สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 178 ไทเฮาสิ้นพระชนม์
บทที่ 178 ไทเฮาสิ้นพระชนม์
หมี่ฉงหันกลับมาและเห็นซือต๋าที่มาพร้อมกับชามยา ในตอนนั้นซือต๋าและหมี่ฉงมีอายุและขนาดตัวใกล้เคียงกัน
“ข้าไม่ได้ฉี่รดกางเกง!” หมี่ฉงตอบกลับไปอย่างเกรี้ยวกราด และโยนความคับข้องใจทั้งหมดของเขาใส่ซือต๋า
“ฮึ่ม ข้าไม่ได้ฉี่รดกางเกงมาสามปีแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้าอายุพอ ๆ กับข้าแล้วแต่เจ้ายังฉี่รดกางเกงอยู่ มันทำให้ข้าหัวเราะแทบตาย” ซือต๋าเดินผ่านหมี่ฉง คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
ทันใดนั้นหมี่ฉงก็ผลักซือต๋า “ข้าไม่ได้ฉี่รดกางเกง!”
เคร้ง!
ยาในชามที่อยู่ในมือของซือต๋าหกราดขาของหมี่โม่หรู่จนหมด ยาที่ร้อนจัดทำให้หมี่โม่หรู่ปวดแสบปวดร้อนเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงไม่เอ่ยคำใดแม้สักคำ
“ใครบอกให้เจ้าผลักข้า!” ซือต๋าที่กำลังมีปัญหาโกรธจัด หากปู่ของเขามาเห็นเข้า เขาจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน
จากนั้นเด็กชายตัวเล็กสองคนที่คนหนึ่งมาเยี่ยมผู้ป่วยและอีกคนหนึ่งมาส่งยาให้ผู้ป่วย ก็ตะลุมบอนกันที่จุดนั้นเพราะความกลัวและความโกรธของพวกเขา
หมี่โม่หรู่เหลือบมองยาที่ยังร้อนอยู่บนขาของเขา และอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า “เฮ้ หยุดตีกันเดี๋ยวนี้”
แต่เด็กสองคนบนพื้นก็ยังคงง่วนอยู่กับการต่อสู้และไม่มีใครได้ยินเขา
ดังนั้นเมื่อซือเยี่ยนเดินเข้ามา ภาพที่เห็นในห้องก็คือหมี่โม่หรู่ที่เหมือนโครงกระดูกตัวน้อยนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ขาของเขาเลอะเทอะ จ้องมองใบหน้าบวมปูดของเด็กทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่บนพื้นด้านข้าง
“สร้างปัญหาและกล้าตีกัน! ทุกคนออกไปรับโทษด้วยการยืนข้างนอก! ห้ามเคลื่อนไหวหากไม่มีคำสั่ง!” ซือเยี่ยนตะโกนเสียงดัง แล้วเด็กชายตัวเล็กสองคนก็ไปยืนอยู่ใต้ชายคาตรงหน้าต่างนอกตำหนักทั้งน้ำมูกและน้ำตาอย่างเชื่อฟัง
หลังจากที่หมี่โม่หรู่จัดการกับสิ่งสกปรกบนร่างกายของเขา และกินยาอีกครั้งและฝังเข็มเงินแล้ว เสียงด่าทอกันก็ดังมาจากนอกหน้าต่างครั้งแล้วครั้งเล่า
จากนั้นการเผชิญหน้าด่าทอกันระหว่างทั้งสองก็ไม่เคยหยุดเลยเป็นเวลากว่าสิบปี
หลังจากวันนั้นหมี่ฉงก็ได้กรอง ‘คำสอนที่จริงจัง’ ของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยออกด้วยตนเองและไปหาหมี่โม่หรู่ทุกวัน
ซือต๋ายังคิดว่าเป็นเพราะความประมาทของเขาเองที่ทำให้ขาของหมี่โม่หรู่เดินไม่ได้ในตอนที่ถูกลวกด้วยยาร้อน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ถูกกับหมี่ฉง แต่สุดท้ายก็เพราะ ‘ความเมตตาของหมอ’ เขาจึงไปเยี่ยมหมี่โม่หรู่ตลอดเมื่อเขามีเวลาว่าง และพยายามล้างพิษในร่างกายที่เต็มไปด้วยพิษของเขา
ด้วยเหตุผลใดก็ตาม นี่คือจุดเริ่มต้นการเดินทางของสามสหาย
————————————————————
“ข้าเปลี่ยนมันแล้ว”
หมี่ฉงที่สดชื่นขึ้นเดินเข้ามาในห้องอย่างเอื่อยเฉื่อย ในเวลานี้หมี่เฉินอี้ออกไปแล้วและซือต๋าก็ยุ่งเกินกว่าจะหันมาสนใจเขา
“อยู่ที่นี่แล้วข้าจะไปต้มยาให้โม่หรู่เมื่อเขาฟื้นขึ้น เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เขาแค่เหนื่อยก็เท่านั้น และกังวลอยู่ครู่หนึ่งจนทำให้โลหิตโจมตีหัวใจของเขา”
ซือต๋าพูดเสียงเบา จากนั้นหมี่โม่หรู่ก็ฟื้นขึ้นมาหลังจากนอนหลับมาทั้งวัน
ด้วยดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดที่ยังไม่ได้โกน หมี่ฉงกระโดดขึ้นทันทีที่เห็นเขาฟื้นขึ้นแล้วกอดเขาแน่นและส่งเสียงร้องไห้ “เจ้าเจ็ด เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าฟื้นแล้ว…”
ซือต๋าดึงตัวเขาออกไปอย่างเงียบ ๆ แล้วผลักเขาออกไป “ข้าไม่ได้บอกหรือว่าให้เจ้ารีบให้ยาเขาโดยเร็วที่สุด มีอะไรให้ต้องร้องไห้อีก เจ้าเด็กโข่ง! สมัยก่อนข้าไม่เคยเห็นเจ้าร้องไห้ แต่ตอนนี้ยิ่งแก่ก็ยิ่งขี้แยขึ้นเรื่อย ๆ!”
หมี่โม่หรู่กลืนยาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรในหูของเขาเลย เขาเพียงแค่มองไปที่ซือต๋า “นางกินยาหรือไม่?! เจ้าได้ให้นางกินยาทำแท้งหรือไม่?!”
ซือต๋ายืนขึ้นและถอยหลังหนึ่งก้าว ผงกศีรษะลงแล้วส่งเสียง ‘อืม’ เบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นเพื่ออธิบายว่า “โม่หรู่ นางไม่อาจเก็บเด็กไว้ในสภาพร่างกายปัจจุบันได้ และมันก็เป็นเรื่องดีที่พบแต่เนิ่น ๆ หากนางรู้ว่ามีเข็มอยู่ในร่างกายของนางตอนที่นางใกล้จะคลอด มันจะเป็นอันตรายยิ่งนัก อย่าเศร้าไปเลย สุขภาพของนางแข็งแรงดี และเจ้าทั้งสองก็ยังอายุน้อย…”
ขณะที่ซือต๋ากำลังพูดอยู่ หมี่โม่หรู่ก็ลุกขึ้นและเดินผ่านฉากกั้นห้องไปที่ห้องด้านใน
คนที่อยู่บนเตียงยังคงนอนเงียบ ใบหน้าของนางขาวซีดเนื่องจากการสูญเสียเลือดมากเกินไป หมี่โม่หรู่จ้องมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า และค่อย ๆ เอื้อมมือไปลูบคิ้วเรียวบางของนาง ในที่สุดจมูกโด่งก็แตะริมฝีปากซีดของนาง
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็โน้มตัวลงกอดคนที่หลับใหลไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่น นางผ่ายผอมลงจนกระดูกทั่วร่างกายของนางปูดโปนออกมา นั่นทำให้เขาเจ็บปวดจนน้ำตาแทบไหลริน
หญิงสาวร่างเล็กคนนี้กัดฟันยืนกรานจะแบกเขาขึ้นหลังตอนที่เขาจะถูกรุมทำร้าย แต่เขาก็ยังสงสัย หลอกล่อ ไม่ไว้วางใจ ตีตัวออกห่าง ปฏิเสธ ไม่ยอมให้ใจ…
เสี่ยวเข่อได้รับความชั่วร้ายทั้งหมดจากเขา เพียงเพราะเขาต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนาง และคลี่คลายปมในใจของตัวเอง
เหตุใดเขาถึงได้เห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าสาเหตุก็คือเขาที่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาของตัวเองอย่างสิ้นหวัง และสุดท้ายเขาก็สร้างปัญหาให้กับนางและลูก
เหตุใดเขาจึงไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้ นางเป็นคนที่เสียสละชีวิตเมื่อเขาถูกทำร้ายที่เขตหลินเป่ย แต่เขากลับไม่ได้ทำอะไรเลยในตอนที่นางถูกบังคับให้ดื่มสุราพิษ
ร่างกายของหมี่โม่หรู่สั่นสะท้านเล็กน้อย หยาดน้ำตาของเขาหยดลงบนไหล่และหลังของฉินปู้เข่อ ในที่สุดก็หยุดไม่ได้และไหลเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การร้องไห้ที่เงียบงันค่อย ๆ กลายเป็นเสียงสะอื้นอันแผ่วเบา และน้ำตาที่ไม่ได้ไหลรินมาหลายปีก็ไหลออกมาในเวลานี้
ในคืนนั้น ณ วังฝูคังของไทเฮา
อาจเป็นเพราะนางยอมรับอดีตต่อหน้าโอรสของนางเป็นครั้งแรก ไทเฮาเจิ้งจึงบรรทมอย่างกระสับกระส่ายในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เมื่อนางหลับตาลงนางก็เห็นเด็กน้อยที่นางพากลับมา
มองดูเขาเติบโตอย่างช้า ๆ และเริ่มเรียนรู้ที่จะเดินต่อหน้านาง และเฝ้าดูเขาค่อย ๆ พาหมี่เจ๋อเฉินโอรสองค์โตของนางที่เดินเตาะแตะไปสอนให้เดินและสอนให้พูด
ในตอนที่เขายังเป็นเด็กอายุสองหรือสามขวบ เขาบังคับตัวเองให้สอนเจ๋อเฉินให้เดินเองและพูดประโยคที่สมบูรณ์
เพียงแต่ว่าพฤติกรรมที่สมบูรณ์แบบก็ไม่อาจแปรเปลี่ยนใจที่ยืนกรานจะทิ้งเขาได้
“อาเหิง ช่วงนี้เสด็จแม่ยุ่งนัก เหตุใดเจ้าไม่กลับไปอยู่บ้านแม่ของเจ้าเสียที” ไทเฮาเจิ้งผละจากโอรสของนางและบอกเขา
“พ่ะย่ะค่ะ” เขาพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วเตรียมสิ่งของที่เจ๋อเฉินจะต้องใช้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และจากไปอย่างเงียบ ๆ
ไทเฮาเจิ้งคิดว่าเขาเป็นเด็กดีและน่ารักอะไรเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่ลูกของนาง ยิ่งส่งกลับไปเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี อย่างไรเสียพระสวามีก็ไม่สนิทสนมกับนางอยู่แล้ว ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นหากนางเลี้ยงคนอกตัญญูไว้
“ท่านแม่ เหตุใดท่านต้องส่งข้าไป” เสียงหนึ่งดังมาจากความฝัน
เมื่อไทเฮาเจิ้งเห็นเด็กชายผู้จากไปอย่างเชื่อฟัง นางก็หันหลังวิ่งมาคุกเข่าทั้งน้ำตา
“เสด็จแม่ หรือว่าอาเหิงยังทำได้ไม่ดีพอ อาเหิงไม่ดีตรงไหน โปรดบอกอาเหิงแล้วอาเหิงจะแก้ไข”
เขาร้องไห้ นี่เป็นครั้งแรกที่ไทเฮาเจิ้งเห็นอาเหิงร้องไห้ เด็กน้อยช่างน่าสงสารจริง ๆ
นางใจอ่อนลงและทรุดตัวลงนั่งและพูดว่า “อาเหิง อย่าร้องไห้เลย”
“อาเหิง!” ไทเฮาเจิ้งผุดลุกขึ้นนั่ง โดยไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความฝันหรือความจริงไปชั่วขณะหนึ่ง
ร่างหนึ่งลอยผ่านหน้าต่างไป ไทเฮาเจิ้งรีบมองไปยังเงาที่อยู่นอกหน้าต่าง “อาเหิง?!”
“เสด็จแม่ เหตุใดท่านถึงให้สุราพิษแก่ลูก เป็นเพราะลูกไม่ดีพอหรือ หากลูกทำไม่ดีตรงไหน ท่านก็ควรบอกลูกให้เปลี่ยน”
ที่ลานภายในวังฝูคัง ไทเฮาเจิ้งมองดูร่างที่อาบแสงจันทร์ตรงหน้านาง และใบหน้าของนางก็ดูน่าเกลียดน่ากลัว “เหตุใดข้าต้องเก็บเจ้าไว้? สวามีรักและสนับสนุนเจ้า แม้แต่เจ๋อเฉินก็จะอยู่ไม่ได้หากมีเจ้าอยู่ เจ้าจะคุกคามตำแหน่งของเจ๋อเฉินและคนอื่นจะวิจารณ์เจ๋อเฉินเมื่อมีเจ้าอยู่ใกล้ ๆ! เมื่อเจ๋อเฉินอยู่กับเจ้าก็จะไม่สนิทกับแม่!”
ร่างที่อยู่ข้างหน้านางยังคงดูอ่อนโยนเหมือนเคย แม้ว่าเขาจะได้ยินคำพูดที่บีบหัวใจเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาก็ยังคงสงบและปราศจากความโกรธ “เสด็จแม่ว่าอย่างไรนะ อาเหิงไม่มีเจตนาจะแข่งกับเจ๋อเฉินเลย อาเหิงยังไม่ได้แต่งงานและแค่ต้องการจะช่วยเจ๋อเฉินอย่างเต็มที่ เสด็จแม่ ไว้ชีวิตอาเหิงด้วย เสด็จแม่…”
ไทเฮาเจิ้งเปลี่ยนน้ำเสียงและพูดอย่างจริงจัง “อาเหิง เจ้าไปเสียเถิด เจ้าไม่ใช่ลูกของข้า ตอนนี้ได้เวลากลับไปหาแม่ของเจ้าแล้ว…”
ร่างนั้นหลั่งน้ำตาอย่างเศร้าสร้อย ดวงตาคู่งามเผยความอ้อนวอน “อาเหิงจะจากไป มีเพียงเสด็จแม่บุญธรรมเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างอาเหิงตั้งแต่เด็ก และจำได้เพียงแค่ว่าท่านเป็นมารดาเท่านั้น ส่วนมารดาผู้ให้กำเนิดนั้นอาเหิงไม่เคยรู้จักมาก่อน เสด็จแม่ไปกับอาเหิงได้หรือไม่ อาเหิงเหงาเกินกว่าจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว… หรือหากเสด็จแม่ไม่ต้องการ อาเหิงก็จะพาเจ๋อเฉินไปด้วยแทน เขาพึ่งพาอาเหิงมาเยอะ ดังนั้นเขาย่อมเต็มใจที่จะไปกับอาเหิงอย่างแน่นอน”
เสียงของร่างนั้นฟังดูร่าเริงและหันหลังวิ่งไปที่ตำหนักจรุงจิต
ไทเฮาเจิ้งรู้สึกวิตกกังวล “อาเหิง พาแม่ไปด้วยเถิด อาเหิง! อย่าไปยุ่งกับพวกเขา อาเหิง…”
วันรุ่งขึ้นวังที่เพิ่งตื่นขึ้นใหม่ก็ลั่นระฆังมรณะในรอบเก้าสิบปี
ไทเฮาเจิ้งผู้บูชาพระพุทธเจ้าตลอดทั้งปีถูกพบว่าจมน้ำสิ้นพระชนม์ในสระน้ำนอกวังฝูคัง
ทันทีที่หมี่เฉินอี้ได้ยินเสียงระฆังมรณะ เขาก็ไม่ได้ไปที่วังแต่รีบเดินทางไปที่ตำหนักของอ๋องหลี่ชินโดยไม่หยุดพัก
“หมี่โม่หรู่ เจ้าทำหรือ?!” เขาเตะประตูอย่างโกรธเกรี้ยวและคำราม แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะลดเสียงลง
ในห้องนั้นสาวน้อยยังคงนอนหลับอย่างสงบ และหมี่โม่หรู่ที่มีผมยุ่งก็อยู่เคียงข้างนางพลางจับมือนางแน่น และผล็อยหลับอยู่ข้างเตียง
เมื่อได้ยินเสียงของเขา หมี่โม่หรู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที ปฏิกิริยาแรกของเขาคือดูว่าคนที่อยู่ข้างเขาตื่นหรือไม่ จากนั้นก็มองมาที่เขาอย่างงุนงง
“เหตุใดเสด็จอามาที่นี่แต่เช้า” หมี่โม่หรู่ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
ดวงตาที่แต่เดิมเคยสดใสกลายเป็นบวมแดง เห็นเพียงแค่แวบแรกก็รู้ว่าเขาร้องไห้อย่างขมขื่นมานานแล้ว
หมี่เฉินอี้ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “เสียงระฆังมรณะดังขึ้นในวังเมื่อครู่นี้ ไทเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว”
หมี่โม่หรู่ค่อย ๆ วางฝ่ามือเล็ก ๆ ไว้ใต้ผ้าห่มแล้วพูดเสียงเบาว่า “เป็นไปได้อย่างไร โอ้ การแก้แค้น มันเป็นการแก้แค้น”
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและพูดพลางหัวเราะว่า “เสด็จอา เหตุใดข้าถึงอดรู้สึกมีความสุขในใจไม่ได้ ข้าอยากจะขอคำอธิบายต่อหน้านางอย่างชัดเจน ฮ่า ๆ เสด็จอา นางตายแล้วแต่เสี่ยวเข่อยังไม่ฟื้นเลย”
“ไปเปลี่ยนชุดไว้ทุกข์แล้วเข้าไปในวังก่อน” หมี่เฉินอี้ก้าวไปข้างหน้าแล้วตบไหล่เขา “ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก ให้นางกำนัลคอยดูแลนางอย่างดี”
ไทเฮาเจิ้งไม่มีบุตร นางจึงเลี้ยง ‘เด็กเก็บมาเลี้ยง’ และได้ลูกชายสองคน แต่ลูกชายคนโตสนิทสนมกับแค่ ‘เด็กเก็บมาเลี้ยง’ เท่านั้น และแทบไม่มีความสัมพันธ์กับนางเลย ส่วนลูกชายคนเล็กของนางก็ไปสงครามเป็นเวลาหลายปีโดยที่ไม่ได้กลับมา และเมื่อเขากลับมา เขาก็ห่างเหินจากนางเช่นกัน
และนางเองก็เก็บตัวอยู่ในวัดมาหลายปีแล้ว นางจึงแทบไม่มีความสัมพันธ์กับลูกหลานของนางเลย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หมี่โม่หรู่จะไม่เศร้า แม้แต่หมี่เฉินอี้เองก็ไม่ได้เศร้ามากเท่าใดนัก
หมี่โม่หรู่ที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดไว้ทุกข์เดินไปอยู่ข้างคนป่วยอีกครั้ง แล้วจุมพิตเบา ๆ บนหน้าผากของฉินปู้เข่อและกระซิบที่หูของนางว่า “เสี่ยวเข่อ สามีจะไม่มีวันปล่อยให้คนที่ทำร้ายเจ้ามีชีวิตอยู่ได้แม้แต่วันเดียว”
…………………………………………………………………………