สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 999 เฉิงอี๋เหมือนตาแก่คร่ำครึผู้นั้น
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 999 เฉิงอี๋เหมือนตาแก่คร่ำครึผู้นั้น
บทที่ 999 เฉิงอี๋เหมือนตาแก่คร่ำครึผู้นั้น
บทที่ 999 เฉิงอี๋เหมือนตาแก่คร่ำครึผู้นั้น
จวนสิง
ฮูหยินผู้เฒ่าสิงมองสิงเจียซือตรงหน้านางแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดจะหนีกระมัง?”
สิงเจียซือเอ่ย “ท่านย่าวางใจ ข้าจะไม่หนี”
สกุลลู่ไม่ใช่สกุลหัว อีกทั้งยังไม่ใช่รังมังกรถ้ำเสือ ไยต้องหนีเล่า?
เทียบกับสกุลสิงแล้ว สกุลลู่ไม่รู้ว่าดีกว่าเพียงใด ใต้เท้าลู่น้อยยิ่งเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีทางบังคับฝืนใจให้นางทำเรื่องที่ไม่ชอบ แม้กระทั่งในฝันนางยังไม่กล้าฝันว่าจะได้แต่งเข้าสกุลลู่ ยามนี้มีโอกาส ถึงแม้จะเป็นเพียงเรื่องหลอก นางก็จะไม่หนี
นอกจากนี้ ผู้ใดล้วนรู้ว่าลู่ฉาวอวี่มาสู่ขอด้วยตนเอง ท่านอ๋องลู่กับพระชายาก็มาแล้ว นางหนีไปตอนนี้ นั่นไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าสกุลลู่ฉาดใหญ่หรือ? นางไม่กล้าและยิ่งไม่มีทางทำ
“เช่นนั้นเจ้าจะซื้ออะไร? หากไม่มีเรื่องสำคัญ ให้บ่าวไปซื้อให้ก็ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงเอ่ย “งานแต่งของเจ้ากับใต้เท้าลู่น้อยใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว ข้าไม่อยากให้เกิดอะไรผิดพลาด”
“ของที่ข้าจะซื้อ พวกเขาซื้อไม่ได้” สิงเจียซือเอ่ย “หากท่านไม่วางใจก็ไปด้วยกันกับข้า เพียงแต่ข้าคิดว่าไม่จำเป็น อย่างไรก็มีเพียงคนโง่ที่จะหนีการแต่งงาน”
“ไปเถอะ!” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงยอมอ่อนข้อให้
ท้ายที่สุดหากสิงเจียซือแต่งเข้าจวนลู่แล้ว ภายหน้าแม้กระทั่งนางยังต้องเกรงใจหลานสาว ขณะที่นางยังไม่ได้แต่ง อย่าได้ให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่ลงจะดีกว่า ไม่เช่นนั้น นับประสาอะไรกับขัดตาสกุลลู่ อาจถึงขั้นกลายเป็นศัตรูเลยก็ได้
“เจ้าห้า เจ้าต้องจดจำไว้ว่าเจ้าเป็นแม่นางสกุลสิง ถึงแม้เจ้าแต่งเข้าสกุลลู่ ทว่าในสายตาผู้อื่นเจ้ากับสกุลสิงยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน เจ้าเข้าใจความหมายของข้ากระมัง?”
“ข้าเข้าใจ”
ส่วนจะสนใจหรือไม่นั้น นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
ท้ายที่สุดสิงเจียซือก็เข้าออกจวนสิงได้อย่างอิสระ
ก่อนอื่นนางไปตรวจดูทรัพย์สินของตน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับสหายจากชนเผ่าต่าง ๆ พบว่ามีบางคนเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว นางจึงนัดหมายทานอาหารค่ำกับพวกเขา จากนั้นจึงหารือเรื่องกิจการใหม่ของนาง
ขณะที่สิงเจียซือได้ทำตามความต้องการ ฮูหยินรองสิงก็ล้มป่วยเพราะเรื่องของสิงเจียเวย ไม่มีเวลามาสร้างปัญหาให้นางชั่วขณะ บ้านอื่นต่างกระตือรือร้นที่จะเกาะขานางไม่ยอมปล่อย สกุลลู่ทางนั้นก็เกิดเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งขึ้น นั่นคือลู่จื่ออวิ๋นคุณหนูใหญ่สกุลลู่ หรือก็คือฮองเฮาอาณาจักรเฟิ่งหลิน กลับมาพร้อมกับสามีและลูกชายหญิงของนางแล้ว
เซี่ยเฉิงจิ่นกำลังจะค้อมคำนับ มู่ซืออวี่ก็เอ่ยขึ้น “ท่านเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน พวกเราจะรับการคำนับของท่านได้อย่างไรกัน?”
“ท่านแม่กล่าวผิดแล้ว อยู่ในราชสำนักข้าเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ยามนี้ข้าเป็นเพียงลูกเขยของท่าน ท่านเป็นแม่ภรรยา หากลูกเขยทำได้ไม่ดี ท่านแม่ควรตีก็ตี ควรทำโทษก็ทำโทษ”
ลู่อี้เอ่ยนิ่ง ๆ “พวกเจ้ากลับมาถึงนี่ เดินทางเที่ยวนี้คงลำบากนัก พักผ่อนก่อนเถิด ตอนเย็นค่อยรวมตัวกันทานอาหาร”
ลู่จื่ออวิ๋นกลับมาแล้ว ทั้งจวนลู่ต่างก็มีความสุขกันถ้วนหน้า
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์กับฉาวจิ่งก็กลับมาแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ครอบครัวพวกเราท้ายที่สุดก็กลับมาพร้อมหน้ากันเสียที”
“ข้าอยู่ระหว่างทางได้ยินเรื่องของเสี่ยวชิงเอ๋อร์” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “อยู่ในยุทธภพชื่อเสียงโด่งดังทีเดียว ข้างกายนางมีจอมยุทธ์หลายคน ยังมีผู้หนึ่งเป็นถึงประมุขพันธมิตรยุทธภพ”
“นางอยากออกไปท่องโลก ข้ากับพ่อนางไม่ได้ขวางแต่ให้นางได้ออกไปวิ่งเล่น อย่างไรเสียก็ยังเยาว์วัย จะได้เปิดหูเปิดตามองโลกกว้าง กักขังนางไว้ที่บ้านย่อมเป็นการผิดต่อนางแล้ว”
“ท่านพ่อท่านแม่เป็นพ่อแม่ที่ดีที่สุดในโลก” ลู่จื่ออวิ๋นกอดแขนมู่ซืออวี่ โน้มศีรษะเข้ามาหานาง “ได้เป็นลูกของพวกท่าน พวกเราโชคดีจริง ๆ”
“เป็นแม่คนแล้ว ไยยังออดอ้อนเช่นนี้อยู่เล่า?” มู่ซืออวี่ลูบศีรษะลู่จื่ออวิ๋นเบา ๆ
“ถึงแม้ข้าจะอายุเจ็ดสิบแปดสิบปี ก็ยังเป็นลูกสาวของท่านพ่อท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวยิ้ม ๆ
เซี่ยเฉิงอี๋เดินเข้ามา ค้อมคำนับมู่ซืออวี่ “ท่านยาย”
มู่ซืออวี่เห็นเขาอายุยังน้อยกลับทำท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง ดูคล้ายคลึงกับลู่อี้ ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“เฉิงอี๋มีเรื่องอะไรหรือ?”
“เมื่อครู่เห็นทางนั้นมีกลไก ข้าเรียนได้หรือไม่ขอรับ?” เซี่ยเฉิงอี๋เอ่ย “เสด็จแม่มักจะบอกว่าผู้ที่ฉลาดที่สุดในครอบครัวคือท่านยาย อะไรล้วนทำได้ทั้งสิ้น ครั้งนี้เฉิงอี๋มาเพราะอยากขอคำแนะนำจากท่านยาย”
“เหตุใดเจ้าจึงอยากเรียนเล่า?”
“อาณาจักรเฟิ่งหลินเรามีหมู่บ้านบนเขาแห่งหนึ่ง ด้านหลังหมู่บ้านแห่งนั้นมีภูเขาใหญ่อยู่ลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนั้นใหญ่มาก บนเขามีสัตว์ร้ายมากมาย สัตว์ร้ายบนเขาลงมาโจมตีชาวบ้านอยู่บ่อยครั้ง ข้าเห็นกลไก คิดว่าน่าจะใช้จัดการกับสัตว์ร้ายเหล่านั้นได้ขอรับ”
“ในเมื่อสัตว์ร้ายเหล่านั้นน่ารังเกียจเช่นนี้ เหตุใดไม่โน้มน้าวชาวบ้านให้ย้ายออกไปเล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“เมื่อเผชิญกับความยากลำบาก สิ่งแรกที่เราควรไตร่ตรองคือหาทางแก้ปัญหา ไม่ใช่หลีกเลี่ยง ในเมื่อมีวิธีที่ดีกว่า แน่นอนว่าย่อมต้องใช้วิธีที่ดีกว่า หากไม่พบวิธีที่ดีกว่า พวกเราถึงจะหลบหลีกโรคหลบเลี่ยงภัยร้าย”
“ตอนนี้เฉิงอี๋เป็นรัชทายาทแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จืออวิ๋นตอบรับ
“พ่อเขาไม่อยากให้ข้าต้องทรมานจากการคลอดบุตร บอกว่าอี๋เอ๋อร์ของเรามีความสามารถในการปกครอง นำพาความสงบสุขมาสู่ใต้หล้า จึงอยากให้เขาสืบทอดราชบัลลังก์ ขณะที่เขาอายุได้สามขวบ พ่อเขาก็แต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาทแล้วเจ้าค่ะ”
“เฉิงอี๋อยากเรียนอะไรก็เรียนอันนั้น ยายจะสอนทุกอย่างให้เจ้า” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากเจ้าคิดว่าระยะเวลาสั้นเกินไป ข้าจะจัดเตรียมนายช่างฝีมือสักสองสามคนให้เจ้าพากลับไปอาณาจักรเฟิ่งหลิน”
“ขอบคุณท่านยาย” เซี่ยเฉิงอี๋ยิ้มสว่างเจิดจ้าออกมา
“ตอนนั้นข้าคิดว่าเขาดูเหมือนเจ้า” มู่ซืออวี่เอ่ย “ท่าทีเหมือนผู้เฒ่าน้อยเมื่อครู่นี้ ไม่เหมือนเจ้า ทั้งยังไม่เหมือนเฉิงจิ่น หากแต่เหมือนตาแก่คร่ำครึพ่อของเจ้าผู้นั้น”
“ท่านพ่อแก่ที่ใดกัน?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ลูกได้ยินว่า ท่านพ่อตอนนี้ยังมีผู้ที่ชื่นชอบมากมาย เพียงแต่เพราะท่านแม่ร้ายกาจ พวกนางจึงไม่กล้าแสดงตัวออกมา”
ลู่จื่ออวิ๋นถามถึงเรื่องการแต่งงานของลู่ฉาวอวี่ มู่ซืออวี่จึงเล่าสถานการณ์ของสิงเจียซือให้นางฟัง
“แม่นางสิงผู้นั้นข้าเคยได้ยินชื่อมาบ้าง” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “พี่ใหญ่แต่ไรมาไม่เคยชอบสตรีอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน จะชอบนางก็ไม่แปลกอะไร”
“ข้ากลับรู้สึกว่าการแต่งงานระหว่างพวกเขาสองคนแปลกอยู่เล็กน้อย” มู่ซืออวี่เอ่ย “มันรวดเร็วเกินไป”
“ท่านแม่ ลูกมีลูกถึงสองคนแล้ว ตอนนี้พี่ใหญ่เพิ่งเต็มใจจะแต่งงาน ยังเร็วอีกหรือเจ้าคะ?”
“ไม่มีเวลาที่บอกว่าวัยใดควรแต่งงาน มีเพียงความรู้สึกที่สมควรแต่งงาน เจ้าดูท่านอาฉีของเจ้า กระทั่งถึงบัดนี้ยังไม่มีคู่ครอง นั่นไม่ใช่เพราะยังไม่พบคนที่เขายินดีแต่งงานด้วยหรือ” มู่ซืออวี่กล่าว
“ผู้ใดเอ่ยถึงข้า?” เสียงของฉีเซียวดังขึ้นจากหน้าประตู
มู่ซืออวี่เห็นฉีเซียวเดินมาก็เอ่ยว่า “กลางวันแสก ๆ ไม่ควรเอ่ยถึงคนจริง ๆ พอเอ่ยถึงก็มาพอดี”
“ฝ่าบาทได้ยินว่าลูกสาวลูกเขยมาถึงแล้วจึงให้ข้ามาดู ขณะเดียวกันก็มาเชิญครอบครัวพวกท่านเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง”
“เข้าวังร่วมงานเลี้ยงหรือ? คืนนี้พวกเราคิดจะจัดงานเลี้ยงครอบครัว”
“ท่านต้องรู้ว่าลูกสาวกับลูกเขยของท่านไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาอย่างไรก็เป็นตัวแทนของอาณาจักรเฟิ่งหลิน ในเมื่อมาถึงอาณาจักรฮุ่ยแล้วก็ควรปรากฏตัวในวังเสียก่อน ส่วนภายหลัง ฝ่าบาทย่อมไม่สนใจพวกท่านแล้ว พวกท่านอยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”
“เดิมทีอยากให้พวกเจ้าพักผ่อนสองสามวัน แล้วค่อยพาพวกเจ้าเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท บัดนี้ดูเหมือนวันนี้ต้องไปร่วมงานเลี้ยงในวังก่อนแล้ว”
—————————————————-