สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 130 วางเพลิงก่อนเพื่อช่วยชีวิตคน
“แต่อัครมหาเสนาบดีกำลังพูดถึงจวนใหม่ต่อหน้าข้าหรือ” น้ำเสียงของหมี่เฉินอี้เปลี่ยนไปและเขาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “เมื่อสักครู่นี้ข้าเผลอทำไฟตกตอนที่เดินทางผ่านจวน และบังเอิญพลาดใส่บ้านหลังหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่ามันใช่ของอัครมหาเสนาบดีหรือไม่”
“เจ้า…”
หมี่เฉินอี้หันไปมององครักษ์ที่อยู่ข้างเขา “แต่ดูเหมือนว่าข้าจะได้ยินหญิงสาวหลายคนกรีดร้อง จุ๊จุ๊ ไม่ดีเลยที่หญิงสาวจำนวนมากจะต้องถูกเผาจนตาย เจ้าได้ช่วยปล่อยพวกนางไปหรือไม่?”
“ปล่อยไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกน้องของกระหม่อมมีเมตตาและไม่อาจทนเห็นหญิงสาวถูกเผาทั้งเป็นได้ เมื่อไฟเริ่มโหมขึ้น พวกเขาก็เปิดประตูบ้านและขับไล่ทุกคนออกไป” องครักษ์รายงานด้วยความเคารพ
“ดีมาก มีจริยธรรมต่อส่วนรวม” หมี่เฉินอี้กล่าวชื่นชมด้วยรอยยิ้ม “กลับไปต้องได้รับรางวัล!”
ต๋งชวนโกรธจัดจนหน้าซีด และหัวใจของเขาเป็นทุกข์มากจนชี้หน้าหมี่เฉินอี้ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “อ๋องจั่วเสียน เจ้า! เจ้า!”
เขาใช้เวลาหลายเดือนและใช้แรงไปมากกับการรวบรวมหญิงสาวเข้าามาในบ้านหลังนี้มา ซึ่งแตกต่างจากหญิงสาวที่ซื้อตัวมา ส่วนใหญ่เป็นลูกสาวของนักธุรกิจผู้มั่งคั่งหรือเจ้าหน้าที่เทศมณฑลเล็ก ๆ พวกนางจึงมีความหยิ่งผยองและมีมารยาทดี ดังนั้นพวกนางจึงเหมาะที่สุดสำหรับการอบรมสั่งสอน
บัดนี้พวกนางถูกปล่อยตัวไปหมดแล้ว!
“รายงานท่านอ๋อง เมื่อลูกน้องของกระหม่อม ‘เผาจวนโดยไม่ได้ตั้งใจ’ พวกเขาก็พบว่าห้องหนึ่งเต็มไปด้วยขวดและไห ซึ่งของในนั้นน่าขยะแขยงยิ่งนัก เขาจึงพลาดทำลายสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด และกระหม่อมหวังว่าท่านอ๋องจะทรงลงโทษเขา”
ต๋งชวนโกรธจัดจนเกือบกลอกตา ไหเหล่านั้นเต็มไปด้วยสมบัติที่เขาสะสมและเก็บรักษามาหลายปี!
“เอ๊ะ ข้าจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ดี ไม่มีหญิงสาวให้ข้าเลือกแล้วหรือ?! ช่างเถิด ข้าจะพาเด็กสาวสกปรกกลับเข้าไปในรถม้าอย่างไม่เต็มใจก็ได้”
หมี่เฉินอี้พูดและลงจากหลังม้าแล้วก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ ว่า “คราวหน้า เมื่ออัครมหาเสนาบดีมีลูกสาวอีกคน ข้าจะมาเลือกคนดีที่สุดสำหรับเจ้าเจ็ดแน่นอน”
ต๋งชวนเผชิญกับรอยเท้าที่หมี่เฉินอี้ขัดขวางไม่ให้เขาก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง และองครักษ์จากจวนสกุลต๋งหลายคนก็ขี่ม้ามาอย่างตื่นตระหนก “นายท่าน จู่ ๆ จวนก็เกิดไฟไหม้ และทุกคนก็พยายามดับไฟ อย่างเต็มที่ ทว่าจวนส่วนใหญ่ถูกไฟไหม้หมด และมุมหนึ่งของห้องอ่านหนังสือก็ถูกเผาขอรับ…”
“ไร้ประโยชน์! ไร้ประโยชน์!” สิ่งของส่วนใหญ่ในห้องอ่านหนังสือเป็นความลับและไม่สามารถทำให้เสียหายได้
ต๋งชวนนึกสาปแช่งและจ้องหมี่เฉินอี้อย่างโกรธแค้น “อ๋องจั่วเสียน มือของท่านยาวเกินไปแล้ว”
“ใครบอกว่าไม่ใช่ เหตุใดอัครมหาเสนาบดีจึงไม่ตัดมือของข้าไปข้างหนึ่งแล้วเอากลับไปแช่ไว้เล่า!” หมี่เฉินอี้เงยหน้าขึ้นและเหยียดแขนออกไปตรงหน้าต๋งชวนอย่างไม่ตั้งใจ แล้วเลิกคิ้วขึ้น “รีบไปเร็ว มิฉะนั้นบ้านทั้งหลังของเจ้าจะถูกไฟไหม้ในไม่ช้า”
“รอดูต่อไปเถิด!” ต๋งชวนกระโดดขึ้นรถม้าที่องครักษ์นำมาและรีบกลับไป
หมี่เฉินอี้ยืนอยู่ที่นั่นและมองดูฝุ่นที่ตลบและตะโกนว่า “เฮ้ อัครมหาเสนาบดี ข้าต้องการเพียงแค่คนที่อยู่ข้างใน ไม่ใช่รถม้า เจ้าบังคับมอบมันให้ข้าเป็นสินบน—”
ภายในรถม้า ฉินปู้เข่อไม่เคยตั้งตารอคอยหมี่เฉินอี้มากเท่าตอนนี้มาก่อน โดยคาดหวังว่าเขาจะยกม่านขึ้นและแก้มัดให้นาง
นางยังคิดว่าอาที่เย่อหยิ่งและถือว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสอยู่เสมอผู้นี้นั้นก็ค่อนข้างดี อย่างน้อยเขาก็ยินดีที่จะช่วยหลานชายของเขาหาภรรยาและสมองของเขาก็ปราดเปรื่อง เขาวางเพลิงเผาจวนเพื่อช่วยนาง
บัดนี้นางอยู่ในรถม้า นางตื่นเต้นมากเสียจนลืมความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บที่เท้าไปเลย
ดังนั้นนางจึงมองหมี่เฉินอี้ที่เดินเข้ามาในรถด้วยสายตาขอบคุณ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเคารพและความรักที่มีต่อเขา
นางสัญญาว่าในอนาคตนางจะเรียกเขาจากใจว่า ‘เสด็จอาเก้า’ ในทุกคำ
“เพียะ!”
หมี่เฉินอี้มาถึงก็ตีด้วยพัดในมือและมองฉินปู้เข่ออย่างไม่พอใจ ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างรีบร้อน “สาวน้อย เจ้าเป็นคนเก่งไม่ใช่หรือ หากเจ้าได้รับบาดเจ็บหมี่โม่หรู่จะเดือดร้อน”
“อืม อืม!” ฉินปู้เข่อนำความกตัญญูและความเคารพที่เปล่งออกมาจากภายในกลับคืนไป เมื่อจ้องมองหมี่เฉินอี้แล้วก็อยากจะกัดเขา
“โอ้ ข้าลืมไปว่าปากของเจ้ายังถูกปิดอยู่ เจ้าจึงพูดไม่ได้” หมี่เฉินอี้ยกยิ้มและเหยียดมือออกไปแกะผ้าออกจากปากของนาง แล้วมองนางด้วยความสนใจ “มองอะไร มองอะไร ข้าพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเจ้านะ เจ้าต้องมีความกตัญญู!”
ฉินปู้เข่อกัดฟัน “ถูกสุนัขกิน!”
คนบางคนก็ยังคงน่ารำคาญแม้จะทำความดีก็ตาม!
หมี่เฉินอี้บุ้ยปากและถอนหายใจขณะแก้เชือก “เจ้าคงคิดว่าข้าต้องการจะลักพาตัวเจ้าและเรียกค่าไถ่จากเจ้าเจ็ด ไม่ต้องมากหรอก เพียงแค่ห้าพันตำลึงก็เพียงพอแล้ว”
“แล้วโม่หรู่เล่า เขาได้พบกับนักฆ่าที่วัดหลานหลงหรือไม่เพคะ” แม้ว่านางจะรู้ว่าสถานการณ์ทั้งหมดเป็นแผนลวงของต๋งเหม่ยจิง แต่นางก็ยังกังวลว่าจะมีใครบางคนโจมตีหมี่โม่หรู่จริง ๆ
“ก็ยังดี ต๋งเหม่ยจิงจัดรถม้าสองคันให้วิ่งแยกกัน และเขาก็ไปไล่ตามรถม้าอีกคันหนึ่ง”
เมื่อหมี่เฉินอี้ก้มศีรษะเพื่อแก้เชือกที่เท้าของนาง คิ้วของเขาก็ขมวด “เท้าของเจ้าบาดเจ็บหรือ? เหตุใดเจ้าไม่บอกว่าเจ็บเล่า”
“หม่อมฉันอยากให้ท่านเห็นเอง เหตุใดท่านไม่รับเงินห้าพันตำลึงแล้วค่อยคิดเรื่องนี้ต่อไป”
“เอามันมานี่” หมี่เฉินอี้แก้เชือกแล้วเอื้อมมือออกไปหาฉินปู้เข่อ
ฉินปู้เข่อมองอย่างระแวดระวัง “ท่านจะเอาอะไร? ห้าพันตำลึงหรือ? ไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ท่านเสียไปเองและไม่อาจคืนให้ท่านได้”
หมี่เฉินอี้ส่งเสียง ‘จุ๊’ แล้วกำลังจะยกมือขึ้นตบหน้าผากของฉินปู้เข่อ แต่เมื่อเขากำลังจะตบนาง เขาก็มองหญิงสาวตัวเล็กที่ตัวเปื้อนฝุ่นตรงหน้าเขาแล้วยักไหล่ และหันไปใช้นิ้วชี้ “เจ้าช่วยคืบหน้ากว่านี้หน่อยได้หรือไม่ ข้ากำลังขอ ‘น้ำห้ามเลือด’ เพื่อรักษาบาดแผลของเจ้า!”
“โอ้” ฉินปู้เข่อกะพริบตาแล้วหยิบ ‘น้ำห้ามเลือด’ ออกมาจากแขนเสื้อของนาง “หม่อมฉันจะทำเอง”
เมื่อพูดจบนางก็เอื้อมมือไปที่เท้า แต่มือและเท้าของนางถูกมัดไว้นานเกินไป บัดนี้นางจึงรู้สึกเจ็บและชาจนไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อย ต้องใช้เวลานานเพื่อที่จะขยับเท้าได้เล็กน้อย
“จงกล้าหาญต่อไป ทำต่อไป” หมี่เฉินอี้คว้า ‘น้ำห้ามเลือด’ ออกจากมือของนางแล้วถอดรองเท้าของนางออก และดุขณะทำความสะอาดบาดแผลด้านนอก “ลูกหลานในรุ่นของเจ้าเติบโตขึ้นมาอย่างไร เจ้าหุนหันพลันแล่นนักและเจ้าช่างดื้อรั้นราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ!”
ปากของเขายังคงบ่นต่อไปและการเคลื่อนไหวของมือของเขาก็เบามาก เพราะเกรงว่า ‘น้ำห้ามเลือด’ จะถูกเทเร็วเกินไปจนทำให้แผลระคายเคือง
“เจ็บหรือไม่ เมื่อเจ็บจงร้องออกมา”
“ไม่เจ็บ” ฉินปู้เข่อหันหน้าหนีและหยุดดูบาดแผล
บาดแผลที่ฝ่าเท้าหายไปอย่างรวดเร็ว หมี่เฉินอี้มองนางที่เบือนหน้าหนี และจู่ ๆ ก็กดแผลบนหลังเท้าที่ยังไม่หายดี
ฉินปู้เข่ออดไม่ได้ที่จะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
หมี่เฉินอี้พูดด้วยท่าทางที่เขาควรจะทำตั้งนานแล้ว “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าหากมันเจ็บก็แค่ร้องออกมา อย่าเย่อหยิ่ง สาวน้อยต้องหัดเรียนรู้ที่จะทำตัวเหมือนเด็กนิสัยเสียบ้าง”
ฉินปู้เข่อไม่อาจทนได้อีกต่อไป นางจะด่าหมี่เฉินอี้เสียงดัง แต่ยังไม่ทันได้ด่าอารมณ์ของนางก็แตกสลายอย่างสมบูรณ์ และนางก็ทรุดตัวลงกับพื้นและร้องไห้
……………………………………………………………………..