สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 12 เมรัยกลืนกิน
บทที่ 12 เมรัยกลืนกิน
แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมแพร่เหนือศีรษะ เพียงแค่ครู่เดียวหน้าผากของฉินปู้เข่อก็มีเหงื่อซึมอยู่เต็มไปหมด
“เพคะ” นางลุกขึ้นอย่างนอบน้อม หลุบสายตามองต่ำสองมือที่ประสานกันอยู่บริเวณหน้าท้อง สองเท้าเล็ก ๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
หมี่โม่หรู่เงยหน้าขึ้นมองร่างกายที่สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวของหญิงสาว ความประหลาดใจฉายชัดในดวงตาคู่นั้น
ทั้งเขาและองค์รัชทายาทต่างรู้ดีว่าสีหน้านิ่งเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ของเสด็จพ่อ มักจะเกิดขึ้นเมื่อเขาอยู่ในอารมณ์โกรธขั้นสุด
ความจริงแล้วเขาต่างรู้ดีว่าเสด็จพ่อไม่โปรดปรานในตัวเขา การที่เขาแต่งงานกับลูกสาวอนุมหาเสนาดีไม่ใช่เรื่องใหญ่จนเกิดผลกระทบแต่อย่างใด เช่นนั้นแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กก็ย่อมได้
หากแต่สิ่งที่พ่อโกรธที่สุดกับเรื่องนี้คือการเพิกเฉยและท้าทายอำนาจขององค์รัชทายาท
ทว่า…
หมี่โม่หรู่กวาดสายตามองหมี่เซวียนโดยไม่ให้เขารู้ตัว ตั้งแต่ 15 ปีก่อน การที่เขาต้องรับโทษและรับรองอารมณ์โมโหจากการกระทำผิดของหมี่เซวียนนั้นกลายเป็นเรื่องปกติคุ้นชินไปแล้ว
อย่างเช่นครั้งนี้
เพียงแค่หมี่เซวียนกราบทูลเสด็จพ่อว่าเขาชื่นชมและเอ่ยชมความงามและความเฉลียวฉลาดของฉินปู้เข่อ ด้วยการที่หมี่เซวียนไม่อยากให้พี่น้องต้องมีเรื่องบาดหมางกัน จึงยอมให้ฉินปู้เข่อแต่งงานกับเขาแทน
การแก้ตัวด้วยเรื่องราวไร้สาระเช่นนี้กลับทำให้ท่านพ่อเชื่ออย่างสนิทใจ สุดท้ายแล้วเขาก็เหลือเพียงเชื่อเหตุผลที่ไม่ก่ออันตรายให้กับองค์รัชทายาทเท่านั้น
“ช่างเป็นใบหน้าที่งดงามเหลือเกิน” ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยเอ่ยเสียงเข้ม แม้ว่าสตรีในวังหลังของเขาจะมีมากถึงสามพันนาง แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่มีผู้เทียบเทียมเด็กสาวผู้นี้ได้เลย
แต่ในเมื่อการกระทำครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อความปรองดองระหว่างพระราชโอรส ต่อให้สวยเพียงใดก็มิอาจเก็บเอาไว้ได้
“นำเมรัยกลืนกินมา”
หมี่โม่หรู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่นานก็ปรับสีหน้าให้เรียบเฉยดั่งปกติ ประหนึ่งว่าเขาไม่รู้จักกับสตรีนางนั้น ราวกับว่านางมิใช่ชายาอ๋องหลี่ชินที่เขาสมรสและรับเข้าตำหนักมาเมื่อวาน
เขาไม่มีความรู้สึกสงสารฉินปู้เข่อเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ตะลึงกับความลำเอียงที่เสด็จพ่อมีต่อองค์รัชทายาทอย่างไม่ปิดบัง เพียงเพื่อให้คำโป้ปดขององค์รัชทายาทไม่ถูกเปิดโปง ถึงกับต้องลงโทษผู้บริสุทธิ์ด้วยความตายเลยหรือ
เมรัยกลืนกิน?
สองขาของฉินปู้เข่ออ่อนแรง ทรุดตัวลงกับพื้นหายใจถี่รัวเพราะความหวาดผวา
ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว เมื่อครู่นางแค่รู้สึกว่าการถอนหมั้นนั้นเป็นความคิดของตัวเองจริง ๆ หากจะให้คนขี้โรคอย่างหมี่โม่หรู่รับผลที่ตามมา ก็คงจะไม่เป็นธรรมไปหน่อยจึงทะเล่อทะล่าเข้ามาในพระตำหนัก
หากแต่นางคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะประทานเหล้าพิษแก่นาง
เท่าที่นางจำได้ เมรัยกลืนกินมีผลเหมือน ๆ กับหงอนกระเรียนและเหล้าพิษ เป็นสุราอาบยาพิษหากดื่มเขาจะทำให้คนผู้นั้นตายตกไป
ฮ่องเต้ผู้นี้เป็นโรคจิตหรือเปล่า ประโยคแรกเอ่ยเชยชมนาง แต่ประโยคต่อมากลับต้องการปลิดชีพตน
แม้เส้นทางความคิดของเขาจะบิดเบี้ยวไปสักเล็กน้อย หากคิดว่าการที่นางแต่งงานเข้าตำหนักอ๋องหลี่ชินเป็นเรื่องที่ไม่สมควร จะรับนางเข้าวังหลังไปเป็นเมียน้อยของหมี่โม่หรู่นางก็ยังรับได้
ณ เวลานี้ชีวิตของนางสำคัญที่สุด แม้ว่านางจะหมายปองเปลือกนอกอันแสนดูดีหมี่โม่หรู่ แต่อย่างไรเสียนางก็เพิ่งได้เจอเขาเมื่อคืน เช่นนั้นแล้วก็คงไม่จำเป็นต้องทิ้งชีวิตเพียงเพื่อคนหล่อที่เพิ่งได้พบหน้า
การทะลุมิตินั้นไม่ง่ายเลย เช่นนั้นนางก็จะรักษาโอกาสที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ดี
นางควรทำอย่างไรดี ใครก็ได้ช่วยนางที
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ก็มีข้าราชบริพารนำถาดขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเย็นชา “คุณหนูรองฉินโปรดดื่ม”
ฉินปู้เข่อคลี่ยิ้มแห้ง เหตุใดบุคคลนี้ถึงพูดง่ายราวกับชวนนางดื่มชานมล่ะ
“ฝ่าบาท นางกำนัลผู้ติดตามองค์ฮองเฮามีเรื่องต้องการกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ดวงตาที่หลุบมองต่ำของฉินปู้เข่อเปล่งประหาย หรือว่าจะมีคนมาช่วยนางแล้ว
ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง “เรียกนางเข้ามา”
ฟางรั่วเดินก้มหน้าเข้ามา ไม่เฉไฉมองทิศอื่น นางเดินอ้อมโต๊ะเข้ามากระซิบข้างหูฮ่องเต้เสียงแผ่ว
ไม่นานนักฟางรั่วก็ถอยหลังไปสามสี่ก้าว โค้งตัวคำนับและหนุมกายเดินจากไป
ฉินปู้เข่อดึงความคิดตัวเองกลับมายังสุราพิษตรงหน้าตนเอง นางเงยหน้าเหลือบตามองฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง
สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ๆ ออกมา
ก็ได้ ผู้ที่เป็นถึงฮ่องเต้ล้วนแต่ลึกล้ำดั่งมหาสมุทร นางจึงย่อมไม่เห็นอารมณ์ใด ๆ จากสีหน้าของเขาอยู่แล้ว ดูท่าคงจะไม่รอดจากเหล้าพิษจอกนี้แล้วสินะ
ดื่มก็ดื่ม ตอนนี้นางเพียงแต่หวังว่าเหล้าพิษจอกนี้จะพานางกลับไปยังศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด และคิดซะว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ผ่านมาเป็นแค่ฝันไป
ฉินปู้เข่อสูดหายใจเข้าลึกและเบ้ปาก ก่อนจะตัดสินใจยกจอกเหล้าพิษขึ้นมา