สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 163 โยนทิ้งไปหมดแล้ว
ฉินปู้เข่ออธิบายโดยไม่ได้สังเกตความหมายของคำพูดของเขา “เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าหมี่เฉินอี้เป็นคนงี่เง่า แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้หม่อมฉันคิดว่าเขาก็ไม่ได้เลวร้าย อย่างน้อยหม่อมฉันก็ดีใจที่เห็นเขาปกป้องท่าน”
คนงี่เง่า…
หมี่โม่หรู่สำลักครู่หนึ่งแล้วหัวเราะ “เจ้าน่าจะเป็นคนเดียวในโลกที่กล้าแสดงความคิดเห็นต่อเขาเช่นนี้”
แต่เขาก็ได้คำตอบที่เขาต้องการ
“เจ้าหิวหรือไม่ ข้าบอกให้คนเตรียมของกินไว้ให้แล้ว” หมี่โม่หรู่อุ้มนางขึ้นจากเตียง แล้วหยิบเสื้อผ้าออกมาจากตู้เสื้อผ้าให้นางสวมใส่
เมื่อฉินปู้เข่อเห็นชุดผู้หญิงสีชมพูและอ่อนโยนชุดนั้น นางก็แตะปากของตนทันที นางไม่ได้ใช้ ‘น้ำตาลดำปลูกผม’ ในช่วงสามวันที่นอนหลับ หนวดของนางจึงหายไปแล้ว
“ข้าเพิ่งซื้อมาให้ใหม่ ใช้ใส่อีกแค่ไม่กี่วัน”
หลังจากแต่งตัวให้นางแล้ว หมี่โม่หรู่ก็จับเอวนางอุ้มเดินไปที่โต๊ะอาหาร
ฉินปู้เข่อถีบเท้าอย่างเขินอายเล็กน้อย “หม่อมฉันไปเองได้เพคะ ไม่ได้กินข้าวมาสามวันแล้วรู้สึกใจสั่นยิ่งนัก”
“ปล่อยให้สามีของเจ้าได้ทำหน้าที่บ้างเถิด เจ้าใช้พละกำลังปกป้องดูแลข้าตอนที่อยู่ข้างนอก แล้วเจ้าจะไม่ให้โอกาสข้าเมื่อเจ้ากลับมาแล้วบ้างหรือ?!”
เมื่อนางมาถึงโต๊ะอาหาร หมี่โม่หรู่ก็ยังคงไม่ยอมให้โอกาสนางทำเอง เขาวางนางบนตักของเขาแล้วจับเอวของนางด้วยมือข้างหนึ่ง และเตรียมจานให้นางด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
ฉินปู้เข่ออ่อนล้าเล็กน้อยแต่ก็มีความสุข นางพบว่านอกจากหน้าตาที่หล่อเหลาแล้ว นางยังชอบนิสัยที่อ่อนโยนและสุภาพของหมี่โม่หรู่มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
“ภายในเจ็ดวันเราก็สามารถกลับไปได้แล้ว”
หมี่โม่หรู่รีบเลือกอาหารที่จะป้อนหญิงสาว ในขณะที่แจ้งกำหนดการเดินทางเบา ๆ
“เร็วจัง ข้ารู้สึกเหมือนว่าท่านยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ฉินปู้เข่อก็เป็นคนเกียจคร้านธรรมดาเช่นกัน นางมีความสุขเมื่อมีคนช่วยป้อนอาหาร นางจึงเอานิ้วชี้ไปยังสิ่งที่นางต้องการจะกินเพื่อสั่งให้หมี่โม่หรู่ตักให้
“ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เมื่อข้าบอกว่าเจ้าป่วยและต้องดูแลเจ้าอยู่ในห้อง เจียวหย่งก็กล้าหาญมากขึ้นแต่ไม่มีซ่งกูมาช่วยเขาจัดการกับเงินที่ยักยอกไป การกระทำของเขาจึงเต็มไปด้วยช่องโหว่และพี่ชายสามก็ยึดหลักฐานทั้งหมดได้ ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาจึงถูกพี่ชายสามคุมตัวไป”
“เงินที่ถูกเขายักยอกไปก่อนหน้านี้จะถูกนำไปใช้สำหรับการซ่อมแซมเขื่อนกั้นน้ำ คลองและโครงการเกษตรกรรมอื่น ๆ ในปีนี้ ซึ่งจะแล้วเสร็จเรียบร้อยในอีกห้าหรือหกวัน ข้าได้ส่งเอกสารสำหรับการฟ้องร้องเจียวหย่งกลับไปแล้ว หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้ว่าราชการเขตคนใหม่จะมารับตำแหน่งในอีกไม่กี่วันนี้”
ฉินปู้เข่อยกนิ้วให้ “ช่างยอดเยี่ยมนัก เฉียบขาดเสียจริง หม่อมฉันคิดว่าต้องสู้กับเจียวหย่งอีก ดูเหมือนว่าที่หม่อมฉันกังวลว่าเรื่องจะซับซ้อนในตอนนั้นจะไม่จำเป็นแล้ว”
“ไม่ซับซ้อนก็ดีแล้ว” มือของหมี่โม่หรู่ที่วางบนเอวของนางลูบขึ้นลง เป็นเพราะความเข้าใจและการวิเคราะห์ของพระชายาตัวน้อยในคืนนั้นที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าสตรีที่อยู่ในมือของเขานั้นเป็นสมบัติล้ำค่า
“อิ่มหรือยัง?”
หมี่โม่หรู่เหลือบมองจานเปล่าบนโต๊ะ เมื่อยื่นมือออกมาแตะหน้าท้องส่วนล่างของนาง เขาก็ยังสงสัยว่าท้องของพระชายาตัวน้อยเติบโตอย่างไร กินอาหารได้มากถึงเพียงนี้ แต่เอวของนางก็ยังบางมาก
ฉินปู้เข่อพยักหน้าและคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ “หม่อมฉันอิ่มแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นก็ถึงทีของข้าบ้างแล้ว ดีหรือไม่”
“เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านไม่บอกหม่อมฉันว่าท่านยังไม่ได้กินข้าวเย็น เรานั่งอยู่ด้วยกันก็เลยเหลือแค่บางส่วนเท่านั้น”
ฉินปู้เข่อกำลังจะรีบกระโดดลงจากตักของหมี่โม่หรู่ แต่นางก็ถูกเขารัดเอวและกดให้นั่งลงที่ตักของเขาอีกครั้ง
“อ๊ะ!?” คาดว่าเป็นเพราะนอนหลับนานเกินไป สมองของฉินปู้เข่อจึงยังไม่ตื่นเต็มที่
หมี่โม่หรู่หลับตาลงเล็กน้อยแล้วกดหน้าผากของเขากับศีรษะของนาง แล้วเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “เสี่ยวเข่อบื้อช่างน่ารักเสียจริง”
มือที่วางอยู่บนเอวของนางเริ่มเคลื่อนไหวในบริเวณกว้างขึ้น และฉินปู้เข่อที่เชื่องช้าอยู่พักหนึ่งก็พบว่าบางจุดที่นางนั่งทับอยู่เริ่มร้อนขึ้น
“หม่อมฉัน… หม่อมฉันไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว…”
แม้ว่านางจะผ่านมาหลายครั้งแล้ว แต่แก้มของฉินปู้เข่อก็ยังร้อนอยู่
“ข้าเช็ดตัวให้เจ้าตอนเจ้าหลับ”
เขาจุมพิตตามใบหน้าที่ร้อนผ่าวของนางจนทั่ว และเสื้อคลุมที่นางเพิ่งสวมก็ถูกมือของหมี่โม่หรู่ถอดออกทันที
ฉินปู้เข่อผลักเขาและทั้งตัวของนางก็กลายเป็นสีแดง “ท่านมาฉวยโอกาสจากหม่อมฉันตอนที่หม่อมฉันหลับอยู่ได้อย่างไร…”
“ใช่แล้ว ข้ารอตั้งนานกว่าเจ้าจะตื่น”
หมี่โม่หรู่เงยหน้าขึ้นจากคอของนาง และรีบอุ้มนางกลับไปที่เตียงเพื่อดำเนินโครงการใหญ่ต่อไป
หลังจากถอดเสื้อผ้าของเขาออกแล้ว ชายผู้อ่อนโยนดุจสายน้ำก็ถูกครอบงำด้วยความปรารถนา หมี่โม่หรู่ออกแรงเพียงเล็กน้อยเพื่อทิ้งรอยฟันไว้บนความนุ่มนวลตรงหน้าเขา
“ท่าน… กัดข้า…”
ดวงตาของฉินปู้เข่อที่สั่นระริกนั้นเต็มไปด้วยม่านน้ำตา ดูเย้ายวนยิ่งนัก
“คราวหน้าอย่าไว้หนวดต่อหน้าข้าอีก มันคือการลงโทษ”
หมี่โม่หรู่เอนตัวลงและปิดตาที่อ่อนนุ่มของนางด้วยนิ้วมือเรียวยาวของเขา แล้วเลียติ่งหูเล็ก ๆ ของนางแผ่วเบา “เสี่ยวเข่อ ข้าจะเสร็จแล้ว”
“อืม…”
เสียงแผ่วเบาค่อย ๆ สั่นสะท้านก่อนจะถึงจุดสูงสุดของความเสน่หา ฉินปู้เข่อคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่นางชอบเกี่ยวกับหมี่โม่หรู่ ไม่ว่าเมื่อไรและอยู่ที่ใด ไม่ว่าเขาจะเร่งเร้ามากเพียงใด เขาก็จะสุภาพและอ่อนโยนต่อนาง
เมื่อนางตื่นขึ้นอีกครั้ง ดวงตะวันก็ขึ้นสูงถึงสามเสาไม้ไผ่แล้ว ฉินปู้เข่อจับเอวของตัวเอง เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าหมี่โม่หรู่ดูเหมือนหิวกระหายมากขึ้นตั้งแต่ที่นางเมามาย
เมื่อก่อนสักหนึ่งหรือสองครั้งก็พอให้นางได้พักผ่อน แต่เมื่อคืนเขาคึกคะนองกลางดึกและไม่ยอมปล่อยนาง กระทั่งนางเหนื่อยและสลบไป ซึ่งทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยและขี้เกียจเกินกว่าจะลุกขึ้น
“นายหญิง ลุกมาเสวยอาหารก่อนเถิดเพคะ ท่านอ๋องสั่งไว้เป็นพิเศษว่านายหญิงต้องเสวยบางอย่างเมื่อตื่นนอน เพื่อไม่ให้ท้องว่างและจะไม่ดีต่อร่างกาย”
ซวงหวนครุ่นคิดแล้วก้าวเข้าไปช่วยกดเอวของนาง บางทีนางอาจศึกษาศิลปะการต่อสู้และรู้วิธีสกัดจุดที่แน่นอน หลังจากกดไม่กี่ครั้ง ความเจ็บปวดและเมื่อยล้าก็บรรเทาลง
หลังจากรับประทานอาหารง่าย ๆ เสร็จแล้ว ฉินปู้เข่อก็นอนไม่หลับ เพราะเมื่อวานนี้นางนอนหลับไปสามวันสามคืนจนมีรอยขนาดใหญ่อยู่บนเตียง
“ช่วยเอาเสื้อผ้าผู้ชายมาให้ข้าและออกไปเดินเล่นกันเถิด”
หมี่โม่หรู่ไปที่ส่วนก่อสร้างที่ซ่อมเขื่อนในช่วงเช้าตรู่ เพื่อทำหน้าที่ของเขาในฐานะราชทูตของฮ่องเต้ และยอมรับการสรรเสริญและความรักจากผู้คน นางจึงไม่ต้องการอยู่เฉย ๆ
ซวงหวนนำกระโปรงและเสื้อคลุมสีม่วงมาให้นางเปลี่ยน “ท่านอ๋องโยนเสื้อผ้าผู้ชายที่นายหญิงเอามาทิ้งไปหมดแล้วเพคะ”
ฉินปู้เข่อแอบกัดฟัน ชายผู้นี้ค่อนข้างผูกใจเจ็บ เมื่อคืนนี้กัดนางแล้วก็ยังไม่สาแก่ใจ เขายังต้องการตัดความคิดเกี่ยวกับ ‘หนวด’ ของนางทิ้งให้หมด
พื้นที่ของเขตหลินเป่ยนั้นไม่ได้เล็ก เศรษฐกิจและการค้าไม่ได้ล้าหลัง และพื้นที่ก็เจริญรุ่งเรืองมากจนเกือบจะเหมือนกับเมืองหลวง
ก่อนที่จะออกไปเที่ยวข้างนอก นางก็ถามชาวบ้านแถวสำนักงานเขต และพบว่าที่ถนนลี่หมินมีของอร่อยอยู่หลายร้าน
ก่อนจะออกไปเที่ยวข้างนอกครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินทางไกล ก็จะต้องกินให้เพียงพอก่อนกลับ
ร้านขายเนื้อที่นางกำลังมองหาอยู่สุดถนนลี่หมิน หญิงชราสองสามคนที่แต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบกำลังเตรียมวัตถุดิบและพูดคุยกันที่ประตู ภาพนี้ค่อนข้างคล้ายกับภาพร้านขายของว่างหน้าประตูวิทยาลัยตอนที่นางอยู่วิทยาลัย
มาถึงตรงนี้ฉินปู้เข่อก็รู้ว่านางมาถูกที่แล้ว
เมื่อเห็นว่ารถม้าจอดอยู่หน้าประตูร้านแล้วนางก็ตะโกนเข้าไป ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เข้ามาพาฉินปู้เข่อเข้าไป
“สาวน้อย ที่ตั้งร้านของเราอยู่ในสวนหลังบ้าน อย่าได้ถือสาเลย”
หลังจากนั่งลงแล้ว เนื้อที่แล่อย่างเป็นเอกลักษณ์ก็ถูกยกมาให้
ขณะที่นางกำลังจะกินก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นตรงหน้านาง “เจ้าเองหรือ?”
………………………………………………………………………