สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 185 ข่าวลือทำร้ายตัวเอง
บทที่ 185 ข่าวลือทำร้ายตัวเอง
“ใช่แล้ว ร้องเพลงนี้แหละ มันคงไม่รบกวนเจ้ามากไปใช่หรือไม่”
เฉินอังพยักหน้า “ไม่ ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ” ไม่เพียงแต่จะไม่มีคำสาปแช่ง แต่คาดว่าองค์รัชทายาทก็อาจจะเดินทางมามอบกระเช้าดอกไม้พิเศษให้พวกเขาที่โรงหลานอินเมื่อได้ฟัง
แต่สองฝ่ายนี้คืออะไร องค์รัชทายาทแต่งเพลงใส่ร้ายถึงเพียงนี้ แต่สองคนนี้กลับตอบแทนความคับข้องใจด้วยคุณงามความดีหรือ?!
แต่เฉินอังก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถถามได้ ดังนั้นเขาจึงรีบเรียกคนในคณะมาซ้อมการแสดงทั้งคืน
เมื่อเห็นว่าฉินปู้เข่อและทั้งสองกำลังจะจากไป เฉินอังก็วิ่งตามพวกเขาอย่างวิตกกังวล “องค์ชายเจ็ด หลังจากนี้โรงหลานอินแห่งนี้จะปลอดภัยหรือ…”
“เถ้าแก่เฉินวางใจเถิด องครักษ์จากตำหนักอ๋องหลี่ชินกำลังปฏิบัติหน้าที่ทั้งกลางวันและกลางคืนใกล้กับโรงหลานอิน และพวกเขาจะไม่มีวันปล่อยให้เถ้าแก่เฉินหายตัวไปโดยไม่มีเหตุผล” หมี่โม่หรู่พูดด้วยเสียงเบา “อย่างน้อยก็ไม่จนกว่าบทละครจะถูกขับร้องอย่างเพียงพอ”
เมื่อเผชิญกับการบีบบังคับที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ เฉินอังก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงส่งคนทั้งสองออกจากประตูเท่านั้น
เมื่อพวกเขาทั้งสองขึ้นรถม้าก็หัวเราะออกมาทันที
หลังจากหัวเราะจนเจ็บกรามแล้ว ฉินปู้เข่อก็ถามด้วยความสงสัย “ท่านส่งจดหมายถึงหมี่เซวียนจริงหรือเพคะ?”
“ไม่หรอก ตำหนักบูรพาคิดว่ามีผู้ลอบสังหารและความวุ่นวายก็เกิดขึ้น”
หมี่โม่หรู่กอดนางไว้ในอ้อมแขนและลูบผมของนางแผ่วเบา แล้วถอนหายใจเบา ๆ ราวกับอยู่ในภวังค์ “เสี่ยวเข่อ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าเคยคิดว่าข้าจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ทนไม่ได้ได้อย่างไร ข้าเผชิญกับการเยาะเย้ยและการดูถูกเหยียดหยามตลอดหลายปีที่ผ่านมา และคาดไม่ถึงเลยว่าเทพเจ้าจะส่งเจ้ามาหาข้า ซึ่งทำให้ข้ารู้สึกโล่งใจเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้อีก”
“อืม…” คนในอ้อมแขนตอบเขาด้วยดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย
แตกต่างจากอารมณ์เศร้าของหมี่โม่หรู่ หญิงสาวครึ่งหลับครึ่งตื่นและโต้ตอบอย่างสะลึมสะลือ
หมี่โม่หรู่ยกยิ้มแล้วสวมกอดร่างกายที่อ่อนนุ่มของนาง เขาส่ายหัวพลางหัวเราะ และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาตอนนี้ช่างดูเจ้าเล่ห์เสียจริง
สองวันต่อมา หลินไห่ผู้เป็นหัวหน้าขันทีเคียงข้างฮ่องเต้ต้าเซี่ยได้ออกพระราชกฤษฎีกา เพื่อประกาศแต่งตั้งตำแหน่งชินอ๋องจินจู่ที่เทียบเท่ากับตำแหน่งองค์รัชทายาท
อ๋องหลี่ชินหรือหมี่โม่หรู่ปฏิเสธที่จะยอมรับพระราชกฤษฎีกาของฮ่องเต้ โดยบอกว่าตนเองไม่เหมาะสมในเชิงศีลธรรม
หลินไห่ตกใจและต้องการทราบเหตุผล จากนั้นเขาก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอ๋องอี้และอ๋องหลี่ชินจากการแสดงขับร้องในร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองหลวง และเขายังได้ยินด้วยว่าที่นี่มีคนพูดถึงเรื่องนี้มาครึ่งเดือนแล้ว และผู้คนก็มาฟังเต็มทุกวัน
หลังจากกลับมาที่พระราชวัง หลินไห่ย้ำอีกครั้งว่าอ๋องหลี่ชินปฏิเสธที่จะยอมรับพระราชกฤษฎีกาของฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้ต้าเซี่ยกริ้วขึ้นมา หลินไห่ก็อดไม่ได้ที่จะปลอบโยนอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาท อ๋องหลี่ชินถูกท่านละเลยมากว่ายี่สิบปี ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาได้ยับยั้งพระทัยและกลับมาร่วมพิธีอีกครั้ง และไม่เคยมีความขุ่นเคืองต่อพระองค์เลย แต่บัดนี้บุคคลภายนอกได้เปิดเผยความลับของราชวงศ์ กระหม่อมเกรงว่าเขาน่าจะคิดว่าท่านจะเสียพระพักตร์จึงไม่กล้าถวายเกียรติรับตำแหน่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยเปลี่ยนพระทัยเล็กน้อย หลินไห่ก็กล่าวต่ออีกว่า “วันนี้เมื่อท่านอ๋องได้รับพระราชกฤษฎีกา กระหม่อมก็เข้าไปเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด เขาฟังพระราชกฤษฎีกาของฮ่องเต้อย่างตั้งใจ แต่แววตาของเขากลับโศกเศร้าเพราะข่าวลือ และปากของเขาก็แห้งแตกจนดูเหมือนว่าเขาไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว”
“แต่ฝ่าบาทก็ทรงทอดพระเนตรเห็นว่า แผนการปรับปรุงบ้านเมืองที่ท่านอ๋องเสนอในปัจจุบันนี้ยังคงเขียนได้ดีและมีระเบียบ เพราะเขาเกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทต้องเสียพระพักตร์ และต้องการบรรเทาความทุกข์ร้อนของฝ่าบาทอย่างสุดหัวใจพ่ะย่ะค่ะ”
หลินไห่อยู่เคียงข้างฮ่องเต้ต้าเซี่ยมาตั้งแต่เด็ก เขาย่อมได้เห็นฮ่องเต้ต้าเซี่ยและหมี่อี้เหิงเติบโตมาด้วยกัน คนประเภทนี้ที่รู้เรื่องราวภายในและอยู่ใต้อำนาจมักจะพลิกเรื่องได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยถอนใจยาวและตั้งใจที่จะระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน และหวนนึกถึงความทรงจำเก่าแล้วความโกรธที่ระงับเอาไว้ก็ผุดขึ้นมา
“ไปตรวจสอบมาให้ข้าว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวลือ! มันเป็นเพียงข่าวลือจากละคร พวกผู้ตรวจสอบเก่าแก่เก็บเอามันมาวางไว้บนโต๊ะได้อย่างไร? ฮึ มันต้องการกำจัดเจ้าเจ็ดออกจากราชวงศ์! ไอ้สารเลวคนใดเป็นผู้เริ่มต้น รีบตรวจสอบให้ข้า!”
สามวันต่อมาผลการสอบสวนอย่างละเอียดก็ถูกนำเสนอต่อราชสำนัก ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมองดูบทละครหลายเรื่องที่เขียนโดยสาวกขององค์รัชทายาทด้วยใบหน้าบูดบึ้ง หลายฉบับมีตัวเอกเพียงสามหรือสี่ตัว แต่ความชั่วร้ายและหยาบคายต่าง ๆ มาจากตัวละครที่เป็น ‘ลูกชายบุญธรรม’ และทุกฉบับจะปิดฉากลงแบบลูกชายนอกสมรสของ ‘ลูกชายบุญธรรม’ และ ‘สาวใช้’ ที่พลัดพรากจากครอบครัวแข็งแกร่งขึ้นจนกลับมาทำลายล้างตระกูล
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยได้แต่ขมวดคิ้ว และต้องการจะเผชิญหน้ากับเหล่าสาวกและองค์รัชทายาทตัวต่อตัว เพื่อถามว่าจุดประสงค์คืออะไร
ในตอนบ่ายฮ่องเต้ต้าเซี่ยเฝ้าครุ่นคิดถึงอดีตเมื่อตอนที่ยังเด็ก และตระหนักได้ว่าเขารู้สึกละอายใจกับองค์ชายเจ็ดตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข่าวลือครั้งล่าสุดทำให้พระโอรสองค์นี้ของเขารู้สึกเป็นทุกข์ ดังนั้นหลังจากเสวยพระกระยาหารกลางวันแล้วก็ประทับบนรถม้าจากวังไปยังตำหนักอ๋องหลี่ชิน ด้วยความตั้งใจที่จะสนับสนุนให้พระโอรสของตนได้รับความรักจากพ่อที่ค่อนข้างจะล่าช้าเกินไป
ทันทีที่เข้าไปในตำหนัก ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็พบว่าตำหนักกำลังวุ่นวายมาก หมี่โม่หรู่ถวายบังคมตรงรถม้าอย่างเคร่งขรึมแต่นั่งราวกับอยู่บนเข็ม และสติของเขาก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยเมื่อตอบคำถาม
“ช่วงนี้มีอะไรไม่พึงปรารถนาในตำหนักหรือ?” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยคิดก่อนเลยว่าหมี่โม่หรู่อาจได้รับผลกระทบจากข่าวลือภายนอก จึงทำให้เขาไม่เห็นด้วยกับฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาของตน
หมี่โม่หรู่มองนางกำนัลที่เดินไปมานอกห้องโถง แล้วคำนับก่อนตอบว่า “กราบทูลเสด็จพ่อ เมื่อสองสามวันก่อนพระชายาพบว่านางตั้งครรภ์และแท้งลูกคนแรกไปด้วยเหตุผลบางอย่าง แล้วก็มีสัญญาณของการแท้งบุตรอีกและสองวันนี้อยู่ในช่วงวิกฤตของการป้องกันการแท้งบุตร ดังนั้นตำหนักจึงค่อนข้างวุ่นวาย และลูกเองก็มีความกังวลยิ่งนักหลังจากที่ได้ยินมาว่าสตรีมักจะแท้งบุตรหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ…”
ขณะที่เขาอธิบาย หมี่โม่หรู่ก็ยกแขนเสื้อขึ้นเพื่อเช็ดเหงื่อที่เกิดจากความกังวลใจและความตื่นเต้นที่หน้าผากของตน และมองฮ่องเต้ต้าเซี่ยอย่างสำนึกผิด
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง โดยไม่รู้ว่าจะแสดงความชื่นชมยินดีอย่างไรดี
หลินไห่ด้านข้างตอบทันทีด้วยรอยยิ้ม “เป็นเรื่องปกติที่ท่านอ๋องจะตื่นเต้นและประหม่าเมื่อกำลังจะเป็นพ่อเป็นครั้งแรก พระชายายังทรงพระเยาว์และมีลักษณะดี คราวนี้นางจะผ่านพ้นช่วงอันตรายไปได้อย่างปลอดภัย”
“นำของกำนัลเข้ามา!” ขณะนี้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็ตอบสนองเช่นกัน เขาโบกมือให้คนนำรางวัลหลายอย่างมาให้ตามกฎเกณฑ์แบบที่พระราชทานให้พระสนมขององค์รัชทายาท
หมี่โม่หรู่ตกใจมากและทำได้เพียงน้อมรับพระบัญชาเท่านั้น
ขณะที่ตำหนักอ๋องหลี่ชินถูกข่าวลือใส่ร้ายป้ายสี และพระชายากำลังตกอยู่ในอันตรายจากการตั้งครรภ์อีกครั้ง นิมิตหมายอันเป็นมงคลก็ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งในเมืองหลวง
ในคูน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ปลาครีบเหลืองจำนวนมากกระโดดขึ้นจากน้ำมารวมกัน ชาวประมงและเหล่าสามัญชนต่างรีบไปจับพวกมัน พวกเขากล่าวว่าปีนี้เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวของชาวประมง และชาวประมงบางคนพบคำว่า ‘บุตรแห่งสวรรค์ทำประโยชน์ให้แก่ราษฎร’ ในท้องปลา
แม้แต่วิหคทั้งในและนอกเมืองหลวงก็ยังได้รับบัญชาจากสวรรค์ พวกมันบินวนเวียนเริงร่าอยู่แถวตำหนักบูรพาตลอดทั้งวัน
โรงละครใหญ่ก็เริ่มยกย่องคุณธรรมขององค์รัชทายาทในเรื่องความกตัญญูกตเวทีและความสมบูรณ์แบบ
ผู้คนตามตรอกและท้องถนนต่างบอกว่าองค์รัชทายาทคือผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ แต่ฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่คนมองโลกในแง่ร้ายบางคนเชื่อว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทตั้งไว้เป็นเวลาหลายปีแล้ว เป็นลางบ่งบอกว่าเวลาของฮ่องเต้มีน้อยแล้ว ดังนั้นจึงควรเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ได้แล้ว
เรื่องนี้มาถึงจุดนี้แล้ว และเจ้าหน้าที่ที่กำลังเตรียมจะกล่าวโทษชีวิตของอ๋องหลี่ชินก็ไม่กล้าที่จะแสดงท่าทีเผด็จการ แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะยืนหยัดเคียงข้างองค์รัชทายาท แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าการโจมตีอ๋องหลี่ชิน และการส่งเสริมตัวเองอย่างรวดเร็วและโจ่งแจ้งเกินไปขององค์รัชทายาทนั้นยากที่จะประสบความสำเร็จ
ตอนแรกหมี่เซวียนพอใจที่หมี่โม่หรู่ไม่ยอมรับพระราชกฤษฎีกา แต่หลังจากได้ยินการพูดคุยกันตามท้องถนนและตรอกซอกซอยเขาก็ตกตะลึง และในคืนนั้นเขาก็ไปตำหนักเฟิ่งเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือจากฮองเฮา
เมื่อฮ่องเต้ต้าเซี่ยได้ยินเรื่องนี้ก็โกรธจัด จนตำหนิฮองเฮาว่าเป็นแม่ไก่มาขันตอนเช้า และเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงทางการเมือง
จากนั้นคนที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยส่งออกไปสืบสวนก็พบว่า องค์รัชทายาทหมี่เซวียนรู้ความลับของราชวงศ์ผ่านอัครมหาเสนาบดีต๋งชวน ฮ่องเต้ต้าเซี่ยพิโรธแต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว และเพียงแค่กลับวังมาครุ่นคิดเกี่ยวกับองค์รัชทายาท
เรื่องนี้ส่งผลให้การสมรู้ร่วมคิดระหว่างอัครมหาเสนาบดีและองค์รัชทายาทได้หยั่งรากลึกในหัวใจของฮ่องเต้ต้าเซี่ย ตอนนี้เขากลัวอำนาจทางทหารของต๋งชวนจึงตั้งใจที่จะสนับสนุนต๋งชวนเพียงแค่ผิวเผิน และเริ่มแอบแบ่งกำลังทหารของต๋งชวน
ความตื่นเต้นในตำหนักอ๋องหลี่ชินค่อย ๆ ลดลง สิ่งที่ถูกขับขานในบทละครเป็นความจริง และฉินปู้เข่อพบว่าตนตั้งครรภ์อีกครั้งก็เป็นความจริงเช่นกัน
หมี่โม่หรู่เดินไปมาหน้าประตูห้องมานานกว่าสองเค่อแล้ว กลิ่นของสมุนไพรเฮียเฮียะยังคงลอยออกมาจากห้อง ทำให้เขายิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
หลังจากที่ซือต๋าออกมาพร้อมกับกล่องยา เขาก็รีบก้าวไปข้างหน้าและถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนี้ได้ผลหรือไม่”
“ไม่มีปัญหา แม้ว่าจะมีสัญญาณของรอยแดงอยู่บ้าง แต่ข้าก็มีวิธีการทำให้ผ่านสามเดือนแรกได้อย่างปลอดภัย” ซือต๋าดูสงบ แต่เขาก็พยายามอดทนที่จะไม่ต่อว่าเพื่อนของเขา สุดท้ายเขาก็ไม่อาจรักษาลูกคนแรกของพวกเขาไว้ได้ เพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเอง
หมี่โม่หรู่ตบไหล่ชายหนุ่มเพื่อแสดงความขอบคุณแล้ววิ่งเข้าไปในห้อง
“แหวะ~”
ทันทีที่เขาเข้าไป เขาก็เห็นฉินปู้เข่อกำลังอาเจียนยาทั้งหมดที่นางเพิ่งดื่มเข้าไปออกมา
“หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ” ฉินปู้เข่อเห็นคนที่เข้ามาและยอมรับความผิดพลาดของตน “มันเหลือทนจริง ๆ”
หมี่โม่หรู่มองดูใบหน้าซีดเผือดของนาง แล้วสั่งให้คนเปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้นเพื่อระบายกลิ่นสมุนไพรเฮียเฮียะในห้อง แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะทำอาหารที่มีประโยชน์ให้เจ้าและเสริมด้วยอาหารแทนยา”
จากนั้นเขาก็หยิบถ้วยเคลือบบนโต๊ะและจิ้มผลไม้หวานมาไว้ตรงปากนาง “ล้างปากหน่อยสิ เห็นซือต๋าสั่งยาแล้ว นับประสาอะไรกับเจ้า ข้าแค่ดมทุกวันยังรู้สึกขมเลย”
ฉินปู้เข่อหัวเราะเบา ๆ “หม่อมฉันคิดว่าท่านจะบังคับให้หม่อมฉันกินยาอีกครั้งเสียอีก”
“กล้าดีอย่างไรมาสั่งเจ้าตอนนี้” หมี่โม่หรู่เอามือใหญ่ลูบท้องแบนราบอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก”
ฉินปู้เข่อหาท่าที่สบายพิงไหล่ของเขา “พรุ่งนี้ท่านควรไปราชสำนัก”
“อืม ในตอนเช้าหลินไห่จะยื่นพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งตำแหน่งชินอ๋องจินจู่และข้าจะเข้ารับ พรุ่งนี้ข้าจึงต้องไป” หมี่โม่หรู่ หยิบมือน้อยของนางขึ้นมาเล่นด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลเล็กน้อย “ข้าเดาว่าเจ้าคงมีแล้วตั้งแต่ตอนที่เราไปโรงละครกัน และทำให้เจ้าต้องกังวลเรื่องนี้มานาน ข้าเกรงว่าลูกในท้องจะรู้สึกเหนื่อยเหมือนแม่ ทุกวันนี้ข้าจึงรู้สึกหงุดหงิดไม่หาย”
ฉินปู้เข่อยกมือขึ้นตบหน้าท้องส่วนล่างของตน “ท่านไม่ต้องกังวล ไปกับแม่ไม่เหนื่อยหรอก”
“เอ๊ะ ๆ เจ้าแตะเบา ๆ สิ!” หมี่โม่หรู่รีบห้ามนาง “เจ้าวางใจได้เลยว่าในอนาคตลูกของเราจะได้อยู่ในวัง โดยหมี่เซวียนจะไม่สามารถออกมาได้ภายในสองหรือสามเดือน และเรื่องระหว่างเขากับต๋งชวนก็ได้ฝังอยู่ในพระทัยของเสด็จพ่อแล้ว และคงจะยากที่จะกำจัดออกไปในอนาคต”
“อุ๊บ! ตอนแรกเขาใช้ข่าวลือเพื่อกำจัดท่าน แต่ตอนนี้เขากลับยิงเท้าตัวเอง แล้วเขาจะได้รู้ว่าความรู้สึกที่ถูกทำร้ายเพราะข่าวลือมันเป็นเช่นไร”
………………………………………………………………………….