สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 183 ปีนเกลียว
บทที่ 183 ปีนเกลียว
เมื่อเห็นว่าหมี่เซวียนเงียบไป ฮองเฮาจึงทุบโต๊ะ “เป็นเจ้าใช่หรือไม่!”
“ใช่” หมี่เซวียนยอมรับพลางจ้องมองฮองเฮา
“เจ้าไปเอาข่าวลือนี้มาที่ใด!” ฮองเฮาโกรธจัด “ในเมื่อเจ้ารู้ข่าวลือนี้แล้ว เจ้าก็ควรจะเข้าใจว่าเรื่องนี้ติดอยู่ในพระทัยของเสด็จพ่อของเจ้ามากเพียงใด แล้วเจ้าทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร!”
หมี่เซวียนถอนหายใจอย่างเย็นชาและพูดอย่างเกรี้ยวกราด “ทุกวันนี้ลูกเห็นเจ้าเจ็ดก้าวขึ้นไปยังจุดสูงสุดอย่างมั่นคง และเห็นว่าเขากำลังจะเลื่อนขั้นเป็นชินอ๋องจินจู่ ซึ่งไม่เคยมีตำแหน่งชินอ๋องจินจู่ในราชวงศ์มาก่อน! ลูกจะต้องนั่งรอความตายอยู่กับที่หรือ?”
“เสด็จแม่ไม่ต้องสนใจหรอกว่าลูกรู้ได้อย่างไร คนที่เกี่ยวข้องไม่ใช่ลูกแล้วเสด็จแม่จะกังวลเรื่องอะไร!” หมี่เซวียนจ้องฮองเฮาและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว น้ำเสียงของเขาเย็นชา “ลูกเองก็อยากจะถามเสด็จแม่เช่นกันว่าท่านรู้ความลับของราชวงศ์ที่เป็นประโยชน์ต่อลูกเช่นนี้ แต่เหตุใดถึงไม่บอกลูกเล่า?!”
“บังอาจ! เจ้ามองเพียงแค่ว่ามีอ๋องหลี่ชินและอ๋องอี้เท่านั้นที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แล้วเจ้าจะเอาหน้าเสด็จพ่อของเจ้าไปไว้ที่ใด!?”
โอรสที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับนางโดยตรงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคย จึงทำให้ฮองเฮาโกรธจัดจนยื่นพระหัตถ์ออกไปตบหน้าหมี่เซวียน
เพียะ!
เมื่อหมี่เซวียนถูกตบอย่างแรง ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อและแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา
เมื่อฮองเฮาเห็นการจ้องมองที่เยือกเย็นเช่นนี้ก็ตื่นตระหนก นางมองดูมือที่ชาของนาง และมุมปากที่มีเลือดไหลของหมี่เซวียน แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกมาเช็ดหน้าของหมี่เซวียนโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสำนึกผิด “เซวียนเอ๋อร์ มาให้แม่ดูเถิด… เซวียนเอ๋อร์”
หมี่เซวียนก้าวออกไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงพระหัตถ์ของฮองเฮา แล้วใช้หลังมือเช็ดเลือดที่มุมปาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วเย้ยหยัน “เสด็จแม่ อ่า เสด็จแม่! ท่านเอาแต่พูดว่าท่านทำดีเพื่อพระโอรสของท่าน แต่แท้ที่จริงแล้วท่านกำลังทำเพื่อหน้าของเสด็จพ่อ! และเพื่อหน้าของท่านเอง!”
“ไม่ใช่ เซวียนเอ๋อร์ แม่จะเรียกหมอหลวงให้เจ้า”
“ไม่ต้อง! ตอนนี้ข่าวลือนี้แพร่กระจายไปแล้ว เสด็จแม่คอยดูเถิด ท่านไม่เต็มใจวางแผนเพื่อโอรสของท่านเพราะเห็นแก่หน้าเสด็จพ่อ เช่นนั้นโอรสของท่านจะจัดการเอง!”
หมี่เซวียนสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ทันทีที่เขาก้าวออกจากธรณีประตูตำหนักเฟิ่งเสียง หัวใจของเขาก็มีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุดเขาก็กลายเป็นคนใจแข็งต่อหน้าเสด็จแม่ของเขา เมื่อถึงตอนที่ต้องตรวจสอบ เขาก็จะแสดงให้เสด็จแม่ของเขาเห็นว่าเขาไม่ได้ไร้ประโยชน์ และไม่จำเป็นต้องให้นางจัดการให้ทุกขั้นตอน!
สิบวันต่อมา คนในเมืองหลวงที่มีเวลาว่างส่วนใหญ่มักจะไปโรงละครเพื่อดูละครที่สะท้อนถึงอ๋องอี้และพระสนมเสียนผิน แต่สิ่งที่ทำให้หมี่เซวียนและอัครมหาเสนาบดีประหลาดใจก็คือ คราวนี้ผู้คนที่เคยนินทาเกี่ยวกับความลับของราชวงศ์ในอดีตอญู่ที่นั่น แต่กลับไม่มีความกระตือรือร้นมากนัก
พวกเขาคาดไม่ถึงว่าการสนทนาที่มีชีวิตชีวาและสายตาเคลือบแคลงใจในสีหน้าของคนทั่วไปจะไม่ปรากฏเลย แม้แต่ลู่จ่านที่เป็นคนในและแต่เดิมเคยรู้เรื่องราวภายในที่แท้จริงก็ยังรู้สึกไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความลับนี้
แม้แต่ความทรงจำของลู่ชูอี้ก็ยังมีจุดบอดเมื่อสอบถามรายละเอียด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจำไม่ได้ว่าคนที่ชื่อ ‘อ๋องอี้’ เคยมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ
หลังจากละครเพลงจัดได้ครึ่งเดือน โรงหลานอินก็ติดป้าย ‘ปิดทำการ’ หลังจากส่งแขกกลุ่มสุดท้ายออกไป
เพียงหนึ่งวินาทีก่อนที่ประตูจะปิด ฉินปู้เข่อที่กำลังยกยิ้มก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูพร้อมกับหมี่โม่หรู่
เมื่อพนักงานดูแลแขกเห็นว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่จองสถานที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเชิญคนทั่วไปมาดูแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เขาก็เปิดประตูต้อนรับทั้งสองทันที และยังตะโกนเรียกเถ้าแก่มาต้อนรับแขกด้วย
ไม่นานนักเถ้าแก่ก็เดินยิ้มออกมา “อ๋องหลี่ชินและพระชายามารอชมละครที่นี่สายเกินไปหรือไม่? วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว กระหม่อมเกรงว่าวันนี้คงจะไม่มีบทเพลงขับขานให้ท่านทั้งสองได้ฟังอีกแล้ว ดังนั้นพรุ่งนี้จะเปลี่ยนเพลงแล้วเชิญพวกท่านทั้งสองให้มาฟังแบบไม่มีค่าใช้จ่าย”
ฉินปู้เข่อประสานมือของนาง “เถ้าแก่มาพอดี ข้ามีข่าวดีจะบอกท่าน…”
……………………………………………………………………