สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 113 เสด็จอาปวดหัว
“ไม่ต้องมาเรียกข้า ข้าอาวุโสกว่าเจ้า! และข้าจะไม่ขายเรือนร่างของข้าเพื่อแก้แค้นผู้อื่น!”
หมี่เฉินอี้ยืนเท้าเอวและแสร้งใช้ทัศนคติแบบผู้อาวุโส สตรีผู้นี้โหดร้ายเกินไป ดูเหมือนว่านางต้องการทำให้เขาตกเป็นเหยื่อจริง ๆ
นางยังมีความเห็นอกเห็นใจบ้างหรือไม่ นางเห็นใจที่องครักษ์จะต้องทุกข์ใจและเหี่ยวเฉา แล้วเหตุใดนางจึงไม่นึกถึงความรู้สึกของเขาบ้าง
ฉินปู้เข่อชำเลืองมองเขาอย่างว่างเปล่า บัดนี้อ๋องจั่วเสียนผู้ที่บอกว่ารอบตัวของเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนหายไปไหนแล้ว บัดนี้เขากำลังแสดงท่าทางของชายพรหมจรรย์และดีงาม
“หม่อมฉันหมายถึงน้องสาวสามของหม่อมฉันน่าจะมาหาท่านเร็ว ๆ นี้เพคะ”
หมี่เฉินอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและออกจากห้องไป
ฉินชิงเหยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อมองไปยังนางกำนัลที่มาเชิญนาง
ในตอนเริ่มต้น สิ่งที่นางและต๋งเหม่ยจิงคุยกันคือหลังจากเหตุการณ์เสร็จสิ้นแล้ว นางก็จะให้ตนพาเหล่าสตรีกว่าครึ่งตำหนักไปดู แต่เหตุใดถึงได้ชวนนางไปที่นั่น?
“แม่นางฉินที่สาม พระชายาขององค์รัชทายาทตรัสว่าแค่มาชมความสนุกไม่คุ้มหรอก และนางก็ต้องคุกเข่าให้แก่แม่นางเพื่อชดใช้หนี้บางส่วน ส่วนเรื่องที่แม่นางสามต้องเรียกให้คนอื่นมาดู แม่นางสามก็ฝากไว้กับคนอื่นได้”
ฉินชิงเหยียนยกยิ้มแปลก ๆ วิธีการของต๋งเหม่ยจิงผู้นี้โหดเหี้ยมกว่าพี่สาวคนโตของนางมาก นางกล้าหาญกว่า ฉุนเฉียวกว่า ไม่อาจเดาใจได้และนางเกลียดชังหญิงงามนัก คราวนี้นางได้พบคนที่ใช่จริง ๆ
แต่หลังจากพ่ายแพ้ในงานเลี้ยงในพระราชวังครั้งล่าสุดและแม่ของนาง ฮูหยินฉินก็ถูกจัดการ ฉินชิงเหยียนก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น หลังจากเดินไปถึงทางเข้าตำหนักเฮ่อเจียง นางก็ยื่นศีรษะมองเข้าไปข้างใน
ในตำหนักเงียบสงบ และตะเกียงก็ถูกจุดในห้อง
นางรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย ด้วยอุปนิสัยกดขี่ของต๋งเหม่ยจิง นางต้องทุบตีและด่าทอฉินปู้เข่ออยู่ในขณะนี้ แต่นางกลับไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เลย
เมื่อนางกำลังคิดที่จะบอกให้นางกำนัลเรียกต๋งเหม่ยจิงออกมา หมี่เฉินอี้ก็เดินเอามือไพล่หลังออกมาจากมุมห้อง
“มาเถิด” เขาเหลือบมองฉินชิงเหยียนที่อยู่ด้านข้าง “พระชายาขององค์รัชทายาทบอกว่านางต้องจัดการกับเรื่องส่วนตัวบางอย่างก่อน แล้วจึงจะปล่อยให้ข้าเข้าไปหลังจากเสร็จสิ้น”
ฉินชิงเหยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางรู้ว่าต๋งเหม่ยจิงจะหาผู้ชายให้ฉินปู้เข่อหลับนอนด้วย แต่นางคาดไม่ถึงว่าชายผู้นั้นจะเป็นอ๋องจั่วเสียน
เมื่อคิดดูแล้วนางก็คิดออก นามของอ๋องจั่วเสียนเลื่องลือ หลังจากถูกพบแล้วเขาก็จะยกความผิดทั้งหมดให้กับฉินปู้เข่อ เพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของเขาในฐานะเทพเจ้าแห่งสงครามในต้าเซี่ย และหลังจากเหตุการณ์นั้น อ๋องหลี่ชินก็จะไม่มีทางปิดข่าวได้แม้ต้องการหาใครสักคนมาเป็นตัวตายตัวแทน
พ่อของฉินชิงเหยียนต้องการให้นางใกล้ชิดกับอ๋องจั่วเสียน และบางทีหลังจากนี้นางก็อาจจะเข้าถึงความเข้าใจอย่างว่าที่ไม่อาจบรรยายได้กับอ๋องจั่วเสียน
นางปิดริมฝีปากและยกยิ้ม “ดูเหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘วีรบุรุษที่ยากฝ่าด่านหญิงงาม*[1]’ จะมีเหตุผล และพี่หญิงสองก็ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ด้วย”
เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว นางก็ก้าวเข้าไปใกล้หน้าอกของหมี่เฉินอี้สองสามก้าว แล้วเขย่งพลางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วกระซิบที่หูของเขาว่า “อ๋องจั่วเสียน ท่านคิดอย่างไรกับหม่อมฉันและพี่หญิงสอง ไม่ว่าใบหน้าของนางจะดูดีเพียงไหน แต่มันก็…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ นางก็หมดสติไปต่อหน้าต่อตา
หมี่เฉินอี้รีบก้าวถอยหลังหลังจากสับฝ่ามือ เพื่อให้แน่ใจว่าฉินชิงเหยียนจะไม่ล้มทับใส่เขา
เขาก้มศีรษะลงและเหลือบมองฉินชิงเหยียน ‘จุ๊’ เขารู้สึกสับสนนัก บัดนี้เด็กในเมืองหลวงเป็นถึงเพียงนี้เลยหรือ? เร่งรีบที่จะเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
เขาดึงแขนเสื้อของฉินชิงเหยียนอย่างรังเกียจและลากนางเข้าไปในห้อง ขณะที่เขาเดินไปนั้น ร่องรอยของความหดหู่ก็ผุดขึ้นเต็มหัวใจของเขา เขาใช้เวลามากกว่าสิบปีในกองทัพและกลับมายังเมืองหลวงในวัยสามสิบปี
เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่เขาพบนั้นอายุน้อยกว่าเขาสิบปีและพวกนางทุกคนล้วนไม่ธรรมดา คนหนึ่งโง่เขลาและขอให้เขาร่วมหลับนอนกับผู้อื่น คนหนึ่งกำลังยุ่งกับการถอดเสื้อผ้าของสตรีอื่นในห้อง ส่วนอีกคนหนึ่งก็กำลังพยายามจะจับเขาไปหลับนอนด้วย
โอ๊ย ปวดหัว
เขาโยนฉินชิงเหยียนลงข้างเตียง “นี่”
ฉินปู้เข่อลากฉินชิงเหยียนไปไว้บนเตียงอย่างไร้ความปรานี แล้วรีบถอดชุดของนางออกโดยทิ้งรอยแดงที่น่าสงสัยไว้บนร่างกายของนางด้วย
เมื่อนางวางมือของต๋งเหม่ยจิงลงบนหน้าอกของฉินชิงเหยียน ต๋งเหม่ยจิงก็กลอกตาและลืมตาแล้วขมวดคิ้ว
ฉินปู้เข่อสบตากับนางและตกตะลึงไปครู่หนึ่ง และก่อนที่ต๋งเหม่ยจิงจะตอบสนอง นางก็จับหัวนางขึ้นและกระแทกศีรษะของนางเข้ากับเตียง
คนที่เพิ่งฟื้นสลบไปอีกครั้ง
ฉากตรงหน้านางค่อย ๆ หอมหวน เย้ายวน ต๋งเหม่ยจิงที่ครึ่งเปลือยกายทับฉินชิงเหยียนที่เปลือยกายอยู่ และมือของนางกำนัลก็ผูกติดอยู่กับหัวเตียง
ฉินปู้เข่อปรบมืออย่างพึงพอใจแล้วหันศีรษะไปถามชายที่อยู่ข้างนางว่า “ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เสด็จอา เมื่อเห็นภาพเช่นนี้แล้วท่านรู้สึกอย่างไรหรือเพคะ”
“อืม มันเข้าที่แล้ว” ในสายตาของหมี่เฉินอี้นั้น เขาไม่มีความต้องการทางเพศแม้แต่น้อยและแสดงท่าทางประชดประชันอย่างยิ่ง
“อย่างไรก็เถอะ เสด็จอา ท่านเก่งวิชาตัวเบาใช่หรือไม่ ท่านสามารถพาหม่อมฉันไปที่ลานตำหนักตระกูลจานทีหลังได้ หลังจากที่หม่อมฉันเข้าไปแล้ว ท่านก็ไปเรียกให้คนมาดูได้”
ทันทีที่นางก้าวออกจากประตู นางก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่ผนังทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตำหนัก
ผ่านกำแพง นางเห็นร่างของชายคนหนึ่งกำลังหลบหนีออกจากประตูลับ ด้วยความมืดในยามนี้ นางจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
ขณะที่นางกำลังเพ่งมองอยู่ จู่ ๆ ชายผู้นั้นก็หันกลับมาและมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างระมัดระวัง ราวกับว่าเขารู้ตัวว่ามีคนกำลังสอดแนมตัวเองอยู่
ฉินปู้เข่อตกตะลึงกับการหันหลังกลับมานี้ นางจึงก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวโดยสัญชาตญาณแล้วกะพริบตาสองสามครั้ง
“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ” เมื่อเห็นใบหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน หมี่เฉินอี้ก็เดินตามสายตาของนางไปเพื่อดูกำแพงที่มืดมิด
ฉินปู้เข่อยกยิ้มแห้ง “หม่อมฉันเห็นแมววิ่งผ่านความมืดมาเมื่อสักครู่นี้เพคะ”
หมี่เฉินอี้หัวเราะเยาะ โดยไม่ได้กังขาเกี่ยวกับนางแต่อย่างใด
สุดท้ายเขาก็รู้เพียงว่าฉินปู้เข่อมีดวงตาที่ดีและสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ บนต้นไม้หรือในความมืดได้ แต่เขาไม่กล้าคิดว่าจะมีใครมองเห็นผ่านกำแพงได้
วิชาตัวเบาของหมี่เฉินอี้นั้นน่าทึ่งยิ่งนัก โดยใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยหนึ่งในสี่ชั่วยามของการเดินจากตำหนักเฮ่อเจียงไปยังตำหนักเฟิงหย่าที่เป็นที่ตั้งของที่พักของคนสกุลจานเท่านั้น
การทำให้ตัวเบาได้จึงเป็นสิ่งที่วิเศษมาก
ทันทีที่ฉินปู้เข่อยืนอย่างมั่นคงที่หน้าประตูตำหนักเฟิงหย่า หลูอี้ที่ยืนอยู่ข้างจานหานชิวก็เดินออกมาจากประตู
“ข้าน้อยกำลังจะไปต้อนรับพระชายาเพคะ เมื่อสักครู่นี้ข้าน้อยมีอาการปวดท้องและขอให้สาวใช้อีกคนไปเชิญพระชายาแทน ข้าน้อยกำลังคิดว่าเหตุใดพระชายาถึงยังไม่มา”
ฉินปู้เข่อยกยิ้มและกล่าวว่า “ต้องใช้เวลาสักครู่ในการสนทนากับท่านอ๋องก่อนจะจากมา ทำให้นายหญิงของเจ้าต้องรอเป็นเวลานาน”
ผ่านไปประมาณหนึ่งในสี่ชั่วยามตั้งแต่นางออกจากตำหนักถงจิ้ง หลูอี้ผู้นี้ได้ออกไปหาใครสักคนเมื่อสักครู่นี้ แล้วนางบอกตงชวนให้ไปแทนชั่วคราวเพราะปวดท้องจริงหรือ?
นางต้องการจะดูท่าทางของหลูอี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น แต่อีกฝ่ายก็หันหลังกลับไปนำทางเสียก่อน
จานหานชิวนั่งอยู่บนเตียงอุ่นในห้องคนเดียว เมื่อเห็นนางเข้ามา นางก็ไม่หยุดเข็มและด้ายในมือและพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่ตั้งนานแล้ว และดูเหมือนว่าข้าคงจะไม่สำคัญเท่ากับอ๋องหลี่ชิน”
ฉินปู้เข่อเอื้อมมือไปเกาจมูกของนาง “ดูเหมือนว่าคุณชายซือต้องรีบขอบ้านสกุลจานแต่งงานแล้ว เพื่อช่วยให้ใครบางคนไม่ต้องเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้องส่วนตัว”
จานหานชิวหน้าแดง หยิบเข็มในมือของนางขึ้นมาทำทีจะแทงนาง ทว่าใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้ม “ข้าต้องเย็บปากเล็ก ๆ ของเจ้าแล้ว เจ้าพูดเล่นได้ทั้งวัน”
หลังจากหัวเราะได้ไม่นานก็มีคนข้างนอกเข้ามารายงานว่าแม่นางลู่มาขอเข้าพบ
จานหานชิวมองฉินปู้เข่อด้วยความสงสัย: “ลู่ชูอี้หรือ? เจ้าได้เจอนางหรือไม่?”
…………………………………………………………………………….
[1] วีรบุรุษผู้เก่งกล้ายังพลาดท่าเสียทีด้วยฤทธิ์นารี