สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 19 คืนเหย้า
บทที่ 19 คืนเหย้า
เมื่อกลับมาถึงตำหนัก ทั้งสามคนต่างก็กลับไปยังสวนของตนเอง ฉินปู้เข่อฮัมเพลงเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี
เสี่ยวหลงเปา 17 เข่งแค่ 2 ตำลึงเงิน เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว สินสอดที่นางได้ก็ถือว่ามีมูลค่าสูงใช้ได้ อย่างน้อยก็เป็นหลักประกันได้ว่านางสามารถกินอิ่มได้โดยไม่ต้องทำงานอะไรเลยเป็นเวลา 5 ปี
หลังจากฉินปู้เข่อเข้านอนแล้ว ยาหอมช่วยนอนหลับขนานแรงก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง
ซวงหวนเข้าไปรายงานพฤติกรรมและคำพูดจาของชายาในวันนี้ที่สวนชิงอวี้ตามปกติ
ตอนที่นางเลียนแบบน้ำเสียงและคำพูดของฉินปู้เข่อเมื่อเช้า นางก็พบว่าแม้สีหน้าของท่านอ๋องจะไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าใบหูกลับขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด อู๋เหินเองที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าสับสน
ต่อให้นางไม่รู้เรื่องชายหญิงเพียงใด แต่ก็พอจะสัมผัสความผิดปกติได้แล้วจากสีหน้าของชายสองคนตรงหน้า
ส่วนหลังที่ฉินปู้เข่อลงไม้ลงมือกับขาอ่อนของฮูหยินฮวาและกระต่ายน้อยของพระสนมเฉิง ซวงหวนก็ยิ่งพูดน้ำเสียงแผ่วเบาจนตนเองก็เขินหน้าแดงก่ำไปหมด
“ชายาของข้านี่น่าสนใจจริง ๆ”
สิ่งนี้ทำให้หมี่โม่หรู่เกิดความสงสัยในตัวฉินปู้เข่อมากขึ้นกว่าเดิม เขาถึงขั้นสงสัยว่าชายาของเขาไม่ใช่ฉินปู้เข่อตัวจริง
ตามหลักเหตุผลแล้ว สตรีในเรือนไม่มีทางได้สัมผัสเรื่องราวระหว่างชายหญิง และไม่มีทางพูดในสิ่งที่ไร้ยางอายเช่นนี้
คุณหนูรองฉินแห่งจวนมหาเสนาบดีขึ้นชื่อทั้งด้านความปราดเปรื่องและความงาม ไม่มีทางกินของนอกเรือนตามใจชอบ โดยเฉพาะร้านเล็ก ๆ ข้างทางเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังกินเสี่ยวหลงเปามากถึงสิบกว่าเข่ง
“อู๋เหิน ไปสืบหาตัวตนที่แท้จริงของฉินปู้เข่อคนนี้ก่อน” บางทีสิ่งที่เขาเริ่มต้นมาอาจจะเป็นสิ่งที่ผิด เขาควรแน่ใจก่อนว่าคนที่เข้ามาในตำหนักอ๋องหลี่ชินคือฉินปู้เข่อแห่งจวนมหาเสนดบดีตัวจริง
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นแผนวันพรุ่งนี้จะยกเลิกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ตามเดิม” หมี่โม่หรู่ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว ก่อนจะดันเก้าอี้เข็นตนเองเข้าไปห้องด้านใน
วันรุ่งขึ้น ตอนที่ฉินปู้เข่อเดินออกจากสวน ก็พบกับหมี่โม่หรู่แต่งองค์กายเรียบร้อยและรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
“ท่านอ๋อง” ฉินปู้เข่อยิ้มอ่อนโยนตามแบบต้นฉบับและย่อตัวเล็กน้อย “วันนี้ต้องรบกวนท่านอ๋องพาปู้เข่อคืนเหย้าด้วยนะเพคะ”
“มิเป็นไร” หมี่โม่หรู่ตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ อย่างไรซะละครในวันนี้เขาเองก็มีบทที่ขาดไม่ได้
ระยะทางจากตำหนักอ๋องหลี่ชินจนถึงจวนมหาเสนาบดีนั้นไม่ไกล ฉินปู้เข่อนั่งเงียบ ๆ อยู่บนเบาะรองอ่อนนุ่ม ซ่อนสองขาไว้ใต้กระโปรงยาว นั่งหลังตรง มองแวบแรกก็รู้สึกถึงบุคลิกหญิงสาวสูงศักดิ์ได้อย่างแน่นอน
ทว่านางไม่ปริปาก หมี่โม่หรู่ก็ไม่มีท่าทีจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
เฮอะ ท่านอ๋องผู้นี้จีบยากแฮะ
“ถึงจวนมหาเสนาบดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินปู้เข่อลุกขึ้นและเข็นหมี่โม่หรู่ลงจากรถม้า
พ่อบ้านจวนมหาเสนาบดีรออยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองลงมาก็รีบเข้าไปต้อนรับ “คุณหนูรองฉิน ท่านอ๋องหลี่ชินกลับมาแล้ว”
“นายท่านและฮูหยินทุกท่านรออยู่ในบ้านนานแล้ว เชิญท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบพ่อบ้านก็เบี่ยงตัวไปข้าง ๆ
ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ในความทรงจำของนาง ทั้งจวนมหาเสนาบดีเห็นฉินปู้เข่อและมารดาของตนเป็นดั่งบ่าวไพร่ ต่อให้เป็นพ่อบ้านปกติก็ไม่เคยนอบน้อมต่อนางเลย
หรือจะเป็นเพราะท่านอ๋องหมี่โม่หรู่ผู้นี้?
ก็ไม่น่าใช่ หมี่โม่หรู่มีร่างกายอ่อนแอและขี้โรค จึงไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ และไม่เคยรับราชการมาก่อน ถือเป็นราชโอรสที่ไร้ความสามารถที่สุด ทั้งไม่มีอำนาจอิทธิพลซ้ำยังสุขภาพไม่ดี
แต่ฉินปู้เข่อไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไรนัก นางต้องการไม่มาก ในเมื่อนางหลงรักหมี่โม่หรู่ตั้งแต่แรกพบ จึงตั้งใจจีบเขาให้ติด
ราชโอรสที่ไม่มีหน้าที่สำคัญก็มิเป็นไร อย่างการแย่งชิงราชสมบัติของบรรดาราชโอรสในหนังนั้นอันตรายเกินไป สู้เป็นท่านอ๋องล่องหนที่ปิดประตูแล้วใช้ชีวิตธรรมดาของตนเองไปดีกว่า
ตามวิถีของฉินเฉิงหย่งที่ต้องการใช้ลูกสาวเพื่อพิงพาผู้มีอำนาจเท่านั้น เขาจึงไม่มีทางเกรงใจอ๋องหลี่ชินนักหรอก
นางคิดวนอยู่รอบหนึ่ง แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าเหตุผลที่จู่ ๆ พ่อบ้านก็เกรงใจขึ้นมาคือสิ่งใด
หลังจากเข้ามาในโถงหลักแล้ว ฉินเฉิงหย่งและฮูหยินใหญ่ก็กำลังนั่งรอพวกเขาอยู่ เมื่อมองเห็นว่าฉินปู้เข่อเข็นหมี่โม่หรู่เข้ามาแต่ไกล จึงออกมาต้อนรับ
หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันแล้ว นางก็กวาดสายตามองโถงหลักก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านพ่อ ไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านแม่ของข้าอยู่หนใดหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงไม่เห็นนาง”
ฮูหยินใหญ่ปั้นหน้ายิ้มและเดินเข้ามาจับมือฉินปู้เข่อ “มารดาเจ้าบอกว่าวันนี้เป็นวันคืนเหย้าของเจ้า นางอยากจะเตรียมอาหารเที่ยงให้ท่านอ๋องหลี่ชินด้วยตนเอง ตอนนี้คงยุ่งอยู่ในครัวน่ะ”
เฮอะ ใช้นางเป็นแม่ครัวก็พูดมาตามตรงเถอะ จะต้องอ้างเหตุผลให้ดูดีทำไมกัน
ต่อหน้าทำเป็นสนิทสนมกับพวกนาง ทว่าลับหลังยังคงใช้อนุหลัวอย่างกับเป็นบ่าวไพร่เหมือนเดิม ฉินปู้เข่อจึงยิ่งสงสัยกว่าเดิม
สายสัมพันธ์ครอบครัวเป็นสิ่งที่หลอมลึกเข้าไปตั้งแต่โลหิตยันกระดูกดำ ต่อให้ฉินปู้เข่อมิใช่เจ้าของร่าง แต่ความทรงจำที่เจ้าของร่างและอนุหลัวดูแลกันและกันในจวนมหาเสนาบดียังคงอยู่ในหัวของนาง จนฉินปู้เข่อก็รู้สึกห่วงใยมารดาอย่างอนุหลัวโดยไม่รู้ตัว
นางกลั้นความเกลียดชังในใจไว้และดึงมือออกจากมือของฮูหยินใหญ่ พร้อมวางสองมือไว้หน้าตัวอีกครั้งและพูดเสียงหวาน “ท่านแม่ใหญ่ ให้ท่านแม่ของข้าออกมาได้หรือไม่เจ้าคะ อย่างไรเสียตอนนี้ท่านอ๋องหลี่ชินก็อยู่ในห้องโถงใหญ่แล้ว ให้ท่านรอเช่นนี้คงไม่ดี”
“นี่ก็ได้เวลาแล้ว เราไปดูด้วยกันเถิดว่าอาหารเที่ยงเตรียมไปถึงไหนแล้ว” ฮูหยินใหญ่จูงมือฉินปู้เข่อเดินไปยังลานด้านหลังโดยไม่ให้โอกาสนางได้พูดสิ่งใด
ซวงหวนกวาดตาผ่านหมี่โม่หรู่เล็กน้อย พยักหน้าเบา ๆ โดยไม่ให้คนอื่นรู้ตัว ก่อนจะหันเดินตามออกไป
เมื่อก้าวออกจากโถงใหญ่ ฮูหยินใหญ่ก็ปล่อยมือฉินปู้เข่อและหันกลับมาตบหน้านางฉาดใหญ่
บ้าไปแล้ว ฉินปู้เข่อโดนจนมึนงงไปหมด
ไม่ใช่ว่านางไม่นึกระแวงเลย นางแค่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่จะพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ไวขนาดนี้ นึกว่านางจะลงมือตอนที่เข้าไปในห้องครัวแล้วหรืออาจจะลงมือลับหลังนางเสียอีก
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะก้าวออกจากห้องโถงใหญ่ ยายแก่นี่ก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว
“พระชายา!” ซวงหวนร้องเสียงหลงและเข้าไปพยุงนางขึ้นมาทันที