สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 197 ศัตรูหัวใจโปรดสงบลงก่อน
บทที่ 197 ศัตรูหัวใจโปรดสงบลงก่อน
“ไม่ต้องมาคร่ำครวญเพราะจะทำให้ข้าหงุดหงิด!” ฉินปู้เข่อสั่งอู๋เหิน “ปล่อยสองคนนี้ให้มีลมหายใจต่อไป และอย่าพูดอะไรอีกหากไม่อยากหยุดหายใจ”
นางไม่ต้องการให้เหยาอี๋ฮวนรังแกซวงหวน และนางไม่ต้องการให้คนรับใช้ต้องมาชดใช้การต่อสู้ระหว่างเจ้านายด้วยชีวิต
แม้ว่าจะถูกพาเข้ามาในตำหนักแล้ว แต่นางก็ไม่เต็มใจให้ใครต้องมาตายเพราะคำสั่งของนาง
“ขอบพระทัยสำหรับความกรุณาของพระชายาเพคะ” สาวใช้เฒ่าสองคนโค้งคำนับครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉินปู้เข่อกล่าวว่า “หลังจากลงโทษแล้วก็ส่งพวกนางกลับไปยังจวนผิงเล่อเฮ่า ด้วยเหตุผลที่ว่า ท่านหญิงอี๋ นี่คือคนที่เจ้าพามาที่นี่ ฉะนั้นเจ้าต้องจัดการเอง”
“ใช่ ๆ สาวใช้สองคนนี้ใช้ความเป็นอาวุโสของตนข่มผู้อื่น จึงทำให้พระชายาเกิดความไม่พอพระทัย” จิตใจของเหยาอี๋ฮวนสดใสขึ้น และความปรารถนาที่จะเอาชีวิตรอดก็ระเบิดออกมา “พระชายาไม่ต้องกังวล จวนผิงเล่อเฮ่าและบุคคลภายนอกจะไม่มีวันมีอคติต่อตำหนักอ๋องหลี่ชินแม้แต่น้อย”
เมื่ออู๋เหินได้รับคำสั่ง เขาก็ลงมือทุบตีสาวใช้ทั้งสองจนนอนคุดคู้ที่พื้นอยู่นานสองนาน
ฉินปู้เข่อเหลือบมองซวงหวน “กลับไปหายามารักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า แล้วอีกสองวันค่อยมาทำหน้าที่เข้าเวรแทนอู๋หัว”
ซวงหวนรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่พักหนึ่งแล้วน้ำตาไหล “ขอบพระทัยพระชายาเพคะ” นางรู้ว่าวันนี้เจ้านายไม่จำเป็นต้องมาสนับสนุนนางเลย นางจะได้รับการปกป้องจากเจ้านายของนางได้อย่างไรในฐานะคนรับใช้ แม้ว่านางจะท้องใหญ่ แต่นางก็ยังคงเข้ามาปกป้องตนด้วยความโกรธ
“ร้องไห้ทำไม หยุดร้องไห้เลย สวรรค์ ข้าเกลียดการเห็นคนอื่นร้องไห้มากที่สุด อู๋เหินรีบพาหวนหวนของเจ้ากลับไปเลย แล้วขอให้หมอหลวงสั่งยาให้นาง” ฉินปู้เข่อเห็นซวงหวนร้องไห้หนักมากจึงรีบตำหนิเพื่อให้นางกลับไป
สาวใช้ชราสองคนถูกลากออกไป ส่วนไฉ่ถังก็ถูกลากตามไปจัดกระดูก แล้วลานตำหนักก็เงียบลง
อู๋หัวก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “พระชายา เสี่ยวหลงเปาที่อ๋องจั่วเสียนสั่งให้มาถึงแล้ว ท่านต้องการกลับไปเสวยที่สวนชิงอวี้เลยหรือไม่”
“เอามาที่นี่สิ” ฉินปู้เข่อเหลือบมองเหยาอี๋ฮวนที่ตัวสั่นเทาแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ไปกินด้วยกันไหม?”
“ห๊ะ!?” เหยาอี๋ฮวนฝืนยิ้มบนใบหน้าของนางและไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
มีคนมาจัดโต๊ะไว้ข้างหน้าพวกนาง และเสี่ยวหลงเปายี่สิบเข่งก็เรียงกันเป็นแถวส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ
“ถ้าไม่อยากกินก็ไม่เป็นอะไร ไม่ได้บังคับ” ฉินปู้เข่อเริ่มลงมือกิน
“เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นท่านหญิง จึงมีภูมิหลังครอบครัวที่ดี หน้าตาดีและบุคลิกภาพดี… และยังคงมีความยุติธรรม อย่างน้อยก็ดีกว่าฉินชิงเหยียนและฉินเซียงเหลียน เจ้าชอบหมี่โม่หรู่ที่ตรงไหน แม้ท่าทางของเขาจะปฏิเสธแต่เจ้าก็ยังต้องการครอบครองเขา”
เหยาอี๋ฮวนเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าบวมของนางกลายเป็นสีแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด “ท่านอ๋องรูปงามยิ่งนักและมีอารมณ์ดี ไม่ว่าเขาจะสื่อสารกับใครก็ตาม เขาจะไม่เย่อหยิ่งแต่จะอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพอ่อนโยน ไม่ว่าสตรีใดพบเห็นต่างก็ต้องตกหลุมรัก พระชายาเองก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?”
“เฮ้ เฮ้ ถูกต้อง ตอนแรกข้าก็ถูกความหล่อเหลาของเขาดึงดูด” ฉินปู้เข่อยกยิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
เหยาอี๋ฮวนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อศัตรูหัวใจเห็นด้วยกับนาง แต่นางก็อดเสียงสั่นไม่ได้เมื่อพูดถึงคนที่นางชอบกับคนอื่น นางนั่งลงด้วยแววตาเป็นประกายและพูดอย่างเห็นด้วยว่า “ใช่ แม้ว่าบางคนจะคิดว่าเขาดูเหมือนผู้หญิงเล็กน้อย แต่เขาก็หล่อเหลาจริง ๆ และดูสวยกว่าผู้หญิงทั่วไป”
ฉินปู้เข่อผลักเข่งซาลาเปาเล็ก ๆ ตรงหน้านางแล้วถามว่า “แต่ก่อนเขาก็รูปงามและมีนิสัยอ่อนโยน แต่ข้าไม่เห็นเจ้าจะขอร้องให้พ่อของเจ้าช่วยให้เจ้าได้แต่งงานกับเขาเลย”
“เมื่อลองเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องไม่มีอำนาจและไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เหล่าสตรีชั้นสูงก็ไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเลย ส่วนตอนนี้เขามีอำนาจมั่นคงทั้งทางด้านพลเรือนและการทหาร และยังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ด้วย จึงมีสตรีมากมายที่ต้องการจะแต่งเข้ามาในตำหนักอ๋องหลี่ชิน!”
เหยาอี๋ฮวนมองไปรอบ ๆ และลดเสียงพูดลง “ข้าได้ยินจากพ่อของข้ามาว่าคราวนี้ท่านได้ขอให้ตำหนักอ๋องหลี่ชินร่วมมือเป็นพันธมิตรกับจวนผิงเล่อเฮ่า เพื่อให้ท่านอ๋องเข้าควบคุมอำนาจทางทหารอย่างช้า ๆ และตำแหน่งของเขาก็อาจจะเปลี่ยนไปอีก!”
ฉินปู้เข่อกลืนซาลาเปาและมองนางอย่างนุ่มนวล “เจ้าชอบสถานะปัจจุบันของท่านอ๋องหรือตำแหน่ง ‘ว่าที่ฮ่องเต้’ ในอนาคตของเขา หรือเจ้าชอบเขาในฐานะบุคคลธรรมดา เขาว่ากันว่าการอยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่กับพยัคฆ์ หากพรุ่งนี้ท่านอ๋องทำผิดต่อฮ่องเต้และถูกละทิ้งอีกเหมือนในตอนนั้น เจ้าจะทำอย่างไร?”
“นั่น…” เหยาอี๋ฮวนตกตะลึงเล็กน้อยขณะถือเสี่ยวหลงเปา
“ขุนนางผิงเล่อเฮ่าเป็นขุนนางที่ดูแลกองทัพสืบทอดต่อมา และเจ้าเป็นท่านหญิงอี๋ฮวนที่ถูกปรนเปรอมาตั้งแต่เด็ก หากท่านอ๋องก่อหายนะครั้งใหญ่จนถูกขับไล่ออกไป เจ้าจะคิดสร้างเส้นแบ่งที่ชัดเจนกับจวนผิงเล่อเฮ่า เพื่อสนับสนุนท่านอ๋องอย่างเต็มที่หรือไม่ หรือว่าเจ้าจะสร้างเส้นแบ่งที่ชัดเจนกับตำหนักและกลับไปที่จวนผิงเล่อเฮ่าเพื่อเป็นท่านหญิงต่อไป?”
“นั่น…”
คำพูดของฉินปู้เข่อนั้นไม่เบา ไม่รุนแรงและปราศจากอารมณ์ นางต้องการรู้ว่าสตรีตรงหน้านางพยายามจะแต่งงานกับเขา และขับไล่พระสนมและนางสนมทุกคนออกไปอย่างเย่อหยิ่งเพื่ออะไร
เพราะรักแท้ตั้งแต่แรกพบหรือ? หรือว่าเพราะตำแหน่งที่มีแนวโน้มว่าจะได้?
“ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า เนื่องจากสถานะของเจ้า เจ้าไม่อาจมีลูกกับท่านอ๋องได้ ดังนั้นเจ้าจึงมีความมั่นใจที่จะอยู่กับท่านอ๋องไปตลอดชีวิตที่เหลือของเจ้า หรือเจ้าแค่ต้องการการเอาอกเอาใจเหมือนในช่วงที่เจ้ายังเด็ก?”
ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน การแต่งงานระหว่างชายหญิงดูเหมือนว่าฐานะทางการเงินนั้นสำคัญ ในสมัยโบราณ ผู้หญิงแต่งงานกับสามีโดยหวังความมั่งคั่ง เช่นเดียวกับผู้หญิงยุคใหม่ที่แม้จะมีโอกาสมีความรักที่เสรีมากกว่าก็ตาม แต่สุดท้ายพวกนางก็จะพูดถึงเรื่องสินสอดทองหมั้นอยู่ดี
ในเวลานี้ฉินปู้เข่อรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยนางก็รู้สึกว่านางไม่ได้ตกหลุมรักหมี่โม่หรู่เพราะฐานะของเขา และตำแหน่งที่เขาสามารถเข้าถึงได้ในอนาคต
มันค่อนข้างเป็นความรักที่บริสุทธิ์
เหยาอี๋ฮวนนั่งลงด้วยท่าทีสับสน นางไม่เคยนึกถึงประเด็นเหล่านี้เลย หลังจากเข้าไปในวังหลังของสามีแล้ว บรรดาสตรีจากตระกูลชั้นสูงต่างก็ทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงความรักของสามีกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีโอกาสได้พักค้างคืนในห้องอีกคืนหนึ่ง แต่อะไรเป็นสาเหตุให้พวกนางต้องทำเช่นนี้
เพราะรักสามีจริงหรือเพราะหน้าตาและฐานะของตนเอง?
ฉินปู้เข่อวางตะเกียบลงแล้วพูดอย่างสบาย ๆ “ประสบการณ์ของคนนอกเทียบไม่ได้กับข้าและโม่หรู่ ในชีวิตนี้ข้าต้องอยู่กับเขาและเขาต้องอยู่กับข้า ไม่ได้เป็นเพราะข้ายั่วยวนให้เขาหลงเสน่ห์หรือข้าหลงเสน่ห์เขา แต่เป็นเพียงเพราะเขารักข้าและข้าก็รักเขาเท่านั้นเอง ไม่ว่าตอนนี้เขาจะเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้หรือเป็นพระโอรสที่ถูกเนรเทศ ข้าก็จะไม่ยอมทิ้งเขาไป”
ท่านหญิงเหยาอี๋ฮวนดูเหมือนจะโน้มน้าวตัวเองและฉินปู้เข่อด้วยความคิดสุดท้ายว่า “เจ้า เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าวันหนึ่งท่านอ๋องจะไม่เบื่อเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์และหลังจากให้กำเนิดลูกแล้ว ร่างกายของเจ้าจะไม่เหมือนเดิมและรูปลักษณ์ของเจ้าจะเปลี่ยนไปอย่างมาก และวันหนึ่งท่านอ๋องก็จะหันมามองข้าแทน”
“หากวันหนึ่งเขาไม่รักข้าแล้ว ข้าจะไปเอง แต่เจ้าต้องรู้นะว่าหากเขาเปลี่ยนใจไปเลือกเจ้าและทิ้งข้าวันนี้เพราะความสวยของเจ้า วันหนึ่งเขาก็จะเลือกคนอื่นเพราะความแก่ชราและภาวะมีบุตรยากของเจ้า” ฉินปู้เข่อยกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่สามารถอยู่ได้หากปราศจากผู้ชาย”
“ข้าจะไม่เปลี่ยนใจ” หมี่โม่หรู่เม้มปากและเดินเข้ามาจากประตูตำหนัก แล้วจ้องมองฉินปู้เข่อ “เจ้าอย่าเอาแต่คิดจะทิ้งข้า”
…………………………………………………………………………