สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 159 ช่วยชีวิตหรือฆ่า
เมื่อถึงช่วงเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูร้อน แม้ว่าฤดูร้อนในเขตหลินเป่ยจะมาช้ากว่าในเมืองหลวงเล็กน้อย แต่วันนี้ก็เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ มีดอกไม้ส่งกลิ่นหอมและนกอยู่ทุกที่ ป่าเขียวชอุ่มราวกับอุทยาน
ฉินปู้เข่อนั่งไขว่ห้างอยู่บนสนามหญ้า พลางมองชายผู้มีดวงตาสดใสและคิ้วเข้มตรงหน้าก้มหน้าเล่นกู่เจิง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาช่างหล่อเหลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัดกับพื้นหลังที่เป็นท้องฟ้าสีครามและปุยเมฆสีขาว คนที่อยู่ตรงหน้านางก็ดูราวกับภาพวาดที่น่ารื่นรมย์ ทำให้นางไม่เต็มใจที่จะละสายตาจากไป
หมี่โม่หรู่สังเกตเห็นสายตาที่จ้องมองมาของพระชายาตัวน้อย มือของเขาก็ยังไม่หยุดเล่นกู่เจิงและเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยดวงตาที่อ่อนโยนและสดใส “ไพเราะหรือไม่?”
“ไพเราะยิ่งนักเพคะ” ฉินปู้เข่อพยักหน้า
หมี่โม่หรู่ค่อยๆ ยกยิ้มแช่มช้า บ่งบอกถึงความพึงพอใจและมีความสุขในหัวใจของเขา
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ทันสังเกตว่าเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกว่าเขาควบคุมพระชายาตัวน้อยไม่ได้ เขาก็จะใช้ความหล่อเหลาของตนเพื่อออดอ้อนพระชายาตัวน้อย และจะได้รับการยอมรับจากสายตาที่หลงใหลของนาง
สำหรับเขานั้น พระชายาตัวน้อยไม่ได้ใช้คำว่ายั่วสวาทกับเขา
“แล้วเจ้าจะลองบ้างหรือไม่”
“ไม่เพคะ” ฉินปู้เข่อส่ายหัว นางมองชายหนุ่มที่หล่อเหลา นางได้ดูนิ้วของเขาที่ไหนกัน ถึงแม้ว่ามือของเขาจะดูดีมาก แต่ใบหน้าของเขากลับดูดีกว่า
“มานี่สิ” หมี่โม่หรู่กวักมือเรียกให้นางนั่งหน้าขอบกู่เจิงแล้วนั่งโอบนางจากด้านหลัง หยิบมือเล็ก ๆ ของนางขึ้นมาแล้ววางลงบนสาย
ฉินปู้เข่อตกตะลึงเล็กน้อย นางเอียงศีรษะและมองไปที่ใบหน้าด้านข้างที่อยู่ใกล้นาง ใบหน้าของเขางามเหมือนหยกราวกับได้รับการประทินโฉม
“เจ้ามองพอหรือยัง” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มดังขึ้น
หูที่อ่อนนุ่มตรงหน้าของนางค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพู หัวใจของฉินปู้เข่อเต้นระรัวอยู่พักหนึ่ง และมีความลังเลอยู่ในน้ำเสียงของนาง “หมี่โม่หรู่ ท่านเขินอายหรือ หูของท่านเป็นสีแดงแล้ว”
“หากมองอีก ข้าจะสกัดจุดเจ้า” หมี่โม่หรู่หงุดหงิดเล็กน้อย เขาควบคุมอารมณ์ได้ดีอยู่เสมอและพยายามไม่ให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แต่เหตุใดคราวนี้นางถึงมองดูการเปลี่ยนแปลงของหูเขากัน
“โอ้”
หลังจากได้รับคำเตือน ฉินปู้เข่อก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นางมองดูสายที่อยู่ตรงหน้านางอย่างเบื่อหน่าย และหาวอย่างแห้งแล้ง “หม่อมฉันได้ยินเสียงลำธาร ไปเล่นน้ำกับหม่อมฉันเถิดเพคะ”
ขณะที่นางพูด นางก็จับมือหมี่โม่หรู่แล้ววิ่งไปยังที่มาของเสียงน้ำไหล
เมื่อดึงหมี่โม่หรู่ผ่านป่าเล็ก ๆ น้ำตกที่อยู่ไม่ไกลก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านาง
พรายฟองจากน้ำตกสาดกระเซ็นลงมาจากหน้าผาที่มีความสูงกว่าสิบจั้ง ทำให้เกิดเสียงน้ำตกลงไปสู่แอ่งน้ำด้านล่างของน้ำตก ภูเขาเขียวขจีและผืนน้ำที่อยู่รอบ ๆ ก็เต็มไปด้วยความแวววาว
น้ำในแอ่งไหลเอื่อยลงมาจนถึงลำห้วยที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ว้าว! น้ำตก!”
ฉินปู้เข่อปล่อยมือของหมี่โม่หรู่ทันที นางยกเสื้อคลุมขึ้น ก้มตัวและม้วนขากางเกงของนางขึ้น และเดินสำรวจลงไปในลำธารด้วยเท้าเปล่า
เมื่อน่องขาวและเท้าที่เล็กสวยงามของนางถูกเปิดออกเช่นนี้ หมี่โม่หรู่ก็อยากจะพูดบางอย่างเพื่อหยุดนาง แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขและบริสุทธิ์บนใบหน้าของนาง เขาจึงเปลี่ยนคำพูดของเขา “ช้าลงหน่อย ระวังลื่น”
ที่นี่ไม่มีคนนอก และเมื่อเขาอยู่ตรงนั้นก็จะไม่มีใครมองเห็น
อากาศที่เย็นสบายทำให้ฉินปู้เข่อขนลุก นางเตะน้ำกระเซ็นและกระโดดโลดเต้นในน้ำตื้น
บัดนี้ถึงเวลาของหมี่โม่หรู่ที่จะเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ที่สวยงามบ้างแล้ว แต่คงจะดีหากคนที่อยู่ในน้ำสวมกระโปรงและเสื้อคลุมของสตรี
“มีเลือดอยู่ในน้ำ!” คนที่ร่าเริงเปลี่ยนสีหน้าทันทีและวิ่งขึ้นมาที่ฝั่งด้วยความตื่นตระหนก
หมี่โม่หรู่ไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด ดังนั้นเขาจึงรีบไปข้างหน้าและอุ้มนางขึ้นแล้วเหลือบมองที่เท้าสวยของนาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “มีงูมากัดหรือ?”
“ไม่ใช่งู แต่เป็นเลือด มีคนได้รับบาดเจ็บอยู่ด้านหน้า มีเลือดปะปนไปกับกระแสน้ำ” ฉินปู้เข่อชี้ไปที่ลำธารด้วยใบหน้าซีดเผือด
หมี่โม่หรู่รีบเช็ดเท้าของนางกับเสื้อคลุมให้แห้งและสวมรองเท้าให้นาง
“เราควรไปดูกันหรือไม่?” ดวงตาของฉินปู้เข่อเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ หากมีคนตกลงมาจากที่นั่นจริง ๆ เขาย่อมเสียชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไปดูกันเถิด” หมี่โม่หรู่ใจอ่อนแล้วดึงนางไปข้างหลังเขา “อย่าปล่อยมือข้า”
ที่ปลายลำธาร ชายสวมหน้ากากสีดำนอนหงายหลับตา ใต้ตัวของเขามีเลือดสีแดงฉานไหลนองออกมาจากแผ่นหลังของเขาอย่างต่อเนื่อง ผสมกับกระแสน้ำใสที่ไหลลงไป
“ท่านอ๋อง ยังมีลมหายใจอยู่พ่ะย่ะค่ะ” หลังจากที่อู๋เหินก้าวไปข้างหน้า เขาก็ลากร่างนั้นจากน้ำขึ้นฝั่ง
ฉินปู้เข่อจ้องไปที่ชุดของชายผู้นั้นและรู้สึกคุ้นเคยนัก นางดึงแขนเสื้อของหมี่โม่หรู่แล้วพูดว่า “หม่อมฉันรู้จักชายผู้นี้”
หมี่โม่หรู่ดูระแวงเล็กน้อย และชำเลืองมองระหว่างฉินปู้เข่อกับชายชุดดำ
“พูดตามตรงคือหม่อมฉันรู้จักชุดนี้” ฉินปู้เข่อเรียบเรียงคำพูดของนางอย่างระมัดระวัง “ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่หม่อมฉันเข้าไปในตำหนักครั้งแรกและถูกลักพาตัวไปครั้งหนึ่ง หม่อมฉันได้พบหมี่เฉินอี้ที่ปลอมตัวอยู่ในคุก”
สีหน้าระแวงของหมี่โม่หรู่ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เหตุใดเขาจะไม่รู้ วันรุ่งขึ้นเขาจึงได้รู้ว่าคนที่ลักพาตัวพระชายาตัวน้อยคือองค์รัชทายาท และต่อมาก็พบว่าเสด็จอาเก้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากคนของเจ้าชายองค์รัชทายาทเช่นกัน และในคืนนั้นเขาก็ได้พบกับพระชายาตัวน้อยในคุก
“แถบสีแดงบนแขนเสื้อคือองครักษ์ลับของหมี่เฉินอี้” นางชี้ไปที่ชุดของชายชุดดำและพูดอย่างสงสัย “เป็นไปได้หรือไม่ว่าหมี่เฉินอี้จะอยู่ใกล้ที่นี่?!”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบ ฉินปู้เข่อจึงลดเสียงลงเพื่อทดสอบ “จะช่วยชายผู้นี้หรือไม่”
จนถึงตอนนี้นางก็ไม่ได้มีความเกลียดชังต่อหมี่เฉินอี้ แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่หลังจากที่ได้ติดต่อกันมาหลายครั้ง นอกเหนือจากการขัดขวางการสืบสวนเกี่ยวกับ ‘หมี่อี้เหิง’ ของนางแล้ว ในบางครั้งอ๋องจั่วเสียนก็ช่วยเหลือนางอย่างเงียบ ๆ
บางทีนางอาจจะไม่รู้ว่าข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์ที่หมี่โม่หรู่มีกับเขาคืออะไร
“ช่วย” หมี่โม่หรู่เอื้อมมือออกไป “เจ้าได้นำยารักษาอาการบาดเจ็บของเขามาด้วยหรือไม่?”
“เอามา เอามา” ฉินปู้เข่อรีบขยับตาขึ้นและลงเพื่อซื้อ ‘น้ำห้ามเลือด’ หนึ่งขวดแล้วนำออกมาจากแขนเสื้อของนาง
นางลืมไปเลยว่าเสื้อผ้าประจำฤดูกาลนี้ส่วนใหญ่จะบาง และหากมีสิ่งใดอยู่ในแขนเสื้อก็จะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
อู๋เหินหยิบ ‘น้ำห้ามเลือด’ และพบสถานที่เงียบสงบเพื่อทำความสะอาดชายผู้นั้น หลังจากรักษาเขาให้หาย ชายชุดดำก็ฟื้นขึ้นมา
อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่บนร่างกายของเขาเป็นบาดแผลและช็อกจากการเสียเลือดมาก หากเขาไม่ได้พบกับฉินปู้เข่อและพรรคพวกของนาง เขาก็คงจะตายเพราะเสียเลือดในเวลาไม่นาน
“พวกท่านเป็นใคร? เหตุใดถึงช่วยข้า” ชายชุดดำถูกต่อย และยาพิษสำหรับฆ่าตัวตายที่ซ่อนอยู่ในปากของเขาก็ถูกดึงออกมา
เสื้อตัวใหญ่และแขนเสื้อกว้างของหมี่โม่หรู่คลุมร่างกายเล็ก ๆ ของฉินปู้เข่ออย่างมิดชิด เขาเหลือบมองชายชุดดำเล็กน้อย “อ๋องจั่วเสียนอยู่แถวนี้หรือ”
ชายชุดดำขมวดคิ้วและร่างกายของเขาขยับไม่ได้ แต่เจตนาฆ่าอันน่าหวาดกลัวในดวงตาของเขาเอ่อล้นออกมา “ข้าไม่รู้จักคนที่ท่านกำลังพูดถึง”
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขามีรัศมีแบบเดียวกับเจ้านายของเขา แต่ต่างจากเจ้านายของเขาตรงที่ชายหนุ่มผู้นี้ดูอ่อนโยน และความเป็นอันตรายของเขาซ่อนอยู่ลึกลงไป
หากไม่ใช่เพราะเขาอยู่เคียงข้างเจ้านายมาตลอดทั้งปี เขาก็คงจะอ่อนไหวต่ออำนาจครอบงำเช่นนี้ เขาจะปฏิบัติต่อชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าของเขาเหมือนเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ธรรมดา
“ไม่รู้จักหรือ?” หมี่โม่หรู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและยกยิ้มอย่างเย็นชา “ฆ่ามันซะ”
“เดี๋ยวก่อน!” ทันใดนั้นฉินปู้เข่อที่ซ่อนตัวอยู่หลังชุดของเขาก็ส่งเสียง และมองหมี่โม่หรู่ด้วยท่าทางเคร่งขรึม “หมี่เฉินอี้ได้รับบาดเจ็บ บาดแผลสาหัสยิ่งนัก”
…………………………………………………………………………