สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 135 สองข้ารับใช้ผู้ภักดี
“ท่านไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จนกว่าจะพบคนที่เหมาะสมเหมือนต๋งชวนที่จะรับช่วงต่อเป็นอัครมหาเสนาบดี” หมี่โม่หรู่เสริมว่า “มันเป็นเรื่องของอำนาจทางการทหาร ซึ่งเสด็จพ่อจะไม่เปลี่ยนคนง่าย ๆ เว้นแต่เสด็จพ่อจะไม่ไว้วางใจเขา”
หมี่ฉงขมวดคิ้ว เขาพูดไม่ชัดเพราะปากกำลังเคี้ยวอาหารอยู่ “ข้ายุ่งกับเรื่องนี้มาหลายเดือนแล้ว เต่าเฒ่าตัวนี้ใสสะอาดจริง ๆ และจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องก็มีไม่มาก ตราบใดที่คนอื่นให้มากกว่าหนึ่งแสนตำลึง เขาก็จะไม่รับมันไว้ ดูเหมือนว่าไม่สามารถทำอะไรได้กับเรื่องนี้ เว้นแต่ว่าเขาจะเพี้ยนไปเล็กน้อย แต่เราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสวนหลังบ้านของเขา”
ตามปกติแล้ว หลังจากที่สาวใช้และอนุในครอบครัวของข้าหลวงถูกซื้อเข้าไปในจวนแล้ว ความเป็นความตายจะถูกกำหนดโดยเจ้าของจวน จวนอัครมหาเสนาบดีถือโฉนดซื้อขายหญิงสาวเหล่านี้อยู่ในมือ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่พวกทางการจะสร้างความขุ่นเคืองแก่อัครมหาเสนาบดี เพราะเรื่องของหญิงสาวเพียงสองสามเรื่อง
หมี่โม่หรู่จิบชาแล้วพูดอย่างใจเย็น “ไม่ต้องคิดมาก เรื่องนี้ต้องสืบย้อนไปยังต้นเหตุ จะเกิดอะไรขึ้นหากสภาพการณ์ที่เสด็จพ่อแต่งตั้งให้เขาเป็นอัครมหาเสนาบดีเปลี่ยนแปลงไป?”
หมี่ฉงมองหมี่โม่หรู่ขณะเคี้ยวซาลาเปาในปากอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็นึกเหยียดหยามและหัวเราะ “เข้าใจแล้ว”
“มันจะไม่ยากไปกว่านี้อีกหรือ เราต้องย้อนกลับไปเมื่อห้าหรือหกปีที่แล้วหรือสิบปีที่แล้ว” ฉินปู้เข่อไม่อาจโต้ตอบได้ครู่หนึ่ง
หมี่ฉงสะกิดนางด้วยข้อศอกและเตือนว่า “วันนั้นข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือ เจ้ามึนงงอะไร…”
“อ๊ะ!” ฉินปู้เข่อจำได้ขึ้นมาทันที “แต่ท่านไม่สามารถสร้างลูกชายให้เขาจากอากาศได้ ต๋งชวนจะพยายามตรวจสอบอย่างแน่นอน”
“อย่าคิดไปเอง ต๋งชวนกังวลมากก่อนเกิดอุบัติเหตุ เมื่อเขาออกไปประจำการทุกที่ เขาก็เกือบจะหลับนอนในทุกที่ที่เขาไป หากต้องการหาจริง ๆ แล้วต้องกลัวว่าจะไม่พบเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาอีกหรือ?!” หมี่ฉงวางตะเกียบลงและใช้แขนเสื้อเช็ดปากอย่างผ่อนคลาย “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
หลังจากพูดจบ เขาก็วิ่งออกจากสวนเฉินอวี้อย่างรวดเร็วราวกับควัน
ฉินปู้เข่อตกตะลึง หมี่ฉงมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อกินอาหารเช้าอย่างนั้นหรือ?!
“วันนี้ข้าต้องไปบ้านซือต๋า เจ้าอยู่ในตำหนักเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเถิด” หมี่โม่หรู่พิงเก้าอี้รถเข็นอย่างเกียจคร้าน และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะค่อย ๆ ‘ยืนขึ้น’ อย่างช้าๆ
ฉินปู้เข่อโบกมือ “ไม่ต้องกังวล บัดนี้หม่อมฉันไม่อาจวิ่งไปรอบ ๆ เช่นนั้นได้หรอกเพคะ”
หมี่โม่หรู่ยกยิ้มและบีบจมูกของนาง “ทำไมรึ หากเท้าของเจ้าปกติดีเจ้าก็จะวิ่งไปรอบ ๆ หรือ? ช่วงนี้อยู่ในตำหนักอย่างเชื่อฟังไปก่อน รอจนกว่าต๋งชวนจะไม่มีแรงทำอะไรเจ้าแล้วจริง ๆ เมื่อจะออกไปข้างนอกก็ไปได้แค่เฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น และต้องพาองครักษ์จากตำหนักไปด้วย”
ฉินปู้เข่อบุ้ยปากและคร่ำครวญว่า “ถ้าเช่นนั้นวันนี้หม่อมฉันก็เป็นได้เพียง ‘หินนั่งคอยสามี’ เท่านั้น”
“ข้าจะกลับมาโดยเร็ว”
เมื่อเขาเดินออกจากประตูห้องและเข้าใกล้ทางเข้าสวนเฉินอวี้ ซวงหวนก็เข้าไปหาหมี่โม่หรู่และคำนับ
อู๋เหินหยุดรถเข็น หมี่โม่หรู่เอื้อมมือไปทางซวงหวน “เอามานี่”
ซวงหวนลังเลที่จะหยิบกล่องเล็ก ๆ ในแขนเสื้อของนางออกมา “ท่านอ๋องสามบอกว่ายานี้สามารถกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และขจัดภาวะโลหิตหยุดนิ่ง ลดอาการบวมและบรรเทาอาการปวด เหมาะสำหรับอาการบาดเจ็บที่เท้าของนายหญิงเพคะ…”
หมี่โม่หรู่เล่นกล่องเล็ก ๆ ที่มีลวดลายประณีตในมือของเขา โดยไม่อาจเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อซวงหวนรู้สึกว่าไม่สามารถนำยากลับมาได้ กล่องเล็ก ๆ ก็ถูกโยนขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง
“มันก็เป็นสิ่งที่ดี ใช้มันเถิด”
“เพคะ” ซวงหวนรีบรับยานั้นไว้ นางคิดว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงไม่อยากให้ใช้สิ่งนี้กับนายหญิง
หลังจากฉินปู้เข่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว นางก็มองดูวันที่อากาศอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ และยกเก้าอี้นอนนุ่ม ๆ ไปที่ลานตำหนัก แล้วนอนผ่อนคลายบนเก้าอี้ตัวนั้นเพื่ออาบแดด
ช่างเป็นวันที่ดี
หากทำอะไรในตำหนักไม่ได้ เป็นมอดข้าวก็ดีเหมือนกัน
นางเคาะเท้าครึ่งหนึ่ง หรี่ตาและฮัมเพลงเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี
ฟึ่บ ฟึ่บ!
เมื่อทรุดตัวลงอย่างกะทันหันแล้ว คนสองคนก็คุกเข่าตัวตรง
ฉินปู้เข่อยืดตัวขึ้นและมองซวงหวนที่กำลังร้องไห้ และอู๋เหินที่นิ่งเงียบอยู่ตรงหน้านาง
“นายหญิง พวกข้าน้อยผิดไปแล้วเพคะ…”
“ข้าน้อยผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
สองเสียงชายและหญิงดังขึ้นพร้อมกัน
“เดี๋ยวก่อน!” ฉินปู้เข่อยกมือขึ้นเพื่อให้พวกเขาหยุดพูด
จากนั้นนางก็มองสองคนตรงหน้านางอย่างจริงจัง คิ้วของนางค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน นางชี้ไปที่อู๋เหินและริมฝีปากสีชมพูของนางก็แยกจากกันเล็กน้อย “พวกเจ้าสองคนมาด้วยกันหรือ?! เจ้าจะมาสู่ขอซวงหวนจากข้าใช่หรือไม่?!”
บรรยากาศดูเหมือนจะเงียบไปครู่หนึ่ง
ใบหน้าของอู๋เหินที่ดำสนิทราวกับถ่านหินเปลี่ยนเป็นสีแดงไปในทันที เพียงเพราะผิวของเขาเข้มเล็กน้อย มันจึงดูไม่ชัดเจนนัก
เขาก้มศีรษะลง “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
ซวงหวนยังคงหน้าแดงและเหลือบมองอู๋เหิน แล้วโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่เพคะ ข้าน้อยภักดีต่อนายหญิงของข้า ข้าน้อย…”
“ทุกคนล้วนมีอารมณ์และความปรารถนา ข้าจะไม่คัดค้านความรักที่เป็นอิสระ” ฉินปู้เข่อแสดงจุดยืนของนาง “และข้าก็ไม่ได้ติดใจอะไรด้วย”
“ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ปกป้องพระชายา การจากไปกลางทางทำให้พระชายาต้องตกอยู่ในอันตราย ข้าน้อยจึงหวังว่าพระชายาจะลงโทษข้าน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกข้าน้อยนั้นไร้ความสามารถ พวกข้าน้อยไม่ได้ปกป้องพระชายาให้ดีพอ และปล่อยให้ท่านอ๋องต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อไปช่วย ข้าน้อยหวังว่าพระชายาจะลงโทษข้าน้อยเพคะ”
ด้วยคำขอที่คล้ายคลึงกันและสำนวนที่คล้ายคลึงกัน จึงเป็นการยากที่จะบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการที่จะเป็นคู่รักกัน
ฉินปู้เข่อเอนหลังพิงเก้าอี้นอนนุ่ม ๆ แล้วพูดอย่างเกียจคร้าน “เพียงเพื่อนี่เองหรือ? ข้าคิดว่าจะมีเรื่องสนุกสุดหรรษาเสียอีก”
นางลดมือลงแช่มช้าและชี้ไปยังอู๋เหิน “เจ้า เจ้าออกไปกลางทางเพราะเจ้าเชื่อฟังคำสั่งของข้า และมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องท่านอ๋อง มันถูกต้องแล้ว”
จากนั้นนางก็ขยับมือเล็กน้อยแล้วชี้ไปที่ซวงหวน “เจ้า เรื่องของความสามารถเป็นสิ่งสำคัญ เจ้ายังคงเป็นผู้คุ้มกันและผู้ช่วยที่ดี หากเจ้าฝึกฝนเพิ่มเติมเรื่องการขนส่ง”
ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองมองหน้ากัน เพียงเท่านี้เองหรือ?!
“พระชายา ข้าน้อย…”
ดูเหมือนว่าฉินปู้เข่อจะจำอะไรบางอย่างได้ นางลืมตาขึ้นและจ้องไปที่อู๋เหินแล้วดุว่า “อย่าคิดที่จะตัดแขนออกต่อหน้าข้า หรือแทงตัวเองหรืออะไรก็ตามที่เป็นการลงโทษตัวเอง!”
อู๋เหินตกตะลึงอยู่กับที่ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาควรถูกลงโทษเพราะทำสิ่งไม่ดี หลายครั้งเขาไม่รอให้เจ้านายพูด แต่จะลงมือทำเองเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้ารับใช้ควรจะทำ
“เจ้าเป็นองครักษ์ที่ทรงพลังข้างกายท่านอ๋อง หากวันนี้เจ้าแขนหักและขาขาด ท่านอ๋องก็จะตกอยู่ในอันตรายในวันพรุ่งนี้ และจะทำอย่างไรหากอาการบาดเจ็บของเจ้าส่งผลต่อการยกดาบ และความเร็วในการโจมตี?!”
อู๋เหิน “…” หือ?!
“แล้วเจ้าก็ต้องหาหมอมารักษาเมื่อเจ้าได้รับบาดเจ็บอีกใช่หรือไม่? เจ้าจะไปหาหมอจากที่ไหน เงินค่ายาล่ะใครจะต้มยาและใครจะพันแผลให้เจ้า? รายการเหล่านี้จะต้องรวมเป็นค่าใช้จ่ายของตำหนักด้วยหรือไม่? อย่างไรเสียเงินส่วนนี้ก็จะถูกหักจากเงินเดือนของเจ้า ดังนั้นหากเจ้าไม่มีเงินใช้จ่ายในเดือนนี้ มันจะส่งผลต่ออารมณ์ในหน้าที่การงานของเจ้าหรือไม่?”
มีเครื่องหมายคำถามเพิ่มขึ้นมาบนหัวของอู๋เหิน “แต่ข้าน้อยไม่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่จริง ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ท้ายที่สุดแล้วเจ้าสองคนก็ยังคงต้องการการลงโทษบางอย่าง ไม่ ไม่ มิฉะนั้นพวกเจ้าจะอยู่ไม่ได้ใช่หรือไม่”
สองข้ารับใช้ผู้ภักดีพยักหน้าราวกับค้อนทุบกระเทียม ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่พวกเขารู้สึก พวกเขาได้รับการสั่งสอนเช่นนี้ตั้งแต่เข้ามาในวัง ไม่มีรางวัลสำหรับการทำความดีและทำผิดก็ต้องได้รับโทษ
………………………………………………………………………