สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 208 ความรักแบบกักขังของแม่
บทที่ 208 ความรักแบบกักขังของแม่
ผลจากการเตะผ่าหมากของเหลียวหลันยังไม่ทันดีขึ้นเลย
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่เข้าใจ” หากเขาต้องการให้เหลียวหลันปรากฏตัว พวกเขาแค่ลักพาตัวนางกลับมาในคืนนั้นก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ แต่เขากลับหาคนมาช่วยนางและส่งกลับไปที่เตียนหลัน และตอนนี้เขาต้องการให้ตนไปช่วยหญิงสาวคนนั้นอีก
เฉิงเฟยรู้สึกว่าหากตอนนี้เขาไปยืนอยู่ตรงหน้าเหลียวหลันอีก เขาก็คงถูกเตะผ่าหมากอีกครั้งก่อนที่เขาจะทันได้เคลื่อนไหว โชคดีที่เขาได้หว่านเมล็ดพืชไว้เมื่อปีก่อนแล้ว และสตรีผู้นั้นก็มอบลูกชายตัวจ้ำม่ำให้เขาแล้ว มิฉะนั้นเขาคงต้องสูญพันธุ์เป็นแน่
“คนรับใช้กล้าถามเหตุผลเจ้านาย! ไม่มีระเบียบวินัย!” น้ำเสียงอันไพเราะดังขึ้นข้างหลังเขา
เหยาอี๋ฮวนเดินเข้ามาในชุดทหารธรรมดา นางกำหมัดแล้วพูดว่า “มีอะไรที่ท่านอ๋องจะบอกให้ข้าทำบ้าง”
หมี่โม่หรู่เหลือบมองเหยาอี๋ฮวนและรู้สึกขัดตาเล็กน้อย
เมื่อเขาพบนางที่ตำหนักในวันนั้น เขาก็รู้สึกแปลกใจมากว่าเหตุใดนางถึงกลับไปหาเสี่ยวเข่อที่ตำหนัก หลังจากคุยกับเสี่ยวเข่อในคืนนั้น เขาก็รู้ว่าเหยาอี๋ฮวนกำลังจะแอบเข้าไปเป็นทหารในค่ายทหาร
อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะไม่ได้เป็นทหารใกล้ชิดกับเขา แต่ก่อนที่เขาจะจากมาในครั้งนี้ เสี่ยวเข่อก็พูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง และขอให้เขาใส่ใจเหยาอี๋ฮวนในบางครั้ง เพื่อดูว่ายามเป็นทหารแล้วเป็นอย่างไร นางจะถูกนำข้าวของไปเปิดเผยต่อหน้าท่านเฮ่าหรือไม่ นางกำลังจะถูกลอบสังหารจนตายหรืออะไรทำนองนั้นหรือไม่
หมี่โม่หรู่งุนงง เมื่อสองสามวันก่อนเสี่ยวเข่อไม่ได้กดนางลงกับพื้นแล้วทำร้ายร่างกายหรือ เหตุใดจู่ ๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้?
และสิ่งแรกที่เขาเห็นหลังจากเจอนางในค่ายทหารคือ เหยาอี๋ฮวนที่เห็นได้ชัดว่าจมูกฟกช้ำและหน้าบวมจากการถูกตบตีถามเกี่ยวกับสุขภาพของเสี่ยวเข่อกับลูกในครรภ์ของนาง และยังพูดอย่างมั่นใจว่านางจะสร้างชื่อเสียงทางการทหารอย่างใหญ่หลวง เมื่อกลับไปแล้วนางก็จะนำรางวัลไปวางตรงหน้าเสี่ยวเข่อ จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งแม่ทูนหัวของเด็ก
มันทำให้หมี่โม่หรู่คิดถึงเรื่องมิตรภาพระหว่างสตรีเป็นระยะในช่วงสองสามวันนี้ ซึ่งมันลึกลับซับซ้อนเกินไป
สุดท้ายเขาก็ไม่อาจสรุปได้อย่างชัดเจนว่าเหยาอี๋ฮวนคิดอะไรกับตนหรือไม่ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่นางทำเป็นช่วยอาณาจักร และแปรเปลี่ยนเป็นปฏิปักษ์กับเสี่ยวเข่อเป็นการผูกมิตรเพื่อให้เสี่ยวเข่อชื่นชอบนาง
ตั้งแต่นั้นมาหมี่โม่หรู่ก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น และไม่เปิดโอกาสให้เหยาอี๋ฮวนได้พบปะและพูดคุยกับเขาอีกเลย ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าสตรีผู้นี้จะถูกสังหารหรือไม่
“ไม่ต้องหรอก ท่านหญิงใส่ใจเรื่องตัวตนของตัวเอง เพื่อไม่ให้ถูกท่านเฮ่าพบและส่งกลับไปยังเมืองหลวงเถิด” เขาไม่ได้มองเหยาอี๋ฮวนแต่มองไปที่เฉิงเฟย
ทหารซื่อบื้อคนนี้ตกใจกับชุดและเสียงของเหยาอี๋ฮวน จนไม่กล้ามองไปรอบ ๆ อยู่นาน
“ชายร่างใหญ่คนนี้ไม่ฉลาด เหตุใดท่านจึงไม่ส่งข้าไปทำภารกิจกับเขา และหากทำสำเร็จต้องให้ข้าเป็นแม่ทูนหัวของเด็กในครรภ์ของพระชายา”
หมี่โม่หรู่ขมวดคิ้วและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ครั้งนั้นข้าได้แสดงให้ท่านหญิงเห็นในตำหนักอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ว่าวิธีการของเจ้าจะอ้อมค้อมเพียงใด ข้าก็จะไม่มีวันยอมให้เจ้าเข้าไปในตำหนักอีก”
“พอเลย ข้าบอกคนนอกว่าหย่ากับท่านแล้ว เหตุใดข้าต้องกลับไปอยู่ที่ตำหนักด้วย? ฮึ่ม อ๋องหลี่ชินอย่าหลงตัวเองมากเกินไป ตอนนี้มีเพียงพระชายาเท่านั้นที่เห็นว่าท่านมีค่าราวสมบัติ ก่อนที่ข้าจะจากมา ข้าได้ตกลงกับพระชายาของท่านแล้วว่านางจะเชิญข้าไปกินอาหารมื้อพิเศษ และจะให้รางวัลข้าเมื่อข้าสร้างชื่อเสียงทางการทหารได้”
เหยาอี๋ฮวนเหลือบมองหมี่โม่หรู่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ในอดีตนางไม่เคยคิดเลย แต่ตอนนี้เมื่อนางเข้ามาในค่ายทหารแล้วก็พบว่าเมื่อเทียบกับผู้ชายในค่ายทหาร หมี่โม่หรู่ดูออกสาวและมีจุดบกพร่องมากเกินไป และนางชอบบุรุษที่ดูสมเป็นชายชาตรีมากกว่า
หมี่โม่หรู่ “…” เสี่ยวเข่อไม่ได้บอกว่าจะดูแลนาง
“รีบมอบหมายงานเร็วสิ! ข้ารออย่างใจจดใจจ่อแล้ว!” เหยาอี๋ฮวนเร่งเร้า “และข้าต้องบอกท่านอย่างจริงจังด้วยว่า ตอนนี้ข้าคิดว่าท่านดูเหมือนผู้หญิงที่มีความพยาบาทมากเกินไป ซึ่งคงจะไม่ถูกใจพระชายาของท่านแน่”
หมี่โม่หรู่ “…” ไม่ถูกใจก็จริง แต่น่าอับอายมากเมื่อมันถูกพูดออกจากปากของนาง
เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงรู้สึกเหมือนมีคู่แข่งที่เป็นผู้หญิง
“ไปที่เตียนหลันเพื่อพาเหลียวหลัน ลูกสาวของเจ้าเมืองเหลียวชิ่งกลับมา ข้าได้จัดบ้านในเมืองไว้ให้นางแล้ว”
“เรื่องเล็กน้อย” เหยาอี๋ฮวนพยักหน้าอย่างมีความสุข “พูดก่อนว่าภารกิจนี้ต้องได้เลื่อนยศเป็นทหารชั้นสาม”
“ชั้นห้า” หมี่โม่หรู่พูดอย่างเคร่งขรึม “การช่วยเหลือตัวประกันไม่ใช่ทหารชั้นสาม”
“ชั้นห้าก็ชั้นห้า!” เหยาอี๋ฮวนตบไหล่เฉิงเฟย “ไปกันเถอะเจ้าบื้อตัวใหญ่”
ร่างกายเฉิงเฟยสั่นสะท้านเดินถอยหลังสองสามก้าวแล้วเดินตามเหยาอี๋ฮวนไป “รับทราบ ท่าน…”
“หากกล้าตะโกนอีกครั้ง ลิ้นของเจ้าถูกตัดแน่”
เฉิงเฟยรีบปิดปากตัวเอง
คืนนั้นเหลียวหลันถูกพาตัวออกมาอย่างปลอดภัย และยังมีข่าวลือเกี่ยวกับการทรยศของต๋งชวนในค่ายทหาร ต๋งชวนทรมานลูกสาวของเจ้าเมืองจนตาย และต๋งชวนสั่งให้ทหารพาภรรยาของตนมาส่งให้เขาถึงหน้าประตู…
ข่าวลือทุกประเภทถูกแพร่กระจายมากขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะที่ข่าวลือแพร่สะพัดไป เหยาจ้าวได้นำทหารม้าหนึ่งแสนสามหมื่นคนเข้าโจมตีเตียนหลันอย่างหนักในช่วงเวลาวิกฤต เหลียวชิ่งผู้เป็นเจ้าเมืองเตียนหลันได้สังหารฉีรุ่ยหู่ โดยการตัดหัว
ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่าเหลียวชิ่งยอมอับอายขายหน้า ด้วยการยอมจำนนเพื่อทำให้ศัตรูตายใจ
เมื่อเขาพิชิตเตียนหลันและจัดระเบียบชายแดนใหม่แล้ว เหลียวชิ่งที่สร้างผลงานได้ก็ลอบสังหารต๋งชวนด้วยดาบคมกริบ ในตอนที่เขาไปเยี่ยมท่านเฮ่าและอัครมหาเสนาบดีต๋งชวน เพื่อให้เขาชดใช้ชีวิตลูกสาวของตน
ต๋งชวนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ ถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวงในชั่วข้ามคืน ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้น เหยาจ้าวและหมี่โม่หรู่ก็ได้รวมทหารหนึ่งแสนคนของต๋งชวน เข้ามาอยู่ในค่ายทหารของจวนผิงเล่อเฮ่าอย่างรวดเร็ว
เมื่อต๋งชวนถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวง เหลียวชิ่งผู้เป็นเจ้าเมืองเตียนหลันก็ตามหมี่โม่หรู่และพรรคพวกของเขากลับไปยังราชสำนัก แต่เหลียวชิ่งถูกคุมตัวอยู่ในเมืองหลวง เพราะถูกตั้งข้อหาลอบสังหารเจ้าหน้าที่คนสำคัญของราชสำนัก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับราชสำนัก เหลียวชิ่งก็สารภาพว่าตนเองลอบสังหารต๋งชวนจริง และในขณะเดียวกันก็หยิบจดหมายโต้ตอบระหว่างต๋งชวนและฉีรุ่ยหู่ที่เขารวบรวมไว้ออกมา
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยที่ขุ่นเคืองต๋งชวนอยู่แล้วก็โกรธมาก จึงตัดสินให้ประหารต๋งชวนเก้าชั่วโคตร
เมื่อองค์รัชทายาทหมี่เซวียนได้รับข่าว เขาก็ไปคุกเข่าที่ทางเข้าตำหนักจรุงจิตเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน จนกระทั่งเป็นลมหมดสติไปและถูกเพิกเฉย
เมื่อหมี่เซวียนตื่นขึ้นก็เป็นคืนที่สองหลังจากที่เขาหมดสติไป
เขาลืมตาขึ้นมองผ้าม่านที่คุ้นเคยเหนือศีรษะของเขา ก่อนจะลุกขึ้นนั่งช้า ๆ แล้วเอ่ยอย่างเฉื่อยชาว่า “เสด็จแม่ เสด็จพ่อประสงค์จะพบลูกหรือไม่”
เมื่อฮองเฮาเห็นเขาตื่นแล้ว นางก็เรียกหมอหลวงมาตรวจชีพจรก่อนแล้วให้น้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า
“เสด็จพ่อประสงค์จะพบลูกหรือไม่ ลูกต้องชี้แจงให้เสด็จพ่อเข้าใจอย่างชัดเจนด้วยตนเองว่า ลูกไม่เคยมีส่วนร่วมในการสมรู้ร่วมคิดกับต๋งชวนและศัตรูต่างแดน ลูกไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน”
ดวงตาของฮองเฮากลายเป็นสีแดงก่ำหลังจากทนทุกข์มานานกว่าสิบชั่วยาม “ฝ่าบาทรู้นิสัยของเซวียนเอ๋อร์ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ท่านกำลังโกรธจัด และเจ้าจะได้เจอท่านแน่นอนเมื่อไปเข้าเฝ้าอีกครั้งหลังจากนี้”
“ลูกคุกเข่าทั้งวันทั้งคืนแต่กลับไม่ได้รับความเมตตาจากเสด็จพ่อแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ?” หมี่เซวียนจับมือฮองเฮาแน่นแล้วถามว่า “เสด็จแม่ เสด็จพ่อไม่โปรดลูกอีกต่อไปแล้ว และเขาต้องการปลดลูกออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทใช่หรือไม่”
“ตั้งแต่คราวที่แล้วที่เสด็จพ่อสั่งขังลูก ลูกก็รู้ว่าเสด็จพ่อไม่โปรดลูกแล้ว เห็นหรือไม่ว่าลูกออกจากคุกมาสามเดือนแล้ว แต่ท่านพ่อเรียกให้ไปเข้าเฝ้าน้อยมาก ซึ่งเมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้ เสด็จแม่!”
ฮองเฮาคว้ามือของหมี่เซวียนมากุมไว้ในฝ่ามือของนาง “เซวียนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล แม่บอกเลยว่าองค์รัชทายาทแห่งต้าเซี่ยต้องเป็นเจ้าเท่านั้น!”
“การตายของต๋งชวนไม่ใช่เรื่องน่าเสียดาย ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้สงสัยว่าเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับต๋งชวน แต่ตอนนี้เขาตายแล้วเจ้าจึงรอดพ้น ส่วนต๋งเหม่ยจิงที่เจ้าเกลียดชังนักหนาก็ตายตกไปแล้ว เจ้าไม่ต้องเจอหน้านางอีกต่อไปแล้ว”
หมี่เซวียนหลับตาลงแล้วพูดด้วยความเจ็บปวด “เสด็จแม่ ท่านรู้ด้วยหรือว่าลูกไม่ชอบต๋งเหม่ยจิง? ท่านรู้มาตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? แต่เหตุใดท่านถึงพยายามอย่างหนักเพื่อจัดงานอภิเษกสมรสในครั้งนั้น?! ท่านรู้หรือไม่ว่าลูกอยู่อย่างไรเมื่อต้องเห็นสายตาอันดุร้ายของต๋งเหม่ยจิงทุกวัน!”
“เพราะความหึงหวงของนาง ลูกจึงไม่กล้าแม้แต่จะแต่งงานกับนางสนม เพราะเกรงว่าผู้หญิงอื่นที่อยู่ในตำหนักบูรพาจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน! โชคดีที่นางเป็นอัมพาต และทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น มิฉะนั้นลูกก็คงอดไม่ได้ที่จะฆ่านาง!”
ฮองเฮากอดหมี่เซวียนเบา ๆ และลูบหลังเขาเพื่อให้มั่นใจ “ตอนนี้นางตายแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าชอบคนสวยและอ่อนโยน ข้าจะเลือกพระชายาขององค์รัชทายาทคนใหม่ให้เจ้า และจะให้ญาติที่เชื่อถือได้คอยช่วยเหลือเจ้า”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หมี่เซวียนผลักฮองเฮาอย่างแรงจนล้มลงฟันกระแทกพื้น “เสด็จแม่ ในใจของท่านคิดว่าลูกเป็นคนไร้ความสามารถยิ่งนัก! ไร้ความสามารถถึงขนาดไม่สามารถรักษาตำแหน่งองค์รัชทายาทไว้ได้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากญาติ! ไร้ความสามารถถึงขั้นไม่มีญาติคอยสนับสนุนเหมือนกับเจ้าสองและเจ้าเจ็ดงั้นหรือ?!”
“ไม่เคย ไม่เคยคิดเช่นนั้น!” ฮองเฮามองหมี่เซวียนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าเก่งที่สุดในหัวใจของแม่ แต่มันจะง่ายกว่าหากมีคนคอยช่วยเหลือเจ้า”
“เซวียนเอ๋อร์ เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ เซวียนเอ๋อร์…” แม้ว่าฮองเฮาจะไม่ค่อยคุ้นเคยและไม่พอใจหมี่เซวียนที่ไม่เชื่อฟังและตวาดใส่นาง แต่นางก็คิดว่าตอนนี้หมี่เซวียนก็แค่อารมณ์ไม่ดีเพราะถูกฮ่องเต้ต้าเซี่ยละเลย ดังนั้นเขาจึงโกรธนางเพียงเท่านั้นเอง
หมี่เซวียนนอนหันหลังให้นางอยู่บนเตียงและพูดว่า “เสด็จแม่ข้าเหนื่อยเหลือเกิน เสด็จแม่…”
เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงมากแล้ว ฮองเฮาก็ยืนขึ้นและช่วยหมี่เซวียนให้ลุกขึ้นอีกครั้ง “เซวียนเอ๋อร์ไม่ได้กินอะไรนานแล้ว มากินอะไรก่อนนอนเถิด พรุ่งนี้ตื่นเช้าแม่จะพาเจ้าไปตำหนักจรุงจิต”
“พ่ะย่ะค่ะ” หมี่เซวียนลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมอย่างสุภาพ และเดินตามฮองเฮาไปที่โต๊ะอาหาร
ฮองเฮาเตรียมอาหารให้เขาอย่างระมัดระวัง และพูดช้าๆ ว่า “เซวียนเอ๋อร์สบายใจได้ เสด็จแม่ได้คัดเลือกผู้สมัครรับตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาทให้เจ้าหลายคนเมื่อวานนี้ ซึ่งพวกนางแต่ละคนล้วนมีความสามารถและเชื่อฟัง”
หมี่เซวียนเคี้ยวผัก นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เสด็จแม่ ถ้าเช่นนั้นท่านช่วยพาเสวี่ยเหลียนกลับมาได้หรือไม่ ครั้งหนึ่งนางเคยตั้งท้องลูกชายให้ลูก…”
“ไม่!” น้ำเสียงของฮองเฮาเริ่มเคร่งขรึม “สตรีร้ายกาจเช่นนั้นจะต้องไม่ปรากฏกายเคียงข้างเจ้าอีก และยิ่งกว่านั้นคือนางอาจไม่สามารถมีบุตรได้อีกต่อไป สตรีที่มีบุตรยากไร้ประโยชน์ในตำหนักบูรพา และตอนนี้จวนมหาเสนาบดีก็กลายเป็นพวกของอ๋องหลี่ชินไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ตาเฒ่าฉินเฉิงหย่งผู้นั้นช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก…”
เมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหมี่เซวียนไม่มีความสุข ฮองเฮาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงและยกจานมาให้หมี่เซวียน แล้วพูดช้า ๆ ว่า “ไม่ว่าสตรีคนใดที่เซวียนเอ๋อร์ชอบก็เป็นไปได้ทั้งนั้นยกเว้นฉินเสวี่ยเหลียน เจ้าไม่ต้องห่วง คราวนี้แม่จะพามาให้เจ้าดูก่อนและให้เจ้าเลือกเองแน่นอน”
“ก็ได้ ลูกเชื่อเสด็จแม่” หมี่เซวียนเม้มปากและหยิบขิงชิ้นหนึ่งออกจากชาม
เมื่อเห็นว่าเขาเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทตามดังเดิม ฮองเฮาก็เอ่ยชมว่า “เซวียนเอ๋อร์เป็นเซวียนเอ๋อร์ที่น่ารักของเสด็จแม่”
ขณะที่นางพูดนางก็ใช้ตะเกียบคีบขิงอีกอันให้หมี่เซวียนด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้ตอนกลางคืนอากาศหนาวแล้ว เมื่อคืนก่อนเจ้าคุกเข่าอยู่ข้างนอกนานจึงต้องกินขิงเพื่อปัดเป่าความหนาวเย็น”
มือที่ถือตะเกียบของหมี่เซวียนสั่นเทา เขาจ้องมองขิงในชาม ทันใดนั้นเขาก็ปาชามในมือลงกับพื้น!
………………………………………………………………………….