สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 192 เรือโจรสลัดลำนี้โหดเหี้ยมเกินไป
บทที่ 192 เรือโจรสลัดลำนี้โหดเหี้ยมเกินไป
ฉินปู้เข่อคลี่ยิ้ม “ก็ดีเพคะ หม่อมฉันกินโดยไม่ได้พูดอะไรเลยจึงไม่เหนื่อย”
“ไม่เหนื่อยก็ดีแล้วแต่นั่งนานแบบนี้ไม่ดีนัก ซือต๋าบอกว่าการออกไปเดินเล่นจะช่วยให้คลอดลูกได้ง่ายขึ้น” หมี่โม่หรู่ลุกขึ้นยืนและจะดึงนางขึ้น
“อ๊ะ ขาของหม่อมฉันชาเพคะ” ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วและท่าทางของนางก็แปลกมาก นางมีอาการเหน็บกินขาจึงทำให้นางอยากจะหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมกัน
หมี่โม่หรู่ย่อตัวลงจับขาของนางแผ่วเบาแล้วพูดอย่างลำบากใจ “วันนี้คนในตำหนักจะช่วยเจ้าให้พ้นจากความกังวลเมื่อเจ้าต้องออกมาข้างนอก จุ๊ คราวหน้าเจ้าต้องจำไว้ว่าห้ามนั่งนานเช่นนี้อีก”
สีหน้าของเหยาอี๋ฮวนที่ถูกทิ้งอยู่ด้านข้างนั้นบึ้งตึงมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะนี้นางรู้แล้วว่าท่านอ๋องไม่ได้ต้องการจะตามใจนาง แต่เพราะผู้หญิงบนบัลลังก์คนนี้ต่างหากที่มีแผนจะล้มเลิกสวนหลังบ้านมาตั้งแต่แรกแล้ว
และนางก็ถูกจัดวางให้กลายเป็นนางร้ายไปโดยปริยาย สิ่งที่ทำให้นางขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิมคือท่านอ๋องไม่อายเลยที่จะใช้วิธีเช่นนี้ หรือเป็นเพราะนางไม่เกี่ยวอะไรกับเขาจึงไม่คุ้มค่าที่จะรักษาไว้
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีบางอย่างจะบอกเพคะ” เหยาอี๋ฮวนสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความโกรธในใจ และน้ำเสียงของนางก็ค่อนข้างอ่อนโยน
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงและใช้มือนวดอย่างชำนาญ และทำราวกับว่าหูของเขาไม่ได้ยินเสียงใดเลย ฉินปู้เข่อจึงตบเขาเบา ๆ “ท่านหญิงอี๋ฮวนกำลังเรียกท่าน”
หมี่โม่หรู่ไม่หยุดมือของเขาและหันไปครึ่งตัวเพื่อกล่าวว่า “หากเจ้ามีอะไรก็ให้นัดหมายล่วงหน้าสามวัน แล้วข้าจะจัดเวลาให้”
เหยาอี๋ฮวนเม้มปากและพูดอย่างเย็นชาว่า “นัดหมายล่วงหน้าหรือ? เกรงว่าท่านอ๋องจะลืมสถานะของหม่อมฉันไปนะเพคะ”
เมื่อเห็นว่าขาของฉินปู้เข่อกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว หมี่โม่หรู่ก็กลับไปนั่งบนบัลลังก์และเอ่ยเย้ยหยัน “หากท่านหญิงอี๋ฮวนไม่พูดขึ้นมาข้าก็คงจะลืมแล้ว บัดนี้เจ้าเป็นพระชายารองของตำหนัก และถือว่าเจ้าเป็นพระชายารองในแง่ของสถานะ ท่านหญิงอี๋ฮวนมาหานายหญิงของตำหนักในวันนี้เพื่อจะยกน้ำชามาให้พระชายาหรือ?”
สีหน้าของเหยาอี๋ฮวนเปลี่ยนไป และนางก็พูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านอ๋องจริงจังหรือไม่? จะให้ท่านหญิงผู้นี้ยกน้ำชามาให้นางอย่างนั้นหรือ?! เกรงว่าท่านอ๋องจะลืมจุดประสงค์ในการอภิเษกสมรสกับหม่อมฉันไปนะเพคะ ขุนนางผิงเล่อเฮ่าไม่ใช่คนที่จะยอมให้ท่านทำให้อับอายขายหน้าได้!”
“ข้าไม่ได้ลืมเรื่องนี้” ใบหน้าของหมี่โม่หรู่จริงจังขึ้นและน้ำเสียงของเขาก็เย็นชา “แต่ข้าคิดว่าท่านหญิงอี๋ฮวนเข้าใจผิดแล้ว ข้าจึงจำเป็นจะต้องอธิบาย”
“ประการแรกคือเจ้าเป็นพระชายารอง และมันเป็นกฎที่จะต้องรับใช้นายหญิงของตำหนักทุกเช้าเย็น แม้ว่าเรื่องจะแพร่ไปยังจวนของผิงเล่อเฮ่าก็ยังคงต้องทำตามกฎเช่นเดิม ประการที่สอง ท่านหญิงอี๋ฮวนคิดจริงหรือว่าการพึ่งพิงจวนผิงเล่อเฮ่าจะช่วยให้เจ้าทำอะไรก็ได้ในตำหนัก รวมไปถึงการข่มขู่ข้า?”
“เจ้าเกิดในจวนขุนนางย่อมเข้าใจถึงความสำคัญของอำนาจทางทหารดีกว่าข้า และเจ้ายังเข้าใจจุดประสงค์ของการอภิเษกสมรสเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตำหนักอ๋องหลี่ชินและจวนขุนนางผิงเล่อเฮ่าด้วย แต่เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นองค์ชาย! ผู้ที่ฮ่องเต้พร้อมจะมอบอำนาจทางทหารให้! ท่านหญิงอี๋ฮวนคิดว่าฮ่องเต้หรือข้าจะปล่อยให้ขุนนางผิงเล่อเฮ่านั่งบนบัลลังก์และทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจหรือ?”
“หากข้าเดาไม่ผิด คนในจวนก็คงจะทากลิ่นชะมดลงบนร่างกายของเจ้าแล้ว ในฐานะสตรีเจ้าย่อมเข้าใจดีว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร และควรเข้าใจด้วยว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องการทำให้ตัวเองขายหน้า”
การเตือนและหักล้างอย่างตรงไปตรงมาดังกล่าวทำให้สีหน้าของเหยาอี๋ฮวนแย่ลงเรื่อย ๆ นางลูบหน้าท้องส่วนล่างของนางโดยไม่รู้ตัวและสะดือของนางก็เต็มไปด้วยกลิ่นชะมด ซึ่งเป็นวิธีการคุมกำเนิดของสตรี
หัวหน้าสาวใช้ในจวนได้สอนวิธีให้ก่อนพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวาน ซึ่งแม้แต่ผิงเล่อเฮ่าผู้เป็นพ่อของนางเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ และนางก็ไม่ยอมเปิดปากบอกให้พ่อรับรู้
“ท่านหญิงอี๋ฮวนไม่ต้องกังวล แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ใช้กลิ่นชะมดเจ้าก็ไม่ตั้งครรภ์หรอก เพราะข้าจะไม่มีวันแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายนิ้ว” หมี่โม่หรู่มองท่าทางของนางและเย้ยหยัน “หากเจ้าประพฤติตัวดีข้าก็จะทำการใหญ่ตามจุดมุ่งหมายของผิงเล่อเฮ่าให้สมบูรณ์ตามพระประสงค์ของฮ่องเต้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเจ้ามีความคิดอื่น ก็มีขุนนางที่กุมอำนาจทางทหารในราชสำนักคนอื่นที่เหมาะจะให้ความร่วมมือมากกว่าผิงเล่อเฮ่า”
ในเวลานี้เหยาอี๋ฮวนสูญเสียความมั่นใจและความสงบที่นางมีไปอย่างสิ้นเชิง เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลซึมออกมาจากหน้าผากของนาง เล็บในแขนเสื้อจิกลึกเข้าไปในเนื้อของนาง ดวงตาที่มืดมนของนางกวาดไปทางฉินปู้เข่อและหมี่โม่หรู่ และนางสาบานในใจว่านางจะต้องตอบแทนความอัปยศครั้งนี้เป็นร้อยเท่าแน่นอน! แม้ว่าจะไม่พึ่งพาข้าหลวงผิงเล่อเฮ่า นางก็จะหาทางชำระแค้นในใจของนางให้ได้!
หมี่โม่หรู่มองนางและอยากจะหัวเราะ เขาตั้งใจจะโจมตีหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ท่านหญิงอี๋ฮวนไม่ต้องรอโอกาสที่จะแก้แค้นหรอก เจ้าคิดไว้ได้เลยว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเพียงใด หากกลิ่นชะมดบนร่างกายของเจ้าถูกผสมกับสิ่งอื่น”
“ท่าน!” เหยาอี๋ฮวนมองชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้านางด้วยความหวาดกลัว และตระหนักได้ว่ารอยยิ้มอันงดงามของเขานั้นอันตรายถึงชีวิต
“ท่านหญิงไม่ต้องกังวลมากนัก ก่อนที่การใหญ่ของผิงเล่อเฮ่ากับข้าจะเสร็จ ข้าย่อมปล่อยให้เจ้ามีชีวิตที่ดีต่อไป แต่หากเจ้ามีความคิดอื่น เจ้าย่อมต้องเสียชีวิตอย่างกะทันหันก่อนที่จะได้ทำตามแผนนั้น” หมี่โม่หรู่พูดอย่างสงบ “เจ้าก็รู้ดีอยู่แล้วว่าใครสนับสนุนให้ใช้กลิ่นชะมดนี้ อย่าหวังว่าขุนนางผิงเล่อเฮ่าจะช่วยเจ้าได้”
ย่อมต้อง… เสียชีวิตอย่างกะทันหัน…
ความต้องการของนางอาจทำให้ต้องตายอย่างโหดเหี้ยม!
ฉินปู้เข่อรู้สึกเห็นอกเห็นใจเหยาอี๋ฮวน นางเหลือบมองหมี่โม่หรู่และขยับก้นของนางออกห่าง
หมี่โม่หรู่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนางและมองนางด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้น?!
“ท่านเป็นคนมืดมนจนเกินไป หม่อมฉันคิดว่ามันอันตรายมากหากต้องใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับท่าน มันเป็นความท้าทายอย่างมากต่อสุขภาพจิตของหม่อมฉัน และเป็นการทดสอบสมรรถภาพทางกายของหม่อมฉันอย่างไม่รู้จบ และเป็นการบริหารสมองและสติปัญญาในระยะยาวด้วย”
ฉินปู้เข่อสาบานได้ว่านี่คือความคิดที่แท้จริงของนางในตอนนี้ นางรู้สึกว่าเรือโจรสลัดที่นางอยู่นั้นโหดเหี้ยมเกินไป
หมี่โม่หรู่คลี่พัดออกและโบกพัดสองครั้งพลางยอมรับ “พระชายาสรุปได้ดีมาก แต่น่าเสียดายที่เจ้าพบว่ามันสายเกินไปแล้ว และเจ้าไม่อาจหลบหนีได้”
ฉินปู้เข่อจับท้องของตนและบ่นว่า “ท่านกำลังทำให้หม่อมฉันหิว”
“เอ๊ะ เหตุใดเจ้าไม่หิวให้เร็วกว่านี้หน่อย เจ้าทำให้ข้าต้องหัวเราะเยาะสตรีผู้นี้อยู่ที่นี่ตั้งนาน” หมี่โม่หรู่โอบเอวนางไว้ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วเดินออกไปช้า ๆ
ฉินปู้เข่อมุ่ยปากและร้องไห้อย่างโศกเศร้า “ท่านโทษหม่อมฉันหรือ? อ่า ท่านโทษหม่อมฉันทั้ง ๆ ที่ท่านพูดคุยกับผู้หญิงคนอื่นหรือ?! ท่านปล่อยเลยนะหม่อมฉันจะเดินเอง!”
ชายหนุ่มผู้เย็นชาที่เพิ่งกลายร่างเป็นแกะน้อยเดินตามหญิงสาวไปทันที เขากลัวว่านางจะลื่นล้มและนางจะโกรธต่อไป น้ำเสียงของเขาจึงอ่อนโยนราวกับเคลือบไว้ด้วยน้ำผึ้ง “ช้าลงหน่อย เสี่ยวเข่อ เด็กดีเดินช้า ๆ อย่าโมโหเลยนะ ความโกรธทำร้ายร่างกายได้ เจ้าต้องมีอารมณ์ดีเพื่อให้ลูกน่ารัก…”
เหยาอี๋ฮวนจ้องไปที่เงาของทั้งสองที่กำลังจากไป ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ฉินปู้เข่อ หมี่โม่หรู่ หากเจ้าไม่อาจควบคุมคนที่นี่ได้ ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะเอื้อมมือออกไปได้อีกนานเพียงใด และเจ้าจะปกป้องกันได้ถึงเพียงไหน! ตำหนักอ๋องหลี่ชินจะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป!”
………………………………………………………………………..