สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 154 ขนย้ายออกจากคลังสมบัติขนาดเล็ก
เมื่อเห็นฉินปู้เข่อพยักหน้าเห็นด้วย ซ่งกูก็ยังคงบ่นต่อไป
“ข้าเองก็อยากหาที่พำนักที่ดีให้ท่านอ๋องเช่นกัน แต่ข้าหลวงชั้นหนึ่งได้บดขยี้ผู้คนจนตาย ผู้ว่าราชการเขตผู้เป็นนายของข้าก็ทำได้เพียงยอมทำตาม เหตุใดคืนนี้พวกท่านทั้งสองคนไม่ไปตากอากาศที่หอหย่าชิงเล่า?!”
เอ่อ เจียวหย่งและซ่งกูกำลังเล่นละครอะไรอยู่? เหตุใดซ่งกูถึงขายเจียวหย่งตอนนี้?!
ฉินปู้เข่อระงับความสับสนในใจและพูดอย่างตื่นเต้น “ชื่อหย่าชิงฟังดูดีทีเดียว ดูเหมือนว่าเจ้านายของเจ้าจะเป็นคนดี”
ซ่งกูยิ้มอย่างสุภาพ “เป็นเพียงมิตรภาพของเจ้าของบ้าน”
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อย ซ่งกูก็ออกจากบ้านไป ฉินปู้เข่อจึงพักผ่อน นางนอนบนเบาะแล้วผล็อยหลับไป ช่วยไม่ได้ เมื่อคืนมีใครบางคนบ้ามากจนนางอดนอนจริง ๆ
ยามเซิน หลังจากพักผ่อนมาทั้งวัน ในที่สุดห้องโทรมในตอนเช้าก็อยู่ในระดับมาตรฐานที่พักทั่วไปแล้ว
คานที่หักและขอบหน้าต่างที่ชำรุดเสียหายถูกทาสีใหม่ ผนังที่เป็นเชื้อราถูกชะล้างจนมีกลิ่นหอมและติดกระดาษบุผนัง พื้นที่ไม่สม่ำเสมอก็ถูกซ่อมแซมและปูเครื่องลาดที่ทำด้วยขนสัตว์
ฉินปู้เข่อย่ำเท้าบนขนสัตว์นุ่ม ๆ ครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดอย่างลำบากใจเล็กน้อยว่า “นี่ต้องใช้เงินเท่าไร? ข้าคิดว่าซือต๋าคงไม่รู้สึกแย่หรอก แต่จะทุกข์ใจมากจนร้องไห้ออกมา”
นางรู้ว่าซือต๋าทำเงินให้กับหมี่โม่หรู่เป็นพิเศษและให้นางเป็นคนจัดการเงิน
“กราบทูลพระชายา สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่ได้ใช้เงินของตำหนักจ่ายพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เหินกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา
ฉินปู้เข่อสัมผัสเก้าอี้ไม้หนานมู่สีแดงคุณภาพดีแล้วนั่งบนนั้นอย่างสบาย ๆ แล้วถามด้วยความสงสัย “ไม่ได้ใช้เงินจากตำหนักหรือ? แล้วมันมาจากไหน?”
“แน่นอนว่าเป็นความนับถือของผู้ว่าราชการเขตเจียวหย่ง~”
หมี่ฉงที่ไม่ได้เจอกันมาหลายวันเดินเข้ามาจากนอกบ้าน เขาแต่งกายเรียบร้อย และมีท่าทางร่าเริงสดชื่นราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จ รอยสีเข้มเล็กน้อยใต้ตาของเขาก็ยังไม่จางลง แสดงถึงความเหนื่อยล้าที่หลงเหลืออยู่ของเขา
“พี่ชายสาม พวกเรากำลังจะไปงานเลี้ยงของซ่งกู แล้วท่านก็กลับมาราวกับได้กลิ่น”
ตาของฉินปู้เข่อเปล่งประกาย และนางก็หยิบถ้วยชาหยกเนื้อดีที่นางเพิ่งซื้อวันนี้ออกมาแล้วรินชาให้เขา
“ทำงานหนักมาสองสามวันแล้ว และพวกเจ้าจำเป็นต้องให้รางวัลข้าจริง ๆ” หมี่ฉงดื่มสองสามถ้วยแล้วพูดเสียงดัง “ซ่อนเงินไว้มิดชิดถึงเพียงนี้ทำให้เหนื่อยจริง ๆ”
เมื่อเห็นว่าฉินปู้เข่องุนงง หมี่ฉงก็จับมือนางและขยับไปใกล้หูของนางและพูดอย่างภาคภูมิใจ
“ไม่กี่วันก่อนข้าแอบไปเจอคลังสมบัติเล็ก ๆ ของเจียวหย่ง ข้าจึงขโมยเงินทั้งหมดที่เขากินมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง สิ่งที่เจ้าเหยียบและสิ่งที่เจ้าดื่มเข้าปากล้วนมาจากคลังสมบัติเล็ก ๆ ของเขา”
ฉินปู้เข่อเหลือบมองเขาอย่างเงียบ ๆ และพูดอย่างตำหนิ “เอ๊ะ? ท่านเลวร้ายเกินไปแล้ว!”
หลังจากดำรงตำแหน่งได้เกือบสิบปี คลังสมบัติก็ถูกยึดไป และเจียวหย่งก็ต้องรู้สึกลำบากใจอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าจะมีแผนการเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร!” หมี่ฉงยืดตัวตรงและประท้วงหาความชอบธรรม “นี่คือสิ่งที่สามีของเจ้าคิดต่างหาก”
คนที่เดินเข้ามาจากข้างนอกได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและยกยิ้มอ่อน “พี่ชายสามทำงานหนักมาหลายวันแล้ว”
“ว้าว!” ฉินปู้เข่อเปลี่ยนสีหน้าทันที ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับด้วยความชื่นชม “น่าทึ่งยิ่งนักที่ขนย้ายเงินออกมาได้”
หมี่ฉงขมวดคิ้วอย่างพูดไม่ออก เขาคิดในใจว่า ทีแบบนี้กลอุบายนี้ก็น่าทึ่งขึ้นมาเลย น้องสะใภ้ทำตัวสองมาตรฐานเกินไปแล้ว!
หมี่โม่หรู่เดินตรงไปที่ด้านข้างของนาง อุ้มนางขึ้นจากเก้าอี้แล้วนั่งลง ก่อนจะดึงฉินปู้เข่อมานั่งบนตักของเขา
ท่าทางการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างราบรื่นและชำนาญอย่างยิ่ง ราวกับเป็นชีวิตประจำวันในห้องอ่านหนังสือที่ตำหนัก
หากทั้งสองคนอยู่ในตำหนักกันตามลำพัง ฉินปู้เข่อคงจะเอามือโอบเอวของหมี่โม่หรู่ แต่บัดนี้นางสวมเสื้อผ้าของผู้ชาย และมีหมี่ฉงอยู่ข้าง ๆ นาง
ร่องรอยของความเขินอายแผ่ขึ้นบนใบหน้าของฉินปู้เข่อ แก้มของนางแดงก่ำราวกับดอกท้อ นางลุกขึ้นจากหมี่โม่หรู่และเดินไปด้านข้างเพื่อกระซิบว่า “หม่อมฉันจะนั่งคนเดียว”
เมื่อเขาได้เห็นนางคำรามเมื่อหงุดหงิด นางอ่อนโยนเมื่อนางแสร้งทำเป็นน่ารัก และนางฉลาดแกมโกงเมื่อนางล้อเล่น ในเวลานี้ท่าทีเขินอายที่หาได้ยากเช่นนี้ก็ทำให้หมี่โม่หรู่ละทิ้งความเหน็ดเหนื่อยของวันออกไปได้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะจับมือนางอย่างไม่เต็มใจที่จะปล่อย
“ให้ใครสักคนขยับเก้าอี้มาข้างข้า”
ในขณะนั้นหมี่ฉงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ก็รู้สึกเขินอายขึ้นเช่นกัน เขาแค่รู้สึกว่าจู่ ๆ หัวใจของเขาก็สับสนวุ่นวายขึ้นมา เขาจึงรีบรินน้ำชาให้เต็มถ้วยพลางนึกถึงภาพที่หยาบคายมันเยิ้ม และความเย่อหยิ่งของฉินปู้เข่อขณะแทะน่องไก่ด้วยมือเปล่าของนาง เพื่อสร้างสมดุลให้กับหัวใจที่สั่นอย่างอธิบายไม่ได้ของเขา
หลังจากที่นางนั่งลงแล้ว หมี่โม่หรู่ก็พูดต่อในประเด็นนี้และอธิบายอย่างอบอุ่นว่า “เจียวหย่งเป็นคนโปรดของพ่อเจ้า มหาเสนาบดีฉินเป็นผู้จัดเตรียมสมุนพิเศษในเขตหลินเป่ย ซึ่งจะมีภัยพิบัติน้ำท่วมทุกฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงร่วมมือกัน และเจียวหย่งได้ยื่นขอเงินช่วยเหลือจากภัยพิบัติในพื้นที่ มหาเสนาบดีฉินก็แนะนำข้าหลวงบรรเทาสาธารณภัยในราชสำนัก และร่วมมือกันยักยอกเงินส่วนใหญ่ของกองทุนบรรเทาสาธารณภัยที่จัดสรรในทุกปี”
“และเจียวหย่งก็ระมัดระวังมาก ทุกปีเขาจะเตรียมบัญชีปลอมให้เจ้านายของเขา ค่อนข้างยากที่เขาจะยอมรับความผิดครั้งก่อน ซึ่งจะดีกว่าหากเขายอมรับ”
“นอกจากนี้ เมื่อข้าสนทนากับเขาในวันนี้ ข้าก็พบว่าเขาไม่เข้าใจนิสัยของข้าเพราะปีนี้ข้าเพิ่งรับราชการในราชสำนัก ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังตัวมากขึ้น และกล่าวว่าปีนี้จะใช้เงินกองทุนบรรเทาสาธารณภัยตามข้อกำหนดอย่างสมเหตุสมผล”
ฉินปู้เข่อขมวดคิ้ว เอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “บัดนี้คลังสมบัติเล็ก ๆ ของเขาถูกยึดไปแล้ว เขาจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อย่างแน่นอน และหากเขาดำเนินการกับเงินบรรเทาสาธารณภัยอีกครั้ง เราก็สามารถจับกุมเขาได้โดยตรงเมื่อถึงเวลานั้น ”
“ถูกต้อง” หมี่โม่หรู่อดไม่ได้ที่จะเกาจมูกเล็ก ๆ ที่ว่องไวของนางและชมเชยนางอย่างทะนุถนอม “เสี่ยวเข่อของข้าฉลาดนัก ไม่เหมือนใครบางคนที่เอาแต่ถามเหตุผลของการขโมยเงินในคลังสมบัติขนาดเล็กอยู่นาน”
หมี่ฉงจ้องมาที่เขาและโวยวายอยู่ด้านข้าง “เจ้าชมเชยนางแต่กลับฆ่าข้าเสียอย่างนั้น และยังฝังข้าด้วยการแสดงความรักในที่สาธารณะอีก เจ้าช่วยหาทางรอดให้ข้าบ้างได้หรือไม่!”
ทั้งสองที่กำลังหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม พลางมองหน้ากันและอดหัวเราะไม่ได้
“ท่านอ๋อง ท่านซ่งกูมารับท่านและคุณชายฉินชูแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงหนักแน่นดังขึ้นที่ประตู
หมี่ฉงมองคนทั้งสองตรงหน้าเขาด้วยความหมั่นไส้อย่างที่สุด และพูดอย่างไม่อดทนว่า “ข้าจะจัดการกับซ่งกู และเจ้าเจ็ดก็หยุดทำหน้าระรื่นได้แล้ว!”
เมื่อเหลือเพียงพวกเขาสองคนในห้อง ฉินปู้เข่อก็ลุกขึ้นและจุมพิตใบหน้าของหมี่โม่หรู่แผ่วเบาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านจะไม่กลัวงูเจ้าถิ่น ปรากฏว่ามันตัวยาวแค่เจ็ดนิ้ว”
หมี่โม่หรู่ขมวดคิ้วและหลีกเลี่ยงริมฝีปากของนางด้วยรอยยิ้ม “คุณชายฉิน หนวดของเจ้าทิ่มข้า”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและยืดเสื้อคลุมของเขาให้ตรง และพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “เหตุใดเจ้าถึงใช้นามแฝงผู้ชายว่า ‘ฉินชู’?”
“เพราะว่า ‘book’ คือหนังสือ” ทุกวันนี้การเล่นคำที่มีเสียงคล้ายคลึงกันค่อนข้างเหมาะกับการตั้งชื่อคน
“ปู้เข่อเป็นหนังสือหรือ?” ความสับสนในดวงตาของเขาลึกซึ้งขึ้น เขาคิดว่าพระชายาตัวน้อยของเขามีความรู้แปลก ๆ ที่เขาไม่เข้าใจปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ห้องส่วนตัวชั้นบนในหอหย่าชิง
หลังจากนั่งกันไม่กี่คน ฉินปู้เข่อก็พบว่าเจียวหย่งไม่อยู่ที่นั่น เมื่อเห็นว่าซ่งกูไม่คิดจะอธิบาย นางก็ไม่ได้ริเริ่มพูดถึงเรื่องนี้
ก่อนที่นางจะนั่งลงบนเก้าอี้ ซ่งกูก็ปรบมือเบา ๆ และหญิงงามหลายคนก็เข้ามายืนเคียงข้างคนทั้งสาม
……………………………………………………………………………