนขับรถม้าก็ควบคุมเอาไว้ได้ สิงเจียซือจึงไม่ตกอยู่ในอันตราย เอาตัวรอดได้สำเร็จ
สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดในยามนี้คือม้าตัวนั้นยังคงส่งเสียงร้องลั่นอย่างคลุ้มคลั่ง
ทว่ายังดีที่ตรงนี้ไม่ได้มีเพียงผู้คุ้มกันของสกุลหัว หากแต่ยังมีแม่ทัพที่กำลังเตรียมตัวกลับอีกหลายคน
หลังจากพวกเขาร่วมมือกันก็ควบคุมม้าตัวนั้นได้สำเร็จ ทว่าอารมณ์ของมันยังไม่สงบลง
“เกิดอะไรขึ้น?” มีคนเอ่ยขึ้นมา “ม้าตัวนั้นป่วยแล้วหรือไม่?”
สิงเจียซือลงจากรถม้าแล้วเดินกลับไปดู
นางลูบหัวม้าแล้วตรวจดูดวงตาของมัน
“ดูเหมือนมันจะเจ็บปวด” สิงเจียซือเอ่ย “ที่จวนมีทาสม้าที่รักษามันได้หรือไม่?”
“ที่จวนข้ายังมีทาสม้าที่รู้วิธีรักษาม้าผู้หนึ่งอยู่จริง ๆ” ฮูหยินรองหัวเอ่ย “เด็ก ๆ ไปเรียกหลี่ชีมา”
ไม่นานนัก บ่าวรับใช้จวนหัวก็เดินนำทาสม้าผู้หนึ่งมา
เมื่อเรื่องน่าขบขันนี้เกิดขึ้นแล้ว หยางเซียงจวินก็เตรียมจะผละจากไป
แน่นอนว่า คนของนางก็เตรียมจะจากไปเช่นกัน
ยามนี้เอง สาวใช้หน้าตาสะสวยผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาเอ่ยกับหยางเซียงจวินว่า “เซียงจวิน พระชายาลู่มีคำบางคำจะกล่าว ให้บ่าวมาส่งสารถึงท่านเจ้าค่ะ”
สีหน้าหยางเซียงจวินเต็มไปด้วยความดีใจ “พระชายาลู่รึ? นางอยู่ที่ใด?”
ตั้งแต่เมื่อครู่จนกระทั่งบัดนี้ นางซึ่งเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ผู้หนึ่งกลับเอื้อมไม่ถึงจวนท่านอ๋องลู่ เดิมทีก็ไม่มีทางได้เข้าใกล้นางแม้แต่น้อย ถึงแม้อยากจะแสดงตัวต่อหน้าพระชายาลู่แต่กลับไม่มีวิธี
“พระชายาลู่ชมชอบผู้คุ้มกันน้อยข้างกายท่าน จึงอยากขอซื้อตัวเขาจากเซียงจวินเจ้าค่ะ” เจ๋อหลานยิ้มน้อย ๆ
หยางเซียงจวินเหลือบมองผู้คุ้มกันที่อยู่ข้าง ๆ หรือก็คือคนที่เข้าใจความนัยของนางแล้วลงมือเมื่อครู่
ภายในใจนางเกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
หลี่เยียนหรานนิ่งเงียบ เพียงแต่มองหาว่ามู่ซืออวี่อยู่ที่ใดท่ามกลางฝูงชน ไม่นานนักนางก็หาเจอ นึกไม่ถึงว่ามู่ซืออวี่จะอยู่ตรงข้ามพวกนางจริง ๆ
เช่นนั้น หยางเซียงจวินและคนของนางทำสิ่งใด มู่ซืออวี่ก็อาจจะเห็นแล้ว
แน่นอนว่าหลี่เยียนหรานเห็นท่าทีระหว่างหยางเซียงจวินกับคนของอีกฝ่าย ทั้งยังรู้ว่าเหตุใดหยางเซียงจวินจึงคิดจะลงมือกับสิงเจียซือ นางเพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่คิดจะสนใจกับเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญเรื่องนี้
“คุณหนูหยางตัดใจไม่ได้หรือ?” เจ๋อหลานเอ่ยถาม “หากตัดใจไม่ได้…”
“คุณหนูหยาง!” ผู้คุ้มกันมองหยางเซียงจวินอย่างตื่นตระหนก
หยางเซียงจวินนั้นแน่นอนว่าตัดใจไม่ได้
นี่คือสุนัขรับใช้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนาง
ตั้งแต่สามปีก่อน ทุกเรื่องที่นางทำล้วนมีคนผู้นี้เข้ามาเกี่ยวข้อง คนผู้นี้เป็นเสมือนผู้ช่วยของนาง หากพระชายาลู่พาเขาไป แล้วเขากล่าวเรื่องเหลวไหลต่อหน้าพระชายาลู่ เรื่องเหล่านั้นที่นางทำก็ไม่อาจปกปิดได้แล้ว
“รบกวนกลับไปบอกกล่าวพระชายาด้วยว่า บ่าวรับใช้ผู้นี้มือไม้ไม่สะอาด เกรงว่าจะรับใช้นางได้ไม่ดี หากพระชายาไม่ถือสา ข้าจะเลือกผู้ที่ยอดเยี่ยมกว่านี้สักสองสามคนไปให้”
“พระชายากล่าวว่า คนผู้นี้ฝีมือไม่เลว นางชื่นชมเขาเป็นอย่างยิ่งจึงต้องการตัว ในเมื่อคุณหนูหยางตัดใจไม่ได้ก็ลืมเสียเถิด หากเมื่อใดพระนางเห็นฝีมือเขาอีกครั้งก็จะมาขอกับคุณหนูหยางใหม่ จริงสิ พระชายารู้ว่าคุณหนูไม่อาจตัดใจปล่อยคนของตนไป ดังนั้นจึงไม่ได้คิดจะบีบบังคับ ตรงนี้มีลูกอมอยู่เม็ดหนึ่ง ให้ผู้คุ้มกันผู้นี้กินเถอะ ถือเสียว่าเป็นของรางวัล”
หยางเซียงจวินมองลูกอมสีดำที่เจ๋อหลานนำออกมาแล้วหันไปมองผู้คุ้มกัน “พระชายาประทานรางวัล ไยยังไม่รับไปอีก?”
ผู้คุ้มกันหน้าเผือดสี คุกเข่าลงรับลูกอมสีดำที่เจ๋อหลานส่งให้ จากนั้นก็กลืนมันลงไปต่อหน้านาง
เจ๋อหลานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เช่นนี้ดียิ่ง คุณหนูหยาง เช่นนั้นบ่าวไม่รบกวนแล้ว”
หยางเซียงจวินยิ้มให้เจ๋อหลานแล้วเอ่ยว่า “รบกวนแม่นางมาเที่ยวนี้แล้ว”
คนข้างกายพระชายาลู่เป็นตัวแทนของพระชายาลู่ หยางเซียงจวินงดงามประณีตไม่มีผู้ใดเทียบเทียม แม้กระทั่งบุตรสาวขุนนางขั้นสามก็ไม่แน่ว่าจะมีผู้ใดเทียบนางได้ บัดนี้กลับปฏิบัติต่อสาวใช้ผู้หนึ่งด้วยท่าทีสุภาพ ช่างหาได้ยากยิ่ง
ไม่นานหลังจากเจ๋อหลานจากไป ผู้คุ้มกันผู้นั้นก็กุมท้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“คุณหนู ข้าน้อย… ข้าน้อยไม่สบายตัวยิ่งนัก”
“เจ้าถอยออกไปเถอะ!” หยางเซียงจวินเอ่ย “พระชายาลู่ไม่มีทางให้เจ้ากินยาพิษ อย่างมากก็เพียงลงโทษเจ้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น เจ้าถอยออกไปหาท่านหมอสั่งยาให้เสีย เพียงเท่านั้นก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ขอรับ” ผู้คุ้มกันกุมท้องเดินออกไป
หลี่เยียนหรานเอ่ยกับหยางเซียงจวิน “เหตุใดจู่ ๆ พระชายาจึงต้องการคนของเซียงจวิน คงไม่ใช่ชื่นชมผู้คุ้มกันผู้นั้นจริง ๆ กระมัง? หากเป็นเช่นนั้น ยังไม่สู้มอบให้พระชายาไปเสียดีกว่า”
หยางเซียงจวินถูกมู่ซืออวี่ข่มขู่จึงอยู่ในอารมณ์หม่นหมอง พอได้ยินคำพูดของหลี่เยียนหรานก็รู้สึกราวกับถูกแทงกลางใจ เพียงแต่ปกติทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ว่าหยางเซียงจวินจะทะนงตนเพียงใดก็ยังเกรงใจหลี่เยียนหราน ครั้งนี้นางเพียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทื่อ ๆ ว่าอยากกลับไปพักผ่อน วันหน้าค่อยพบกัน
ทาสม้าตรวจอาการม้าแล้วสรุปว่าม้าป่วย ไม่อาจลากรถม้าได้อีกต่อไป
ไม่นานนัก ม้าก็ล้มลงในลานต่อหน้าต่อตาพวกเขา
“นี่…” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงเอ่ย “ขออภัยแล้วจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าม้าตัวนี้จะใช้การไม่ได้เช่นนี้”
“ไม่เป็นไร ๆ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ผู้ใดจะเอาแน่เอานอนกับสัตว์ได้” ฮูหยินรองหัวกล่าว “พอดีจวนเราเพิ่งมีม้าชั้นดีเข้ามาหลายตัว นำสักตัวไปลากก็ใช้ได้แล้ว”
“เช่นนั้น อีกประเดี๋ยวเราจะนำมันกลับมาคืนจวนท่าน”
“ไม่จำเป็น” ฮูหยินรองหัวกล่าว “พวกเราคนกันเองไม่ต้องเกรงอกเกรงใจเพียงนั้น ม้าเพียงตัวเดียวนับเป็นอะไร ไยต้องส่งกลับไปกลับมาด้วยเล่า?”
ทาสม้าจวนหัวนำม้าผูกให้สกุลสิง สตรีสกุลสิงขึ้นรถม้าอีกครั้งแล้วออกไปจากจวนหัว
เหตุการณ์นี้เป็นเพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีผู้ใดนึกถึงเรื่องนี้อีก ผู้ที่รู้ดีมีเพียงคนในและแขกผู้หนึ่งเท่านั้น และคนในผู้นั้นก็หวาดผวาเพราะแขกผู้เดียวที่ว่า ถึงขนาดนอนไม่หลับเป็นเวลาหลายคืนติดต่อกัน นี่ล้วนเป็นเรื่องราวในภายหลัง
ยามนี้เอง สิงเจียซือมองฮูหยินผู้เฒ่าสิงที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในใจนางเกิดความสงสัยอย่างไม่อาจอธิบายขึ้นมา
กล่าวกันตามหลักแล้ว จวนหัวและจวนทังกำลังจะเกี่ยวดองกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับจวนสิง เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าสิงจึงยังอารมณ์ดีเพียงนี้ อีกทั้งยังดียิ่งกว่าแต่ก่อนเสียด้วยซ้ำ?
ที่แท้นางมองข้ามสิ่งใด?
หรือว่านางพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป?
“ท่านย่า แม่นางสกุลทังผู้นั้นงดงามประหนึ่งบุปผาจริง ๆ มิน่าเล่า เหตุใดคุณชายสกุลหัวจึงหลงรักนาง” สิงเจียซือกล่าวเปรย ๆ ขึ้นมา “ข้าว่าพี่หญิงผู้นั้นไม่เลวเลย ยิ่งไปกว่านั้น ใต้เท้าทังยังมีวี่แววจะได้เลื่อนขั้น เช่นนั้นการแต่งงานระหว่างทั้งสองสกุลคงแน่นอนแล้ว”