Transmigration with QQ Farm สาวน้อยปลูกผัก - ตอนที่ 670
TQF:บทที่ 670 พระโอรสสารภาพรัก (3)
เมื่อมองย้อนกลับไปยังทุกสิ่งทุกอย่างในอดีค ฟางเต๋อซิวเหมือนแก่ขึ้นอีกหลายปี แม้ว่าพี่น้อง 3 คนจะรู้เรื่องราวขัดแย้งของผู้ใหญ่เหล่านี้ เมื่อก่อนตอนที่เคยได้ยินก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อได้ยินอีกครั้งในวันนี้ทำให้พวกเขารู้สึกแย่อย่างแปลกประหลาด กลัวว่าเรื่องแบบเดียวกันจะเกิดขึ้นกับลูกหลานของพวกเขาเอง และการทำร้ายกันแบบนี้ก็น่าตกใจจริงๆ
แม้ว่าเดิมทีผู้ฝึกฝนวิทยายุทธก็ฆ่าผู้คนมานับไม่ถ้วนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะถูกหรือผิดตราบใดที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองพวกเขาก็สามารถฆ่าเพื่อยึดของสิ่งนั้นไว้ แต่นั่นก็แค่สำหรับคนนอกเท่านั้น หากเกิดขึ้นกับลูกหลานตัวเองพวกเขารับไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นในเวลานี้พวกเขาจึงเข้าใจว่าการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านไม่สำคัญเท่าครอบครัวของตัวเอง หากถูกความเกลียดชังและผลประโยชน์ปิดหูปิดตาไว้ ท้ายที่สุดพวกเขาไม่ลงเอยด้วยดีแน่ เมื่อลูกหลานตัวเองต้องมาตายกันหมด แย่งชิงมาได้แล้วจะเกิดประโยชน์อะไร
ในขณะนั้นพวกเขาก็เข้าใจความปรารถนาดีของท่านพ่อ
และพวกเขาก็เข้าใจการตัดสินใจของท่านพ่อใจตอนนี้ แม้ว่าจะต้องสละตำแหน่งเจ้าบ้านก็ต้องยอม
“ท่านพ่อ ลุง ลุงใหญ่จะ…”
ฟางหมิงต๋าพูดถึงคนที่เขาเคยดูหมิ่นมากที่สุดก็ยังคงอึดอัดอยู่บ้าง ตอนนี้พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหานี้แล้วจริงๆ
พูดถึงบ้านใหญ่ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็รังแกกดขี่บ้านใหญ่มาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยเฉพาะเด็กๆของพวกเขายิ่งไปใหญ่ ข่มเหงดูหมิ่นคนบ้านใหญ่ราวกับเป็นคนรับใช้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้พวกเขาไม่รู้ว่าจะรู้สึกเสียใจหรือละอายใจดี ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคนเดียว
ผ่านไปพักนึงฟางเต๋อซิวจึงถอนหายใจและพูดขึ้น “ที่จริงครอบครัวลุงใหญ่ของพวกเจ้าเป็นคนดี นิสัยเหมือนท่านย่าใหญ่ ตอนนั้นที่ข้าและอาสามของพวกเจ้าร่วมมือกันบังคับให้เขาลงจากตำแหน่งเจ้าบ้านเขาก็ยอมรามือโดยไม่สู้รบกับเรา หลังจากที่หมิงเห้อถูกฟางหมิงจื้อทำให้พิการเขาก็ไม่ได้เอาเป็นเอาตายกับอาสามของพวกเจ้า เจ้าอย่าประมาทลุงใหญ่ไปนะ อย่างไรซะเขาก็สายตรงจากบ้านใหญ่ ในมือยังมีอำนาจอยู่บ้าง”
“เหตุผลที่เขาไม่ตอบโต้พวกเราพี่น้องก็เพราะเขายอม ยอมให้พวกเรารังแกจนไม่มีที่ยืนได้ ย้ายไปยังที่ห่างไกลเพราะไม่ต้องการเห็นคนในตระกูลฆ่ากันเองเพื่อแลกมาซึ่งความสงบสุข ไม่อย่างนั้นด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนั้นอยากจะสู้กับเราจนถึงที่สุดพวกเราก็คงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้อย่างง่ายดายหรอก ลำดับของตระกูลก็จะร่วงหล่นเพราะเหตุนี้”
เมื่อพูดแบบนี้ฟางเต๋อซิวก็มีสีหน้าที่บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอะไรอยู่ ตั้งแต่ที่เขาได้เป็นเจ้าบ้าน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความใจกว้างของพี่ชายตัวเอง ความไม่ยุติธรรมและความน้อยใจเพราะความแตกต่างทางสายเลือดในใจเขาก็ค่อยๆหายไป กลับยิ่งรู้สึกเคารพนับถือและขอบคุณพี่ชายในใจมากขึ้น
เขายอมเสียสละผลประโยชน์และศักดิ์ศรีเพื่อตระกูลจริงๆ เทียบกับน้องสามฟางเต๋อถังแล้วราวฟ้ากับดิน เขาอดเอ่ยขึ้นอีกครั้งไม่ได้ “เมื่อก่อนพวกเจ้ามองเขาอย่างไรข้าไม่สน แต่ข้าจะบอกให้ว่าตระกูลฟางของเราต้องการบรรลุเทพเทวามาพิทักษ์ตระกูล ในทางตรงกันข้าม นิสัยไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีเจ้าคิดเจ้าแค้นของอาสามของพวกเจ้าจะกลายเป็นเนื้องอกที่น่ากลัวที่สุดในตระกูล และสุดท้ายก็จะเป็นอันตรายต่อตระกูลฟางของเรา”
“แต่ท่านพ่อ ท่านยินดีคืนตำแหน่งเจ้าบ้านให้ลุงใหญ่จริงเหรอ” ฟางหมิงถังเหลือบมองพ่อแม่และพี่ชาย อดถามคำถามที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ออกไปไม่ได้
ธรรมชาติของมนุษย์นั้นล้วนเห็นแก่ตัว ต่อให้เป็นของที่แย่งชิงมาแต่หากต้องคืนกลับไปจริงๆพวกเขาก็ไม่เต็มใจ เจ็บใจราวกับว่าคนอื่นจะมาแย่งของๆตัวเองไป แต่ไม่คิดว่าตอนแรกตัวเองไปปล้นคนอื่นเขามาอย่างไร
คำพูดของเขาทำให้ท่านพ่อฟางเต๋อถังมองเขาอย่างมีความหมายพลางพยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง “ใช่ ข้าไม่เต็มใจ แต่จะทำอะไรได้ ในใจของข้าพวกเจ้าไม่ใช่ทายาทตระกูลที่มีคุณสมบัติพอจริงๆ อีกอย่างลูกชายแต่ละคนของพวกเจ้าก็ไม่มีพลังเท่าไหร่ แถมยังมีนิสัยที่หยิ่งจองหอง เจ้าคิดว่าพวกเขาจะสามารถแบกรับได้มั้ย”
“ในทางกลับกัน ในบรรดาเด็กรุ่นเจ้าข้ารู้สึกว่าหมิงเห้อที่ถูกรังแกมานานหลายสิบปีกลับสุขุมมากกว่า พวกเจ้ายังต่างกับเขาอีกเยอะ ตอนนี้ที่พวกเรายอมยกตำแหน่งเจ้าบ้านให้ตระกูลไปได้ไกลขึ้น เข้าใจมั้ย อีกอย่างตราบใดที่รุ่นหลังของเราโดดเด่นยอดเยี่ยม หลังจากนี้หลายสิบหรือหลายร้อยปีเราก็อาจจะมีโอกาสได้ครอบครองอำนาจอีกครั้ง”
“……” พี่น้องทั้ง 3 พยักหน้าเงียบๆ แม้พวกเขาจะเจ็บใจอยู่บ้างแต่พวกเขาก็รู้ว่าที่ท่านพ่อพูดคือความจริง คิดมากต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
“เดี๋ยวพวกเราไปหาหมิงเห้อและซูหยุนด้วยกัน ถึงเวลาแล้วคุยกันให้รู้เรื่องแล้ว ขืนปล่อยให้บ้านสามสร้างเรื่องต่อไปตระกูลของเราแย่แน่….”
พริบตาเดียวเหล่าผู้คนในศาลาก็คุยกันมา 2 ชั่วยามแล้ว ไม่ว่าแต่ละคนจะมีความคิดในใจอย่างไร แต่ในระหว่างที่คุยกันอยู่ก็ต้องยอมรับว่ามีความสุขมากกว่าตอนเจอกันครั้งแรก น้ำเสียงเป็นมิตรมากขึ้น คำพูดก็เป็นกันเองมากขึ้น ไม่ได้เป็นการสนทนาที่สุภาพและน่าอึดอัด
“เวลาไม่เคยหยุดรอใคร พวกเรามาที่นี่ได้สักพักใหญ่แล้ว ถึงเวลาที่ต้องบอกลาแม่นางเฉิงแล้วล่ะ” หวงฝู่หยีมู่ประสานมือกับเฉิงเสี่ยวเสี่ยวด้วยรอยยิ้ม
พระธิดาฉียวี่พยักหน้า “ข้าเองก็ออกมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ถึงเวลาต้องกลับแล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่บ้านคงต้องส่งคนออกมาตามหาแน่”
อีก 2 ท่านที่เหลือก็พยักหน้าเช่นกัน พวกเขาอยู่บ้านตระกูลฟางเป็นระยะเวลานานแล้ว เห็นได้ว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ดังนั้นต้องบอกลาและไปแล้ว
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวลุกขึ้น “ที่บ้านมีความไม่สะดวกจริงๆ วันนี้คงไม่รั้งให้ทุกท่านอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกัน อีกสัก 2-3 วันพวกเราจะจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นการขอโทษ หวังว่าถึงเวลานั้นพระโอรสและพระธิดาจะให้เกียรติมาด้วย”
“ไม่มีปัญหา” หวงฝู่หยีมู่รีบตอบและพูดยิ้มๆ “ต่อให้เจ้าไม่เชิญข้า ข้าก็จะชวนเจ้าออกไปเที่ยวเล่นอยู่ดี ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าปฏิเสธล่ะ อยากไปก็ได้ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
“เจ้าตัวโต เจ้าลำเอียง แล้วข้าล่ะ” หยูเฮงน้อยจ้องเขาเขม็งด้วยความไม่พอใจ อย่างกับเจอคนหักอกยังไงอย่างงั้น
“ฮ่าๆๆๆ”
หวงฝู่หยีมู่หัวเราะเสียงดังและมองนางด้วยความรักใคร่เอ็นดู “เจ้าก็ยิ่งไม่มีปัญหาเลย เจ้าสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะเสียสละเพื่ออยู่เป็นเพื่อนท่านสุภาพบุรุษเป็นไง”
“ชิ ข้าไม่ใช่สุภาพบุรุษ และข้าก็ไม่อยากเป็นสุภาพบุรุษด้วย ข้าเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเท่านั้น” หยูเฮงน้อยพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ฮ่าๆๆๆ คนจิตใจคับแคบและผู้หญิงนี่แหละที่เลี้ยงยาก….”
“เจ้าตัวโต เจ้าก็อยากโดนใช่มั้ย ข้าจะได้ช่วยเจ้าผ่อนคลายกระดูกซะหน่อยเป็นไง”
หยูเฮงน้อยยกกำปั้นขึ้นอย่างงอนๆ พูดขู่หวงฝู่หยีมู่