สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 188 แอบกินในเรือนหอ
บทที่ 188 แอบกินในเรือนหอ
“เสี่ยวเข่อ เสี่ยวเข่อ กราบไหว้ฟ้าดิน”
เสียงในความฝันดังราวกับมาจากที่อันไกลโพ้น จิตใจของฉินปู้เข่อสับสน และนางก็ทำตามคำพูดของชายคนนั้นโดยไม่รู้ตัว “เอ๊ะ”
จากนั้นขณะที่ดวงตาของนางยังคงปิดอยู่ ชายคนนั้นก็ค่อย ๆ เดินนำนางไปข้างหน้า
หลังจากก้มตัวคำนับและลุกขึ้นสองสามครั้ง ฉินปู้เข่อก็พยายามลืมตาอย่างเพื่อดูว่าใครกำลังรบกวนการนอนหลับแสนสบายของนาง คราวนี้นางจึงพบว่านางกำลังยืนอยู่บนพื้นจริง ๆ ไม่ใช่ฝัน
“ที่นี่ที่ไหน ข้าง่วงนอนมาก” นางจ้องมองไปอย่างว่างเปล่าและเท้าของนางก็ไม่มีเรี่ยวแรง
“ไปนอนเถิด” มือใหญ่ของเขาโอบรอบเอวนางและดึงเอวนางเข้ามาทันที แล้วพูดเบา ๆ ว่า “เดี๋ยวเจ้าก็จะได้นอนบนเตียงแล้ว ไม่ต้องห่วง”
ผ้าคลุมหน้าสีแดงแนบกับใบหน้านวลของนาง ฉินปู้เข่อเอื้อมมือจะไปดึงมันออก “อะไรเนี่ย คันจัง”
ชายหนุ่มจับมือนางเพื่อป้องกันไม่ให้นางดึงผ้าไหมสีแดงหมดจดที่คลุมหน้านางอยู่ออกอย่างง่ายดาย และยกยิ้มอ่อนเพื่อให้นางมั่นใจ “คลุมไว้ดีแล้ว”
“อืม”
ท่ามกลางความโกลาหล ฉินปู้เข่อรู้สึกราวกับอยู่บนเรือที่มีคลื่นซัดสาด ลมกระโชกแรงพัดผ่านทะเลสาบและม้วนตัวเป็นคลื่นหลายชั้นทำให้เรือโคลงเคลงไปมา ระหว่างการสั่นสะเทือนนี้นางก็หาท่าทางที่คุ้นเคยมั่นคงและผล็อยหลับไปสนิท
ยามไฮ่ฟ้ามืดมิด แขกต่างเพลิดเพลินกับงานเลี้ยงอันน่ารื่นรมย์ที่ลานหน้าตำหนักของท่านอ๋อง หมี่โม่หรู่ผู้เป็นพระเอกไม่ดื่มสุราในงานแต่งมากนัก แต่มอบหน้าที่อันหนักอึ้งในการร่ำสุราให้แก่หมี่ฉง แล้วเดินหันหลังกลับเข้าไปในตำหนัก
เมื่อเข้าใกล้ตำหนักหลังใหม่ในสวนชิงอวี้ หมี่โม่หรู่ก็ยกแขนเสื้อขึ้นและดมกลิ่นตัวเอง ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องอาบน้ำ หลังจากล้างกลิ่นสุราออกแล้ว เขาก็ไปที่ตำหนักหลังใหม่อย่างมั่นใจ
ตอนนี้ในตำหนักใหม่ ฉินปู้เข่อเพิ่งลุกขึ้นมานั่งเมื่อสองเค่อที่แล้ว นางถูกซวงหวนปลุกและรู้สึกหิวโหยจากการนอนหลับไปทั้งวัน แม้ว่านางจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่สติสัมปชัญญะยังคงดีอยู่ แล้วนางก็ค่อย ๆ คิดทบทวนเหตุการณ์
เมื่อตื่นขึ้นมาดวงตาของฉินปู้เข่อก็มองเห็นผ้าสีแดงและชุดสีแดงบนร่างกายของนาง ปฏิกิริยาแรกของนางคือคิดว่าได้ผ่านไปอีกครั้งแล้ว…
สุดท้ายหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายไม่กี่คำจากซวงหวน นางก็ตระหนักได้ว่าการเดินและการก้มตัวคำนับบ่อยครั้งอย่างสับสนของนางในวันนี้ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริง!
และนางได้ไปเข้าร่วมพิธีอภิเษกสมรสของตัวเองตอนหลับ…
แง แง แง ฉินปู้เข่อเสียดายยิ่งนัก หากรู้ว่าวันนี้เป็นงานอภิเษกสมรสที่หมี่โม่หรู่จัดให้นาง นางคงเตรียมพอกหน้าไว้ล่วงหน้าหลายวัน เข้านอนเร็วและบำรุงตัวเองเพื่อที่จะเป็นเจ้าสาวแสนสวย…
แทนที่จะหลับทั้งวัน และไปงานอภิเษกสมรสที่แม้แต่คู่รักบางคู่ก็ยังคิดว่าเป็นความฝัน
ที่แย่ไปกว่านั้นคือตอนนี้นางหิวจัด และซวงหวนก็กำชับนางไว้ว่านางยังไม่อาจกินได้
ฉินปู้เข่อสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงอย่างเชื่อฟัง นางนั่งข้างเตียงพลางสัมผัสแอปเปิ้ลสีแดงที่อยู่ในมือของนางมาทั้งวัน และอดไม่ได้ที่จะแอบก้มศีรษะลงกัดหนึ่งคำ
แอปเปิ้ลที่หวานกรอบนี้ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของนางได้อย่างเต็มที่ จนนางลืมคำกำชับของซวงหวนไปอย่างสิ้นเชิง และแอบกินมันขณะสวมผ้าคลุมหน้าสีแดง
ทันทีที่หมี่โม่หรู่เปิดประตูเข้ามา คนที่อยู่บนเตียงก็ตัวแข็งค้างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าว และคนที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงก็ดูเหมือนจะหายจากอาการตัวแข็งแล้ว และบิดตัวไปมาอย่างกระวนกระวาย
“เสี่ยวเข่อ”
น้ำเสียงแหบที่ไพเราะของชายหนุ่มเจือด้วยความมึนเมาเล็กน้อย
ฉินปู้เข่อหยุดบิดตัวแล้วก้มศีรษะ และพยายามจะซ่อนแอปเปิ้ลไว้ในมือของตนอย่างเต็มที่ พลางอมแอปเปิ้ลชิ้นหนึ่งในปากของนางไว้ นางไม่กล้าเคี้ยวมันเพราะกลัวจะทำเสียงที่ไม่เหมาะสม และคนที่อยู่ตรงหน้านางจะได้ยิน
“เสี่ยวเข่อ?”
“อืม~”
นางกัดชิ้นแอปเปิ้ลเพื่อเปลี่ยนให้เป็นสองชิ้นเล็ก ๆ แล้วเก็บไว้ข้างแก้มของนาง ก่อนจะเคี้ยวอย่างแผ่วเบา
ฉินปู้เข่อรู้สึกว่าตอนนี้นางดูเหมือนกำลังกินบิสกิตในชั้นเรียนที่เงียบสงบในชาติที่แล้ว
“ข้าจะเปิดผ้าคลุมหน้าออก”
ไม่ต้องรอให้นางพูดว่า ‘เดี๋ยวก่อน’ เขาก็ยกไม้ตาชั่งขึ้นเบา ๆ แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดง และดวงตาของเขาก็เป็นประกายราวกับผืนน้ำ
“ม…หม่อมฉันหิว” ฉินปู้เข่อค่อย ๆ ขยับชิ้นแอปเปิ้ลในปากจนแก้มป่องและค่อย ๆ เคี้ยวมัน
หมี่โม่หรู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เมื่อเห็นนางนั่งตัวแข็งเช่นนี้ เขาก็คิดว่านางกำลังนั่งรอสามีอย่างประหม่า แต่ปรากฏว่านางกลัวว่าจะถูกจับได้ว่าแอบกินอาหาร
เขาหยิบแอปเปิ้ลครึ่งหนึ่งที่ฉินปู้เข่อถือแน่นอยู่ในมือ แล้วหยิบมีดปอกผลไม้ขึ้นมาบนโต๊ะ เมื่อนิ้วมือเรียวยาวของเขาขยับอย่างคล่องแคล่ว เปลือกแอปเปิ้ลก็หายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็หั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นเล็ก ๆ และวางลงในชามทองบนโต๊ะแล้วส่งกลับไปในมือของฉินปู้เข่อ
ฉินปู้เข่อถือชามใบเล็กแล้วก้มหน้ากินด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย หมี่โม่หรู่มองนางอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขามองนางอย่างลึกซึ้ง ดวงตาสีเข้มของเขามองด้วยความหลงใหล ราวกับว่าเขาต้องการนำสตรีตรงหน้าเข้าไปในหัวใจของเขา
นางไม่ค่อยได้แต่งหน้าจัดถึงเพียงนี้ คิ้วและริมฝีปากของนางถูกแต่งแต้ม แก้มของนางแดงดั่งลูกท้อ นางดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากกว่าความสง่างามของดวงตะวันเล็กน้อย และยังมีจุดสีที่มีเสน่ห์อยู่ระหว่างคิ้วของนางอีกด้วย
ฉินปู้เข่อสัมผัสได้ถึงการจ้องมองอันหยาดเยิ้มของชายหนุ่มจึงก้มศีรษะลง นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนที่แก้ม หูและคอของนางก็แดงไปหมด แล้วนางก็กระซิบว่า “หม่อมฉันกินเสร็จแล้วเพคะ”
“เจ้ายังหิวอยู่หรือไม่” หมี่โม่หรู่หยิบชามเปล่ามาวางลงบนโต๊ะ
หญิงสาวส่ายหน้าเบา ๆ นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะชุดแต่งงานหรือตำหนักหลังใหม่ที่ทำให้ฉินปู้เข่อรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง และรู้สึกประหม่ามากกว่าตอนที่นางเข้ามาในตำหนักครั้งแรกเสียอีก
อาจเป็นเพราะในตอนนั้น นางถูกจับไปขังในคุกใต้ดินในคืนนั้น
“งานวันนี้เป็นงานอภิเษกสมรสที่ยิ่งใหญ่ของท่าน” บรรยากาศชวนให้เขินอายเกินไป ฉินปู้เข่อจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำลายความเงียบ
“ใช่แล้ว” หมี่โม่หรู่นั่งข้างนางแล้วดึงปิ่นที่ละเอียดอ่อนและปักอย่างซับซ้อนบนศีรษะของนางออก แล้วเรือนผมดำขลับราวขนของอีกาก็สยายลงมาอย่างแผ่วเบา
ฉินปู้เข่อกัดริมฝีปากของตนแล้วพูดว่า “ท่านต้องการจะเข้าเรือนหออีกรอบหรือเพคะ”
“ใช่แล้ว” ชายหนุ่มก้มศีรษะลงแล้วปลดเข็มขัดของนาง เดิมทีนางจะใช้ผ้ารัดเอวแต่ตอนนี้นางตั้งครรภ์แล้ว นางกลัวว่าผ้ารัดเอวจะแน่นเกินไปจนทำให้เด็กบาดเจ็บ นางจึงใช้เข็มขัดแทน
“นั่น เหตุใดท่านถึงถอดเสื้อผ้าของหม่อมฉัน” ฉินปู้เข่อจ้องเขม็งไปยังชายผู้นั่งยอง ๆ ตรงหน้านาง
หมี่โม่หรู่เงยหน้าขึ้น คิ้วของเขาเต็มไปด้วยความรักอย่างลึกซึ้ง “ข้าต้องการจัดงานอภิเษกสมรสให้เจ้ามานานแล้ว และวันนี้ข้าก็สมปรารถนาแล้ว เสี่ยวเข่อมีงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ และคืนนี้ก็เป็นคืนเข้าเรือนหอของเรา ไม่ต้องกังวล ข้าถามซือต๋าแล้ว หากเป็นหลังจากสามเดือนแรก ทารกในครรภ์จะมีลักษณะคงที่และไม่ได้รับผลกระทบจากการเข้าเรือนหอ”
จิตใจของฉินปู้เข่อว่างเปล่า นางแค่รู้สึกว่านางเข้าใจสิ่งที่เขาพูดทุกคำ แต่นางไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรเมื่อเขาพูดออกมา
หมี่โม่หรู่โอบกอดนางเบา ๆ ในอ้อมแขนของเขาและลูบผมสลวยของนาง “เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าจะต้องรับสตรีบางคนเข้าไปที่วัง แต่จะไม่มีใครแต่งงานกับข้าได้ยกเว้นเจ้า และข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่โดดเดี่ยวในห้องที่ว่างเปล่า”
คำพูดของนางตอนที่นางเมามายในเขตหลินเป่ยในคืนนั้นถูกจารึกไว้ในหัวใจของเขา บางทีนางต้องเมาแล้วเท่านั้น พระชายาตัวน้อยจึงจะแสดงสีหน้าเศร้าโศกและอ้างว้างเช่นนั้นออกมา นางอดทนกับความเศร้าและให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของเขาเป็นอันดับแรก
แล้วเขาจะยอมปล่อยให้นางทนอยู่ตามลำพังได้อย่างไร เขาคิดว่านางไม่สนใจจริง ๆ แต่ทุกคืนที่เขาซ่อนตัวอยู่หลังฉากกั้นห้องก็จะได้ยินเสียงนางถอนหายใจแผ่วเบา ซึ่งเสียงถอนหายใจที่เศร้าโศกนั้นเป็นราวกับใบมีดคมที่ห้อยอยู่ในหัวใจของเขา และทำให้หัวใจของเขาสะอื้นไห้ด้วยความเศร้า
“ท่านนั่งลง” ใบหน้าของฉินปู้เข่อยังคงเคร่งขรึมเล็กน้อย ดวงตาของนางดูค่อนข้างประหม่าอยู่ แต่น้ำเสียงของนางจริงจัง
คราวนี้ถึงตาของหมี่โม่หรู่ที่ต้องตกตะลึง ปฏิกิริยาของนางดูเหมือนไม่ใช่ปฏิกิริยาของคนที่ได้ยินคำบอกรัก…
……………………………………………………………………………